ศาลฯสั่งยกฟ้อง ปชป.-ไทยโพสต์ แม้วโกง 14 เรื่อง
ศาลเชียงใหม่ยกฟ้องคดี "ทักษิณ" ฟ้อง "จุรินทร์-ไทยโพสต์" เรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท แฉรัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องและครอบครัว 14 เรื่อง ชี้จำเลยแสดงความเห็นโดยสุจริต เรียกร้องถึงผลประโยชน์ของรัฐเพื่อประโยชน์ของประชาชน มีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ ปชช.ทราบถึงข้อเท็จจริง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ธันวาคม 2555 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ออกนั่งบัลลังก์ และอ่านคำพิพากษาให้ยกฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ 2390/2547 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จำเลยที่ 1 กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ในข้อหาหมิ่นประมาท และเรียกร้องค่าเสียหาย 500 ล้านบาท กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดการปราศรัยที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 6-7 มิถุนายน 2547
โดยนายจุรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้กล่าวปราศรัยว่า 3 ปี รัฐบาลทักษิณที่ประกาศว่าจะทำสงครามกับคอรัปชั่น ในที่สุดกลายเป็นทำสงครามกับฝ่ายตรงข้ามตัวเอง คือคนอื่นห้ามโกง แต่โกงเองไม่เป็นไร ฝ่ายค้านตรวจสอบแล้วพบว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง 14 เรื่อง เป็นผลงานของรัฐมนตรีที่บริหารงานแล้วเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจนายกฯ และครอบครัว 11 คน เกือบครึ่ง คือ
1. สนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งมีประโยชน์ทับที่ธรณีสงฆ์
2. สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ซึ่งครอบครัวของนายกฯ เข้าไปถือหุ้น โดยมีรัฐมนตรีคนหนึ่งชี้ช่องให้ไอทีวีไม่ต้องจ่ายสัมปทานเต็มตามจำนวนที่ทำสัญญาไว้กับรัฐ
3. ปกป้องบริษัท ชินแซทเทลไลท์
4. ไม่บังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าของกระทรวงพาณิชย์
5. การออก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทมือถือของครอบครัวนายกฯ ทักษิณ
6. แก้สัญญาบริษัทเอไอเอส ให้เสียค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้องค์กรโทรศัพท์น้อยลง
7. การลดภาษีนำเข้ามือถือจาก 10% เหลือ 0%
8. เอื้อประโยชน์ให้สายการบินแอร์เอเชีย
9. ตัดถนนเลียบทางด่วน รัชดาฯ-รามอินทรา ผ่านหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ด ที่มีคนในครอบครัวนายกฯ ถือหุ้นอยู่
10. การควบรวมธนาคารบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับธนาคารไทยทนุ และธนาคารทหารไทย ที่มีลูกชายนายกฯ ถือหุ้นใหญ่อยู่
11. การประมูลเช่าคอมพิวเตอร์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 3,192 ล้านบาท ที่เอื้อให้บริษัท เอ็มลิ้งค์ฯ ซึ่งเป็นบริษัทของน้องสาวนายกฯ
12. จ้างบริษัทของประเทศจีนต่อเรือชายฝั่งของกองทัพไทย 2 ลำ เพื่อแลกกับการเลื่อนองศาดาวเทียมของประเทศจีนคือ เอเชียแซท เพื่อไม่ให้มาทับคลื่นความถี่ของไอพีสตาร์ ของครอบครัวนายกฯ ทำให้ประโยชน์ที่บริษัท ชินแซทฯ จะได้ประโยชน์ถึง 33,000 ล้านบาท ตลอด 12 ปี
13. กรณีที่ขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มูลค่า 2,000 ล้านบาท แต่ขายให้ภริยานายกฯ เพียง 772 ล้านบาท
และ 14. การเปิดข้อมูลเอ็นทรานซ์ เอื้อประโยชน์ให้ลูกคนมีอำนาจที่กำลังสอบ
"แม้ประเมินค่าเป็นเงินไม่ได้ แต่เป็นการทุจริตทางจริยธรรม ทั้งหมดเป็น 14 เรื่อง ที่พรรคประชาธิปัตย์จับได้ไล่ทัน เป็นผลงานชิ้นโบดำ โบม่วง โบเทา ที่ 11 รัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของนายกฯ"
โดยศาลอ่านคำพิพากษาว่า เมื่อวินิจฉัยคำกล่าวของจำเลยที่ 1 ทั้ง 14 เรื่องดังนี้แล้ว เมื่อวิเคราะห์ถึงคำกล่าวของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวในตอนต้นว่า รัฐบาลโจทก์ประกาศว่าจะทำสงครามกับคอรัปชั่น ในที่สุดทำสงครามกับฝ่ายตรงข้ามของตัวเอง คือคนอื่นห้ามโกง แต่โกงเองไม่เป็นไร แม้จะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง แต่จำเลยที่ 1 แสดงความคิดเห็นโดยมีมูลประกอบอื่นมาสนับสนุนเป็นลำดับขั้นตอน
อีกทั้งเป็นเรื่องที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก่อนหน้านั้นไม่นาน และหลังจากที่จำเลยที่ 1 กล่าวแล้ว โจทก์ถูกฟ้องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามข้อกล่าวหาที่จำเลยที่ 1 กล่าวถึง 4 เรื่อง จึงเป็นการกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทราบถึงการกระทำที่จำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ถูกต้อง หรือการบริหารราชการแผ่นดินที่มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่ครอบครัวโจทก์ ในขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยจำเลยที่ 1 มีเหตุที่จะกล่าวซึ่งล้วนแต่เป็นการกล่าวติชมการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ ไม่ใช่หาว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี หรือว่ากล่าวให้ร้ายโจทก์เป็นการส่วนตัว แต่เป็นการเรียกร้องถึงผลประโยชน์ของรัฐ เพื่อประโยชน์ของประชาชน รวมทั้งจำเลยที่ 1 ด้วย อีกทั้งเมื่อโจทก์มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังคงมีภริยา บุตร และญาติของโจทก์ถือหุ้น หรือเป็นเจ้าของบริษัท ที่เดิมโจทก์เป็นเจ้าของ
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมาว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทดังกล่าว หรือมีข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูง ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตลอดจนแสดงความคิดเห็น ติ ชม ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งการกระทำดังกล่าวอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ
"และข้อความดังกล่าวมีมูลที่ทำให้จำเลยที่ 1 เชื่อว่าเป็นความจริง ไม่ใช่การสร้างเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายโจทก์โดยไม่มีมูลความจริง คำกล่าวที่ว่าคนอื่นห้ามโกง แต่โกงเองไม่เป็นไร จึงเป็นเพียงการสรุปตามที่จำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริต ว่า มีข้อเท็จจริงทั้ง 14 เรื่องจริง ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นคนมีนิสัยคดโกง ซึ่งเป็นการกล่าวข้อความและแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับผลประโยชน์ของส่วนรวม และความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินตามคลองธรรมแล้ว จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ พิพากษายกฟ้อง"
ตอนท้ายศาลได้พิเคราะห์ในประเด็นที่ คอลัมน์กรองกระแสใน นสพ.ไทยโพสต์ ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ "นิทานเด็ก 3 คน" (กรณีบุตร พ.ต.ท.ทักษิณโกงข้อสอบ) ศาลเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นการเขียนโดยใช้ถ้อยคำที่แตกต่างจากการนำเสนอข่าว แต่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ทำให้เป็นที่สงสัยว่า มีการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ให้แก่บุตรของโจทก์ ในขณะที่โจทก์มีตำแหน่งเป็นนายกฯ เป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชน ทั้งในแง่การปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงบุคคลใกล้ชิดโจทก์
ประกอบกับจำเลยที่ 3 เป็นสื่อสารมวลชน ทำหน้าที่รายงานข่าว มีภารกิจในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในทุกแง่มุม โดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องแสดงความคิดเห็นด้วยการติชมโจทก์ จึงอยู่ในวิสัยของประชาชนพึงจะกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ตีพิมพ์คอลัมดังกล่าวในไทยโพสต์นั้น เป็นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนมานำเสนอในรูปหนึ่งของการนำเสนอข่าว และเป็นการแสดงความคิดเห็น หรือข้อความโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
เมื่อการกระทำของเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ตามฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว จึงไม่เป็นการละเมิดโจทก์ พิพากษายกฟ้อง และยกคำขอในส่วนแพ่ง.
ที่มา : http://www.thaipost....ws/181212/66791
Edited by Ricebeanoil, 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 19:29.