เห็นนโยบายหาเสียงของพงศพัศ
“กรุงเทพฯ ไร้รอยต่อ”
นึกสงสัยครับ รอยต่อที่ว่า เป็นรอยต่อระหว่างอะไรกับอะไร
ปัญหาที่ผมเห็น และเดาเอาเอง ว่าเป็นรอยต่อระหว่าง กทม กับรัฐบาล
คือการพยายามขัดแข้งขัดขากันมาโดยตลอด
ตั้งแต่เรื่องน้ำท่วม รถไฟฟ้า หรือสนามฟุตซอล
คนทั่วไปอย่างผม ก็พอจะรู้สึกได้ ว่ามีรอยต่อระหว่างสองขั้ว ที่สบกันไม่ลง
แต่หากจะมาตีความ มันน่าสงสัยมั๊ยครับ
ว่ารอยต่อที่สบกันไม่ลง มันเกิดจากสาเหตุอะไร
การที่ กทม และ รัฐบาล มาจากพรรคการเมืองต่างขั้วหรือเปล่า
ทีนี้ ลองมองไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้น อาจเพราะการเป็นพรรคการเมืองต่างขั้ว
จึงเกิดปัญหาการแย่งงานกันทำ การกลั่นแกล้ง หรือการพยายามขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายได้หน้าไปหรือไม่
ถ้าเป็นเช่นนั้น รอยต่อนั้น เกิดจากอะไร และเป็นระหว่างใคร กับใคร
ผมคงไม่ต้องพูดละเอียดนัก (ขี้เกียจหาข้อมูล )
แต่ที่พงศพัศกำลังชูนโยบายไร้รอยต่อ
มันเป็นการบ่งบอกสังคม (ในด้านกลับ) หรือไม่ ว่าเพราะหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา
รัฐบาลเอง เป็นผู้สร้างรอยต่อให้แก่กรุงเทพฯ มาโดยตลอด
ทำไมให้งบประมาณสร้างสนามฟุตซอลมาแค่ 1 ล้าน
ทำไมส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าจึงยึกยักล่าช้า จน กทม ต้องทำเอง
ทำไมตอนน้ำท่วม จึงเกิดกรณีต่างๆ ขึ้นเยอะแยะไปหมด
นี่คือรอยต่อที่สบกันไม่ลง เพราะรัฐบาลเป็นผู้สร้างด้วยตัวเองใช่หรือไม่
เวลานั้น เราต่างนึกสงสัย
ได้แต่เพียงเข้าใจไปว่า เป็นการกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้ผุดเกิดทางการเมืองได้อีก
แต่วันนี้ ผ่านนโยบายนี้ เรารู้แล้วว่า มีการเตรียมการไว้มากมาย
เพื่อวันนึง จะสามารถทำให้เกิดปัญหารอยต่อระหว่าง กทม กับรัฐบาล
และสามารถกินรวบประเทศไทยได้ โดยยึดเมืองหลวงของอีกฝั่ง (หมายถึงทางการเมืองนะครับ)
แผนการถูกวางไว้แล้ว ถึงความพยายามในรูปแบบต่างๆ ดังที่เรารู้กันไปแล้ว
เพื่อกลับมาชูภาพฮีโร่ ผู้ประสานสิบทิศ ให้กับ กทม
แต่ รัฐบาลอาจลืมไปอย่าง
แม้มีรอยต่อระหว่างรัฐบาลและ กทม
แต่การที่กรุงเทพฯ เป็นเขตการปกครองพิเศษ มีงบประมาณส่วนหนึ่ง ที่จะบริหารจัดการตัวเองได้
แม้บางส่วนจะต้องรองบกลางอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเหลือบ่ากว่าแรงนัก
เพราะบุคคลากรส่วนใหญ่ มาจากทีมเดียวกัน
การประสานงานที่ไร้รอยต่อภายใน นั่นจะทำให้การทำงานราบรื่นพอ
จากจำนวน สก ที่เป็นพรรคประชาธิปัตย์ 45 คน เพื่อไทยเพียง 15 คน
จำนวน สข ที่เป็นประชาธิปัตย์ 210 คน เพื่อไทย 39 คน
เราคงเห็นได้ว่า หากจะคิดถึงคำว่า รอยต่อ ในวิธีการคิดแบบเดียวกับนโยบายหาเสียงของพงศพัศ
รอยต่อระหว่างผู้ว่ากับรัฐบาล และรอยต่อระหว่างผู้ว่า กับ สก สข
....อันไหนจะสำคัญกว่ากัน
แต่เรื่องนี้ ดูเหมือนผมไม่เห็นสุขุมพันธ์คิดจะนำมาเล่นนะครับ
อาจเพราะการพูดถึงรอยต่อ ผมมองว่า มันเป็นเรื่องที่แสดงถึงอุปนิสัยของผู้ใช้มันมาหาเสียงมากกว่า
ในทางกลับกัน
มันกลับจะยิ่งส่งผลเสียให้ตัวผู้ประกาศนโยบายจากฝ่ายรัฐบาลด้วยซ้ำ
เพราะมันชี้ให้เห็นถึงความพยายามกลั่นแกล้งกนทางการเมือง
โดยเอาคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกัน
และเป็นเรื่องที่คนกรุงเทพฯ ไม่สมควรจะให้อภัย
ไม่ต่างกับการบอกรักกรุงเทพฯ ในขณะที่เคยมีบางคนเผากรุงเทพฯ
คนๆ นั้น ช่วยฝั่งหนึ่งหาเสียงอยู่ด้วยซ้ำ
“เผาไปเลย ผมรับผิดชอบ (ด้วยการกินตำแหน่งรัฐมนตรี) เอง”
ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ครับ