เหอะ เหอะ เหอะ คงอย่างที่น้า nunoi ว่านั่นแหละครับ
มันต้องแยกระหว่าง การด่า กับ การติติงวิพากษ์วิจารณ์
การด่านี่ ไม่ว่าจะด่า คน หรือ ด่าพระ มันผิดศีลข้อ 4 อยู่แล้ว
การติติงวิพากษ์วิจารณ์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การกล่าว วาทะ
ไม่ว่าต่อหน้า หรือ ลับหลัง ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง ก็ไม่ควรทำ ถ้า
เป็นเรื่องจริง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ควรทำ
แต่ปุถุชนอย่างเรา คงอดใจได้ยากแหละครับ เห็นแล้วมันอยากด่า
อยากวิพากษ์วิจารณ์เหลือเกิน กลัวบาปก็กลัว อยากด่าก็อยาก
ผมว่าหาทางออกแบบกลาง ๆ แหละครับ คือ พยายามตัดการด่า
ออกไปแม้จะแสนเสียดายก็ตาม เพราะกรณีนี้ผิดศีลแน่นอน
ส่วนการติติงวิพากษ์วิจารณ์ ควรถามใจตัวเราเองก่อนวิพากษ์วิจารณ์
ว่า มีฉันทำคติ ไหม มีโทสาคติไหม มีโมหาคติไหม มีภยาคติไหม คือ
ตอนนี้ใจเรามีความรู้สึก รัก โกรธ หลง กลัว อยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีอยู่ ก็
วิจารณ์ไปเลยครับ ถือว่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความบริสุทธิใจ
แต่ถ้าจะให้ชัวร์ ๆ หรือไม่อยากหลอกตัวเองว่าบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้โกรธ
ไม่ได้เกลียดอะไร ก็เลื่ยงไปวิพากษ์วิจารณ์การกระทำดีกว่า มันง่ายดี
โดยไม่ไปพาดพิงตัวบุคคล เช่น
"ทำแบบเนี่ยะ มันเดือดร้อนคนอื่น มันเวอร์มันไม่ใช่แก่นศาสนา ทำไม
สำนักพุทธศาสนาไปสนับสนุน ทำไมมหาเถรสมาคมไปสนับสนุน"
เหอะ เหอะ ดูแล้วไม่ค่อยมันปากเท่าไร แต่คิดว่าน่าจะกันบาปได้ เพราะ
ไม่ว่าใครทำแบบนี้ มันก็เดือดร้อนคนอื่น เราก็วิพากษ์วิจารณ์ไปตามเหตุการณ์