สพฐ.ให้ครูลดการบ้านนักเรียนลงวันนี้ (29 ม.ค.2556) นายชินภัทร ภูมิรัตน
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)
เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) ว่า
ที่ประชุมได้หารือเรื่องการปฏิรูปหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ.2544 ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2551 ตามนโยบายของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา
รมว.ศึกษาธิการ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการ 2 ระยะ ได้แก่ 1.ระยะเร่งด่วน
จะให้ทันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 โดย
สพฐ.จะเน้นบูรณาการทั้งเนื้อหา เวลาเรียน การวัดและประเมินผล
ตลอดจนการบ้านที่ต้องมีการบูรณาการทุกกลุ่มสาระวิชา
รวมทั้งต้องลดภาระงานของนักเรียนด้วย
เพราะที่ผ่านมาพบว่าเด็กไทยต้องทำการบ้านเยอะมาก ทำให้เด็กเกิดความเครียด
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มอบให้สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.
ไปจัดทำคู่มือการบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนแบบครบวงจรโดยครอบคลุมทุก
หลักสูตรให้แล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย.2556
จากนั้นจะจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับเขตพื้นที่การศึกษา และครู
เพื่อให้มีความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน
"ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556
หรือต้นเดือนพ.ค.เป็นต้นไปเด็กไทยเด็กทุกคนในทุกระดับชั้นจะมีภาระการเรียน
ในห้องเรียนลดน้อยลง และจะมีโอกาสเรียนรู้
รวมถึงทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมากขึ้น ส่วนการบ้าน
และโครงงานที่ครูมอบให้ก็จะมีการบูรณาการในทุกกลุ่มสาระวิชา
ขณะที่การวัดและประเมินผลก็จะสอบเท่าที่จำเป็น และเหมาะกับช่วงวัยเท่านั้น
จะไม่มีวิธีการที่ครูจะมีอำนาจเหนือนักเรียน
ครูจะไม่สามารถให้การบ้านเด็กได้ตามใจชอบอีกต่อไป
หากครูให้การบ้านเด็กจนเกิดความทุกข์ทรมานก็สามารถร้องเรียนมาได้ที่ สพฐ.
เพื่อให้เกิดการปรับปรุงต่อไป" นายชินภัทร กล่าว
นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ส่วนระยะที่ 2 สพฐ.
จะจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในวันที่ 6-8 ก.พ.นี้เพื่อพิจารณาทบทวนมาตรฐาน
และตัวชี้วัดของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีมาตรฐานการเรียนรู้
และตัวชี้วัดใดบ้างที่มีมากเกินความจำเป็น เพื่อที่จะได้ตัดทอน
และปรับปรุงต่อไป โดยจะมีการนำเสนอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบในเรื่องเนื้อหา
และเวลาเรียนของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ด้วย
ขณะเดียวกันจะหยิบประเด็นที่มีนักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเนื้อหาในหลัก
สูตรการเรียนการสอนมีความซ้ำซ้อน 30% นั้นมาหารือด้วย
โดยให้ทุกฝ่ายนำข้อมูลมาตีแผ่และร่วมให้ความคิดเห็นว่ามีความซ้ำซ้อนจริง
หรือไม่และจะช่วยลดความซ้ำซ้อนได้มากน้อยเพียงเพื่อจะได้ตั้งเป้าลดปัญหาดัง
กล่าวให้ได้มากที่สุด
จากประสบการณ์ที่ผ่านวัยเรียนมาแล้วการบ้านถึงจะเยอะขนาดไหนก็ต้องพยายามทำ
เพราะมันเป็นการทบทวนบทเรียนและประเมินผลสิ่งที่ครูได้สอนไป
และที่สำคัญคือคะแนนช่วยเหลือเวลาคิดคะแนนปลายภาคเยอะขนาดไหนก็ทำจนเสร็จ
เลยไม่เข้าใจว่าทำไมกระทรวงถึงไม่ทำอะไรที่เข้าท่ากว่าการลดการบ้านอย่าง
ทบทวนหลักสูตรการเรียนการสอนว่ามันเกินความจำเป็นของวัยหรือไม่
เพราะหลายๆบทเรียนที่เรียนผ่านมาแล้วแทบไม่ได้ใช้อะไรในชีวิตจริงเลยก็มีลด
เนื้อหาการเรียนการสอนไม่ดีกว่าหรือ?
ความเห็นจากครูวัยใกล้เกษียณใกล้ตัว : เออ!! จะลด จะเพิ่มมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกเพราะเด็กก็ไม่ทำส่งอยู่ดีแหละ