ตามหัวข้อกระทู้ครับ
อยากให้ท่านผู้เจนจัดในธรรมทั้งหลาย..........ช่วยวิเคราะห์ให้ด้วยครับ........
ถ้าบาป.........ผมคนหนึ่ง........ที่จะขอเลิกวิจารณ์ลัทธิจานบิน.....แบบถาวร
ถ้าไม่บาป.............ก็เชิญ....พี่ๆน้องๆ..........บรรเลงกันเองตามใจชอบครับ
แยกเป็นสองประเด็นนะขอรับ...
1. การด่าเขาก็เป็นไฟเผาเราเองขอรับ ตามหลักพระตถาคต กรรมคือเจตนา หากเราด่าก็เจตนาของเรา กรรมก็ของเราขอรับ หากด่าแล้วเค้าได้ยินแล้วเค้าจะตอบโต้อย่างไร... ก็กรรมของเค้าเช่นกัน ก็เหมือนการกระทำทางกาย, วาจา, ใจ ของเค้านั่นแหละขอรับ... นั่นคือกรรมของเค้าได้เกิดขึ้นแล้ว... แต่ถ้ากรณีนี้... กระพ๊มก็ด่าขอรับ เพราะมันไม่ใช่ "อริยสงฆ์" แน่นอนล้านเปอเซง... ไม่กลัวขอรับ...
2. พระสุปฏิปัณโนที่เป็น "สงฆ์สาวก" ของพระตถาคต... ก็ตามบทสวดที่เราเรียกว่าบทอิติปิโสฯ นั่นแหละขอรับ คือบท "สรรเสริญพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์" ซึ่งถ้าตามพุทธวจนะจริงๆจะไม่เหมือนที่เราท่องกันมาแต่ช้านานในช่วงเริ่มต้นขอรับ...
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
(ขอน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง)
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปัชชะติ (ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้) อะระหัง (เป็นผู้ไกลจากกิเลส) สัมมาสัมพุทโธ (ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง) วิชชาจะระณะสัมปันโน (เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ) สุคะโต (เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี) โลกะวิทู (เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง) อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ (เป็นผู้สามารถฝึกคนที่สมควรฝึกอย่างไม่มีใครยิ่งกว่า) สัตถา เทวะมนุสสานัง (เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย) พุทโธ (เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม) ภะคะวา (เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์) โส อิมัง โลกัง (ตถาคตนั้นทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้) สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรัหมะกัง สัสสะมะณะพราหมะณิง (กับทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์) ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง (เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์) สะยัง อภิญญา (ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว) สัจฉิกัตวา ปะเวเทสิ (สอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม) โส ธัมมัง เทเสสิ (ตถาคตนั้นแสดงธรรม) อาทิกัลยาณัง (ไพเราะในเบื้องต้น) มัชเฌกัลยาณัง (ไพเราะในท่ามกลาง) ปะริโยสานะกัลยาณัง (ไพเราะในที่สุด) สาตถัง สะพยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสติ (ทรงประกาศพรหมจรรย์คือแบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ ดังนี้)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม (พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว) สันทิฏฐิโก (เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง) อะกาลิโก (เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล) เอหิปัสสิโก (เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด) โอปะนะยิโก (เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว) ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ (เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว) อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว) ญายะปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม เป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว) สามีจิปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว) ยะทิทัง(ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ) จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา (คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ) เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (นั่นแหละคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า) อาหุเนยโย (เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา) ปาหุเนยโย (เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ) ทักขิเณยโย (เป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทาน) อัญชะลิกะระณีโย (เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลี) อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (เป็นสงฆ์ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้) ...
ที่ยกพระสูตรนี้มาให้ดูเพื่อให้ดูตรงประเด็นส่วนของ "พระสงฆ์" ของพระตถาคตบัญญัติไว้เป็นเช่นไรขอรับ... นี่เป็น 1 ในหลายๆพระสูตรที่มีกล่าวถึงโดยต่างสถานที่, ต่างเวลาและผู้ถาม ที่พระตถาคตกล่าวบอกฆราวาสว่าการพิจารณาสาวกของพระองค์ว่าดี ไม่ดี ปฏิบัติตรงจริงตามคำสอนพระองค์หรือไม่ขอรับ สรุปคือพระตถาคตให้สังเกตุดูพฤติกรรมของพระรูปนั้น แล้วพิจารณาการควรแก่การนำของบูชา, จัดสถานที่ไว้ต้อนรับ...ฯลฯ หรือไม่นั่นแหละขอรับ...
ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับคำถาม คือควรจะให้ทานอย่างไร พระตถาคตกล่าวไว้พระสูตรหนึ่งขอรับว่า... "แม้เพียงเทน้ำเศษอาหารในหม้อลงน้ำ โดย "หวัง" เพียงให้สัตว์น้อยใหญ่ได้กิน... ก็ยังเป็นที่มาแห่งบุญ ไฉนเลยจะกระทำกับมนุษย์ด้วยกัน... ผู้ใดเป็นผู้บอกงดลาภแก่ผู้อื่นเสีย ผู้นั้นไม่ใช่มิตร เป็นการขุดตนให้ตกต่ำไปด้วย...
...พระตถาคตกล่าวถึงอานิสงค์ต่างๆในการทำทานไว้อีกพระสูตรหนึ่งว่า "สมัยหนึ่ง... ที่พระตถาคตได้เกิดมาเป็นมหาอำมาตย์ มีทรัพย์สินมหาศาล มีจิตเมตตา มีฝ่ามือชุ่มด้วยการให้อยู่เนืองๆ เคยแม้แต่นำถาดเงิน ถาดทองมาแจกเป็นทานให้หมู่ชนในเมืองของพระองค์เองก็เคย... พระตถาคตได้กล่าวว่า... การกระทำเช่นนั้น... หาได้อานิสงค์ใหญ่อันใดเลย เพราะ "ไม่มีผู้สมควรได้รับทาน" นั้นมาเป็นผู้รับเลย พระองค์เปรียบไว้ว่า... ทำทานแก่หมู่สัตว์, มนุษย์เป็นร้อยเป็นพันก็ไม่เท่า ทำทานกับพระโสดาบันองค์เดียว ทำทานกับพระโสดาบันร้อยองค์ ก็ไม่เท่าทำทานกับพระสกิทาคามีองค์เดียว... ไล่ไปจนถึงทำทานกับพระอรหันต์ร้อยองค์ ก็ไม่เท่าสร้างที่อยู่อาศัยให้ภิกษุสงฆ์ สร้างที่อยู่อาศัยให้ภิกษุสงฆ์เป็นร้อยเป็นพัน ก็ไม่เท่ารักษาศีลครั้งเดียว...รักษาศีลร้อยครั้งพันครั้ง ก็ไม่เท่าการทำอาณาปานสติเพียงครั้งเดียว... "อาณาปานสตินี่แหละ คือกองกุศลอย่างแท้จริง" ...
ก็ลองพิจารณาให้แยบคายดูขอรับ...
Edited by wat, 28 มกราคม พ.ศ. 2556 - 19:49.