..จตุพล สันตะกิจ
http://www.posttoday...งก้าวธกส-ร่อแร่
โครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มต้นในวันที่ 7 ต.ค. 2554
“ถ้ารัฐบาลทำโครงการรับจำนำข้าวเปลือกแล้ว ทำให้รัฐเสียหายมากกว่า 6
หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงบที่รัฐบาลชุดก่อนใช้ชดเชยในระบบประกันรายได้เกษตรกร
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงอยู่ไม่ได้ ไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่า
ในฐานะรองนายกเศรษฐกิจจะรับผิดชอบอย่างไร” กิตติรัตน์ ณ ระนอง
รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ลั่นวาจาก่อนเริ่มโครงการรับจำนำข้าว
กิตติรัตน์ ยังระบุว่า
โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลจะยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น
และเมื่อรัฐบาลระบายข้าวสารในสต๊อก รัฐบาลจะมี “กำไร”
เท่ากับว่านโยบายรับจำนำข้าวเปลือกเดินมาถูกทาง
และชาวนาจะขายข้าวเปลือกเจ้าได้ 1.5 หมื่นบาทต่อตัน ซึ่งถือว่ารัฐบาล
“สอบผ่าน”
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 5 เดือน สิ่งที่กิตติรัตน์พูดวันนั้น กับความจริงที่เกิดขึ้นวันนี้ เรียกได้ว่า “สวนทาง” กันคนละทาง
เนื่องด้วยข้อมูลทางการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ระบุว่า
โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/2555
มีข้าวเปลือกเข้าโครงการ 6,979,681.61 ตัน เงินที่จ่ายให้เกษตรกร
118,535.238 ล้านบาท โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555
มีข้าวเปลือกเข้าโครงการ 14,727,468.15 ตัน เงินที่จ่ายให้เกษตรกร
218,196.478 ล้านบาท
และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/2556 พบว่า ณ วันที่ 4
ก.พ. 2556 มีข้าวเปลือกเข้าโครงการ 8,233,273 ตัน เงินที่จ่ายให้เกษตรกร
132,555.690 ล้านบาท
สรุปแล้วตั้งแต่เริ่มโครงการรับจำนำข้าวเปลือกวันที่ 7 ต.ค. 25544 ก.พ.
2556 รัฐบาลรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรมาเก็บไว้ในสต๊อกแล้ว 29.94 ล้านตัน
และจ่ายเงินแล้ว 4.69 แสนล้านบาท ไม่รวมค่าบริหารโครงการไม่น้อยกว่า 5
หมื่นล้านบาท
ทำให้รัฐบาลมีข้าวสารเก็บไว้ในสต๊อก 17-18 ล้านตัน
สอดคล้องกับข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ)
ที่รายงานว่า ปริมาณข้าวสารในสต๊อกของไทยเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี
2556 นี้ จากนโยบายรับจำนำข้าว โดยมีปริมาณข้าวที่สีแปรสภาพแล้วทั้งหมดทะลุ
18.2 ล้านตัน
เอฟเอโอ ระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของไทย
ส่งผลให้เกิดการปลูกข้าวเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
และนำไปสู่ปัญหาข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามายังไทยอีกด้วย
ซึ่งจากการประมาณการตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า จะมีข้าวทะลักเข้ามาถึง
7.5 แสนตัน ในปี 2556 จาก 4 แสนตัน ในปีที่แล้ว
เช่นกัน สิ่งที่รัฐบาลมุ่งหวังว่าราคาข้าวในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น เพราะรัฐบาลแบกข้าวไว้เองทั้งหมด
แต่ราคาข้าวในตลาดโลกต่ำเตี้ยลงทุกวัน ข้อมูลเอฟเอโอ ระบุวันที่ 5 ก.พ.
2556 ราคาข้าว 5% ของไทยราคา 599 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาข้าว 5%
ของเวียดนาม 385 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาข้าว 5% ของอินเดีย 430
เหรียญสหรัฐต่อตัน และราคาข้าว 5% ของปากีสถานอยู่ที่ 420
เหรียญสหรัฐต่อตัน
ในขณะที่ก่อนมีโครงการรับจำนำข้าวเปลือก พบว่าราคาข้าว 5% เฉลี่ยปี 2555
ของไทยอยู่ที่ 573 เหรียญสหรัฐต่อตัน ข้าว 5% ของเวียดนามอยู่ที่ 432
เหรียญสหรัฐต่อตัน และข้าวขาว 5% ของอินเดียอยู่ที่ 435 เหรียญสหรัฐต่อตัน
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า แม้ข้าวไทยจะราคาแพงขึ้น 2030
เหรียญสหรัฐต่อตัน หลังมีโครงการ
แต่ข้าวของเวียดนามและอินเดียราคาทรงตัวที่ 420430 เหรียญสหรัฐต่อตัน
แต่สาระที่มากกว่านั้น คือ
ข้าวไทยมีราคาแพงกว่าข้าวเวียดนามและข้าวอินเดียเกือบ 150
เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันกับผู้ส่งออกคู่แข่งได้
โดยปี 2555 ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 6.94 ล้านตัน ขณะที่อินเดียส่งออกข้าวได้
9.75 ล้านตัน เวียดนามส่งออกข้าว 8.04 ล้านตัน
แม้รัฐบาลจะระบุว่า แม้ไทยส่งออกข้าวได้ปริมาณที่น้อยกว่าปี 2554
แต่มีรายได้จากการขายข้าวสูงกว่าเวียดนามและอินเดียหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ
ทีเดียว แต่คงได้ไม่คุ้มเสียกับการที่รัฐบาลต้องเก็บข้าวไว้ในโกดังเกินกว่า
15 ล้านตัน ณ ขณะนี้ เพราะราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งเกิน 100
เหรียญสหรัฐต่อตัน
จึงสรุปได้ชัดเจนว่าเม็ดเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเกือบ 5 แสนล้านบาท ไม่ได้ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นตาม “ความเชื่อ” ของคนในรัฐบาล
ส่วนการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐก็ยังเป็นปริศนาคาใจสังคม
เพราะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขระบายข้าวอย่างเป็นทางการ มีเพียงวงการค้าข้าว
คาดว่ามีการระบายข้าวจากสต๊อกของรัฐไม่เกิน 2 ล้านตัน ทั้งมีข้อมูลที่
“เชื่อได้ว่า” การระบายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ
เป็นการนำข้าวสารในโกดังมาเวียนเทียนเข้าโครงการรับจำนำข้าว
เปลือกซ้ำอีกรอบ และเปาเกาข้าว
(นำข้าวเก่าในโกดังรัฐบาลมาปรับปรุงสภาพและส่งขายในตลาด) เท่านั้น
หลักฐานที่ชี้ชัด คือ ตัวเลขขายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ปี 2555 ที่ระบุว่า
มีการส่งออกข้าวแบบจีทูจี 1.7 ล้านตัน
แต่พบว่าเป็นการส่งออกแบบจีทูจีในนามบริษัทเอกชนรายหนึ่งเพียง 3 แสนตัน
ส่วนข้าวสาร 1.4 ล้านตัน ไม่มีหลักฐานการเปิด “แอล/ซี”
และการโอนเงินค่าข้าวจากประเทศผู้ซื้อข้าว
เช่นกันล่าสุดวันที่ 1 ม.ค.5 ก.พ. 2556 ไทยมีปริมาณจะส่งออกข้าว 4.48
แสนตัน เพิ่มขึ้น 24.01%
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีปริมาณส่งออกข้าว 3.61 แสนตัน
แต่ไม่ต้องแปลกใจ
เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวหอมมะลิในโครงการด้วยวิธีพิเศษแก่ผู้
ส่งออกที่ราคา 28.5 บาทต่อกิโลกรัม ปริมาณ 2 แสนตัน
และได้ทยอยส่งมอบไปกันแล้ว
และข้าวสารที่ส่งออกแทบทั้งหมดเป็นข้าวหอมมะลิที่เป็นที่ต้องการของตลาด
ไม่ใช่ข้าวขาวที่เป็นข้าวส่วนใหญ่ในสต๊อกของรัฐบาล
จากข้อมูลเหล่านี้ ชี้ให้เห็นแนวโน้มการระบายข้าวจากสต๊อกรัฐบาลที่ยังคง “เชื่องช้า” ต่อไป
ทางออกทางเดียววันนี้ คือ กระทรวงพาณิชย์ต้องเทขายข้าวทุกราคาที่มีโอกาส
“เราเก็บข้าวสารจากโครงการรับจำนำมาแล้ว 1 ปี ถ้าไม่เร่งขายในอีก 6
เดือน ก็มีหวังข้าวเน่าคาโกดัง นี่จึงเป็นเหตุให้กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA)
คาดว่า ปีนี้ไทยจะส่งออกข้าว 8 ล้านตัน แต่ราคาคงจะไม่สูง
หากไม่ทำเช่นนั้นจะไม่มีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีที่ 3 แน่นอน” สมพร
อิศวิลานนท์ แห่งสถาบันคลังสมองของชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านข้าว ระบุ
แต่ทว่าการจะใช้วิธีแอบขายข้าวผ่านเครือข่ายโรงสีและบริษัทที่ใกล้ชิดก็
ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) จับตาการระบายข้าวไม่วางตา แหล่งข่าวรายหนึ่ง เปิดเผยว่า
“ป.ป.ช.เงื้อดาบจ้องฟันคนบงการแอบขายข้าวในโกดังอยู่
ทำให้กระทรวงพาณิชย์ชะลอขายข้าวจากไม่มีเงินคืน ธ.ก.ส.”
แต่นั่นก็เป็นที่มาของประเด็นที่น่าขบคิดมากกว่า คือ
การที่รัฐบาลกู้เงินจาก ธ.ก.ส.
มาใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกอย่างสนุกมือ
แต่แทบไม่มีเงินที่ได้จากการขายข้าวส่งคืนมา ธ.ก.ส.ตามแผนที่วางไว้
ยิ่งกรณีที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ แอ่นอกตอบกระทู้ในสภา
กรณีการตรวจสอบทุจริตการระบายข้าวสารในโครงการรับจำนำว่า
การตรวจสอบทุจริตโครงการที่ยังต้องสอบเพิ่มอีก 90 วัน
นั่นก็เท่ากับว่ากระทรวงพาณิชย์จะต้องชะลอการระบายข้าวในสต๊อกไปอีก 3 เดือน
ส่งผลให้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก “มีแต่เงินไหลออก ไม่มีเงินไหลเข้า” แน่นอนว่าจะสะเทือนต่อฐานะการเงินของ ธ.ก.ส.อย่างเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ผลพวงจากโครงการรับจำนำข้าว สั่นคลอน “เก้าอี้” ประธานบอร์ด
ธ.ก.ส. ของกิตติรัตน์ เพราะถูกรัฐมนตรีสายเจ๊ ด. “แท็กทีม”
จนหลุดจากเก้าอี้ประธานบอร์ด ธ.ก.ส. แบบสมยอม
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องบากหน้าหวงหนี้ค่าข้าว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
กิตติรัตน์จะพ้นบ่วงความรับผิดชอบโครงการนี้ไปได้
เพราะมีความเป็นไปได้อย่างสูงยิ่งที่ ธ.ก.ส.จะต้องมีการเพิ่มทุนอีกรอบ
หลังจากปี 2555 ที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติการเพิ่มทุนของ ธ.ก.ส. จาก 5
หมื่นล้านบาท เป็น 6 หมื่นล้านบาท
แม้ไม่เปิดปากจากคนในรัฐบาลว่าเป็นผลจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก แต่คนใน
ธ.ก.ส. ต่างรู้ถึงสาเหตุการเพิ่มทุนครั้งนี้ดี
“แม้ว่าเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นเงินที่รัฐบาล “กู้”
จาก ธ.ก.ส. มาใช้ก่อน แต่เมื่อรัฐบาลยืมเงินจำนวนมาก “แต่ไม่คืน”
ย่อมส่งผลต่อสภาพคล่องของ ธ.ก.ส. และนั่นทำให้ ธ.ก.ส. มีฐานะการเงิน
“ร่อแร่” และวิ่งหารัฐบาลให้เพิ่มทุน” แหล่งข่าวจาก ธ.ก.ส. เปิดเผย
ปรากฏการณ์นี้ ทำให้หวนคิดถึงธนาคารรัฐ 2 แห่งที่สนองนโยบายรัฐ
กระทั่งสถานการณ์ย่ำแย่ คือ
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
และธนาคารอิสลาม ที่กระทรวงประกาศว่าจะต้องนำเงินภาษีไป “อุ้ม”
ให้ธนาคารอยู่ต่อไปได้
หากสถานการณ์การเงิน ธ.ก.ส.ยังเป็นเช่นที่ผ่านมา
ไม่แคล้วที่รัฐบาลต้องนำเงินภาษีประชาชนมาอุ้มโครงการรับจำนำข้าวเปลือก
และแม้ว่ายังไม่ปิดโครงการแต่มีกระแสข่าวว่าจะขาดทุน 2 แสนล้านบาท
ซึ่งจะเป็นหนี้ย้อนกลับมาเป็นของคนไทยอีกรอบ
แล้วอย่างนี้ใครสมควรต้องรับผิดชอบบ้าง
นั่นคงต้องย้อนไปถามคนที่ปลุกปั้นโครงการกันเอง