Jump to content


Photo

พระไตรปิฎกกับการดำรงพระพุทธศาสนา


  • Please log in to reply
ยังไม่มีผู้แสดงความเห็นในกระทู้นี้

#1 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 03:02


ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก


ก่อนจะพูดถึงพระไตรปิฎกควรทำความเข้าใจกันก่อนว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร


พระพุทธศาสนา ก็คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า การ ที่เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า ขอให้นึกย้อนหลังไปถึงสมัยพุทธกาล
เมื่อพระพุทธเจ้าออกประกาศพระศาสนายังไม่มีพระพุทธศาสนาท่านทั้งหลายที่มาเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า ก็คือต้องการมาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

เพราะเหตุที่ต้องการฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็จึงเป็นผู้ฟังที่เราเรียกว่าเป็น สาวก คำว่า สาวก นั้นก็แปลว่าผู้ฟังนั่นเอง


เมื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ไปปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ การฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามนั้น
ก็เป็นพระพุทธศาสนาอีก พระพุทธศาสนาจึงมีความหมาย ทั้งเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และการปฏิบัติตามคำสั่งสอนนั้น

 

ถึงความหมายขยายไกล ก็จับหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ให้ได้

 

ต่อมาก็มีการจัดตั้งเป็นชุมชนเป็นสถาบัน เป็นองค์กร หมายความว่าคนมารวมกันเรียน มาฟังคำสั่งสอนขยายออกไป เรียกว่าเล่าเรียนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ปฏิบัติ ทำกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง เป็นจำนวนมากก็ต้องมีการจัดสรรดูแลต่างๆเพื่อให้คนทั้งหลายที่มาอยู่รวมกันเพื่อวัตถุประสงค์อย่างนี้ ได้เรียนได้ฟัง แล้วก็ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างได้ผลการจัดสรรดูแลให้มีการเล่าเรียน สดับฟัง และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าเป็นพระพุทธศาสนาด้วยความหมายของพระพุทธศาสนาก็เลยกว้างขวางออกไปพอถึงขั้นจัดตั้ง การดูแลให้มีการเล่าเรียนและปฏิบัติ ก็เลยรวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาเป็นชุมชนเป็นองค์กร เป็นสถาบันหรืออะไรๆ ที่กว้างขวางออกไปความหมายของพระพุทธศาสนาก็ขยายออกไปเป็นอย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบันนี้จนกระทั่งไปๆ มาๆ ก็เลยลืมไปเลยไม่รู้ว่าตัวพระพุทธศาสนาคืออะไรอยู่ตรงไหน ถ้าไม่ทบทวนกันไว้ให้ดีต่อไปก็จับไม่ถูก ว่าที่แท้นั้นพระพุทธศาสนาก็อยู่ที่จุดเริ่ม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง


เพราะฉะนั้น จะต้องจับตัวพระพุทธศาสนาไว้ให้อยู่ที่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ได้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้ามีการปฏิบัติมีการเชื่อถือกันไปมากมายใหญ่โต
แต่เสร็จแล้วไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ที่ว่ามานี้เป็นเรื่องแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนเป็นอันว่า คนที่มาหาพระพุทธศาสนา ก็คือต้องการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราไม่เอาอะไรอย่างอื่น เราไม่ได้ต้องการคำสั่งสอนของคนอื่นเป็นต้น

 

เมื่อเราต้องการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าถ้าเป็นสมัยพุทธกาล จะทำอย่างไรเราก็ไปฟังพระพุทธเจ้าถ้าอยู่ในวัดเดียวกับพระองค์ ก็ไปหาไปเฝ้าพระองค์ ไปที่ธรรมสภาที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรม ไปฟังพระองค์ หรือซักถามพระองค์ ทูลถามปัญหาต่างๆให้พระองค์ตรัสตอบให้ ถ้าอยู่ไกลก็เดินทางมา บางคนมาจากต่างประเทศขี่ม้า หรือว่านั่งเกวียนเดินทางกันมาเป็นวันเป็นเดือนก็เพียงเพื่อมาฟังพระพุทธเจ้าสั่งสอน


จุดเริ่มความคิดรวบรวมรักษาพระพุทธศาสนา คือต้นแบบของการสังคายนา

 

ต่อมา พระพุทธเจ้าปรินิพพานพระองค์จากเราไปแล้ว ถ้าเราต้องการพระพุทธศาสนา คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราจะเอาจากที่ไหน พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วถ้าไม่มีการรวบรวมบันทึกคำสั่งสอนของพระองค์ไว้ พระพุทธศาสนาก็เป็นอันว่าหมดสิ้นฉะนั้น เรื่องต่อไปนี้สำคัญมากคือการรวบรวมและบันทึกจารึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ต่อจากนั้นก็นำสืบทอดกันมาจนถึงยุคปัจจุบันว่าทำอย่างไรพวกเราเวลานี้ จึงโชคดีที่มีโอกาสรู้จักพระพุทธศาสนา


ขอย้อนไปเล่าว่าแม้แต่เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่พระพุทธเจ้าเองและพระสาวกองค์สำคัญโดยเฉพาะพระสารีบุตร ก็ได้คำนึงเรื่องนี้ไว้แล้วว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วถ้าไม่มีการรวบรวมประมวลคำสอนของพระองค์ไว้พระพุทธศาสนาก็จะสูญสิ้น ดังนั้นทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
ก็ได้มีการริเริ่ม เป็นการนำทางไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลังว่า ให้มีการรวบรวมคำสอนของพระองค์ ซึ่งเราเรียกว่า สังคายนา


สังคายนา คือการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า


แล้วทรงจำไว้เป็นแบบแผนอันเดียวกันคือรวบรวมไว้เป็นหลัก และทรงจำถ่ายทอดสืบมาเป็นอย่างเดียวกันตัวอย่างในสมัยพุทธกาลก็มีเป็นพระสูตรหนึ่งเลย

ตอนนั้นก็ปลายพุทธกาลแล้ว นิครนถนาฏบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีวิตลง สาวกของท่านไม่ได้รวบรวมคำสอนไว้ และไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ชัดเจน ปรากฏว่าเมื่อศาสดาของศาสนาเชนสิ้นชีวิตไปแล้วสาวกลูกศิษย์ลูกหา ก็แตกแยกทะเลาะวิวาทกันว่า ศาสดาของตนสอนว่าอย่างไร

ครั้งนั้นท่านพระจุนทเถระได้นำข่าวนี้มากราบทูลแด่พระพุทธเจ้า และพระองค์ได้ตรัสแนะนำให้พระสงฆ์ทั้งปวงร่วมกันสังคายนาธรรมทั้งหลายไว้ เพื่อให้พระศาสนาดำรงอยู่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน (ที.ปา.๑๑/๑๐๘/๑๓๙)

 

เวลานั้นพระสารีบุตรอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่คราวหนึ่งท่านปรารภเรื่องนี้แล้วก็กล่าวว่าปัญหาของศาสนาเชนนั้น เกิดขึ้นเพราะว่าไม่ได้รวบรวมร้อยกรองคำสอนไว้ เพราะฉะนั้นพระสาวกทั้งหลายทั้งปวงของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ควรจะได้ทำการสังคายนา คือรวบรวมร้อยกรองประมวล คำสอนของพระองค์ไว้ให้เป็นหลัก เป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวกัน


เมื่อปรารภเช่นนี้แล้ว พระสารีบุตรก็ได้แสดงวิธีการสังคายนาไว้เป็นตัวอย่าง โดยท่านได้รวบรวมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นข้อธรรมต่างๆ มาแสดงตามลำดับหมวด ตั้งแต่หมวดหนึ่ง ไปจนถึงหมวดสิบ คือเป็นธรรมหมวด ๑ ธรรมหมวด ๒ ธรรมหมวด ๓ ไปจนถึงธรรมหมวด ๑๐เมื่อพระสารีบุตรแสดงจบแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานสาธุการ(ที.ปา.๑๑/๒๒๕-๓๖๓/๒๒๔-๒๘๖)

 

หลักธรรมที่พระสารีบุตรได้แสดงไว้นี้ จัดเป็นพระสูตรหนึ่งเรียกว่า สังคีติสูตรแปลง่ายๆ ว่าพระสูตรว่าด้วยการ สังคายนาหรือสังคีติ

นี้เป็นตัวอย่างที่พระอัครสาวกสูงสุด คือพระสารีบุตรได้กระทำไว้ แต่ปรินิพพานแล้วก็เป็นอันว่า พระสารีบุตรไม่ได้อยู่ที่จะทำงานนี้ต่อ แต่ก็มีพระสาวกผู้ใหญ่ที่ได้ดำเนินงานนี้ต่อมาโดยไม่ได้ละทิ้งกล่าวคือ พระมหากัสสปเถระ ซึ่งตอนที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานนั้นเป็นพระสาวกผู้ใหญ่มีอายุพรรษามากที่สุดเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน งานรักษาพระพุทธศาสนาก็เริ่มทันที


พระมหากัสสปเถระนั้นทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ ๗ วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่พร้อมด้วยหมู่ลูกศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้นลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะจำนวนมากซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณที่นั้นมีพระภิกษุที่บวชเมื่อแก่องค์หนึ่ง ชื่อว่า สุภัททะ ได้ พูดขึ้นมาว่า ท่านทั้งหลายจะร้องไห้กันไปทำไม พระพุทธเจ้าปรินิพพานนี้ก็ดีไปอย่าง คือว่าตอนที่พระองค์ยังอยู่นั้นพระองค์ก็คอยดูแล คอยกวดขันตรัสห้ามไม่ให้ทำสิ่งโน้นสิ่งนี้แนะนำให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้พวกเราก็ลำบาก ต้องคอยระมัด ระวังตัวทีนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนี่ พวกเราคงจะทำอะไรได้ตามชอบใจ ชอบอะไรก็ทำ ไม่ชอบอะไรก็ไม่ทำ


พระมหากัสสปเถระได้ฟังคำนี้แล้วก็นึกคิดอยู่ในใจ แต่ไม่ได้กล่าวออกมาคือท่านนึกคิดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปใหม่ๆ แค่นี้ก็ยังมีคนคิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัย ท่านก็เลยคิดว่าควรจะทำการสังคายนาท่านวางแผนไว้ในใจว่าจะชักชวนพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีอยู่สมัยนั้นซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรงเป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้าและได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า จะชวนให้มาประชุมกันมาช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วตกลงวางมติไว้ ก็คือคิดว่าจะทำสังคายนา

 

แต่เฉพาะเวลานั้นท่านต้องเดินทางไปที่ปรินิพพานและจัดการเรื่องการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระให้เสร็จเสียก่อน ท่านจึงเดินทางไปยังเมืองกุสินารา แล้วก็เป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ในพระราชูปถัมภ์ของกษัตริย์มัลละทั้งหลาย เมื่องานจัดการเรื่องพระพุทธสรีระเสร็จแล้ว พระมหากัสสปเถระก็ดำเนินงานตามที่ท่านได้คิดไว้ คือได้ชักชวน นัดหมายกับพระอรหันต์ผู้ใหญ่ เพื่อจะทำการสังคายนา

 

ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องของงานใหญ่แห่งการสังคายนาซึ่งมีการเตรียมการถึง ๓ เดือน ซึ่งได้ที่ประชุมที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ณ ภูเขาชื่อเวภาระ เมืองราชคฤห์ พระเจ้าแผ่นดินตอนนั้นทรงพระนามว่า อชาตศัตรูซึ่งได้ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์การสังคายนา ตั้งแต่การจัดเตรียมสถานที่ เมื่อจะทำสังคายนา ก็มีการคัดเลือกตัวบุคคลที่จะเข้าร่วมประชุม จึงคัดเลือกได้พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่เห็นร่วมกันว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติมีความรู้ความสามารถ เช่นเป็นหัวหน้าหมู่คณะ เป็นผู้ได้จำคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้มากและชัดเจนในการประชุมนี้พระมหากัสสปเถระทำหน้าที่เป็นประธาน โดยเป็นผู้ซักถามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าเองทรงแบ่งไว้เป็น ๒ ส่วน เรียกว่า ธรรมส่วนหนึ่งและวินัยส่วนหนึ่ง

ธรรม คือ หลักคำสอนว่าด้วยความจริงของสิ่งทั้งหลาย พร้อมทั้งข้อประพฤติปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำตรัสแสดงไว้โดยสอดคล้อง กับความจริงนั้น

ส่วน วินัย คือ ประมวลพุทธบัญญัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการเป็นอยู่ หรือกฎระเบียบต่างๆ ของสงฆ์ ที่จะดำรงไว้ซึ่งภาวะอันเกื้อหนุนให้ภิกษุและภิกษุณีประพฤติปฏิบัติตามธรรม นั้นอย่างได้ผลดี และรักษาพระศาสนาไว้ได้

 

ด้วยเหตุนี้จึงเรียกพระพุทธศาสนาด้วยคำสั้นๆ ว่า ธรรมวินัย

 

ฝ่ายธรรมนั้นผู้ที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะติดตามพระองค์ไปอยู่ใกล้ชิดเป็นผู้อุปัฏฐากของพระองค์ ก็คือพระอานนท์ ที่ประชุมก็ให้พระอานนท์เป็นผู้นำเอาธรรมมาแสดงแก่ที่ประชุมหรือเป็นหลักของที่ประชุมในด้านธรรม

ส่วนด้านวินัย พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง พระอุบาลีไว้ว่าเป็นเอตทัคคะที่ประชุมก็คัดเลือกพระอุบาลีให้มาเป็นผู้นำในด้านการวิสัชนาเรื่องของวินัย

 

ทั้งหมดนี้เราเรียกกันง่ายๆ ว่าสังคายนาพระธรรมวินัย

 

เมื่อได้ตัวบุคคลเรียบร้อยแล้วก็เริ่มประชุมกันอย่างที่กล่าวแล้วว่า ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา โดยมีพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เริ่มการประชุมเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๓ เดือน การประชุมดำเนินอยู่เป็นเวลา ๗ เดือน จึงเสร็จสิ้น แสดงว่าเป็นงานที่ใหญ่มาก เรื่องการทสังคายนาครั้งแรกนี้ ท่านเล่าไว้ในพระไตรปิฎกด้วย
ผู้ต้องการความละเอียดสามารถไปอ่านได้เอง(วินัย.๗/๖๑๔-๖๒๘/๓๗๙-๓๙๔)


เมื่อสังคายนาพระธรรมวินัย ก็ให้พระพุทธศาสนาเถรวาทเกิดขึ้นมา

 

วิธีการสังคายนาที่เรียกว่าวิธีการร้อยกรองหรือรวบรวม พระธรรมวินัย หรือประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็คือ นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงในที่ประชุมแล้วก็มีการซักถามกัน จนกระทั่งที่ประชุมลงมติว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน เมื่อได้มติร่วมกันแล้วในเรื่องใดก็ให้สวดพร้อมกันการสวดพร้อมกันนั้นแสดงถึงการลงมติร่วมกันด้วยและเป็นการทรงจำกันไว้อย่างนั้นเป็นแบบแผนต่อไปด้วยหมายความว่า ตั้งแต่นั้นไป คำสอนตรงนั้นก็จะทรงจำไว้อย่างนั้น เมื่อจบเรื่องหนึ่งก็สวดพร้อมกันครั้งหนึ่ง อย่างนี้เรื่อยไปใช้เวลาถึง ๗ เดือน

 

การสวดพร้อมกันนั้นเรียกว่า สังคายนาเพราะคำว่า สังคายนา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังคีติ แปล ว่า สวดพร้อมกัน คายนา หรือคีติ (เทียบกับคีต ในคำว่าสังคีต)แปลว่าการสวด สํ แปลว่าพร้อมกัน สังคายนา ก็คือสวดพร้อมกัน ถ้าเป็นชาวบ้านก็ร้องเพลงพร้อมกัน

เป็นอันว่า ผ่านเวลาไป ๗ เดือนพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ก็ได้ทำสังคายนาประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นมติร่วมกันได้เรียบร้อย คำสอนที่รวบรวมประมวลไว้นี้ เป็นที่มั่นใจ เพราะทำโดยท่านที่ได้ทันรู้ทันเห็นทันเฝ้าทันฟังจากพระพุทธเจ้าโดยตรงคำสอนที่ลงมติกันไว้อย่างนี้ซึ่งเรานับถือกันมาเรียกว่า เถรวาท
แปลว่า คำสอนที่วางไว้เป็นหลักการของพระเถระคำว่าเถระในที่นี้ หมายถึงพระเถระผู้ประชุมทำสังคายนา ครั้งที่ ๑ ที่ว่าไปแล้วนี้

พระพุทธศาสนาซึ่งถือตามหลักที่ได้สังคายนาครั้งแรกดังกล่าวมานี้ เรียกว่า เถรวาท หมายความว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคือพระธรรมวินัย ทั้งถ้อยคำและเนื้อความ อย่างไรที่ท่านสังคายนากันไว้ ก็ทรงจำกันมาอย่างนั้น ถือตามนั้นโดยเคร่งครัดเพราะฉะนั้นจึงต้องรักษาแม้แต่ตัวภาษาเดิมด้วย หมายความว่ารักษาถ้อยคำข้อความดั้งเดิมที่เป็นของแท้ของจริง ภาษาที่ใช้รักษาพระธรรมวินัยไว้นี้ เรียกว่า ภาษาบาลีเพราะฉะนั้น คำสอนของเถรวาทจึงรักษาไว้ในภาษาบาลีตามเดิม
คงไว้อย่างที่ท่านสังคายนา

 

พระธรรมวินัยสำคัญเพียงใดจึงทำให้ต้องมีการสังคายนา

 

ธรรมวินัยหรือหลักคำสอนที่สังคายนาไว้นี่แหละ เป็นตัวพระพุทธศาสนา เพราะได้บอกแล้วว่าพระพุทธศาสนาก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือเรานับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติไปตามคำสั่งสอนนั้น พร้อมทั้งดูแลจัดสรรทำการต่างๆ เพื่อให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เรียนรู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นการปฏิบัติอย่างนี้ก็เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าเองได้ตรัสไว้ คือเมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสไว้เองว่า พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งพระภิกษุสาวกองค์ใดให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่พระองค์ตรัสไว้เป็นภาษาบาลีว่า

“โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปตฺโต โส โว มมจฺจเยนสตฺถา”(ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘)

แปลว่า : ดูกรอานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย
ในเมื่อเราล่วงลับไป

หมายความว่าพระพุทธเจ้าตรัสให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์นี้ เป็นศาสดาแทนพระองค์เพราะฉะนั้น การสังคายนาจึงถือด้วยว่าเป็นการปฏิบัติตามพุทธพจน์ ที่เหมือนกับได้ทรงฝากฝังสั่งเสียไว้ว่า ให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์ เป็นศาสดาแทนพระองค์เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้ให้ดี เพราะการรักษาพระธรรมวินัยที่สังคายนาไว้ก็คือรักษาพระศาสดาของเราไว้เหมือนรักษาพระพุทธเจ้าไว้นั่นเอง


จากพระธรรมวินัยมาอย่างไรจึงเป็นพระไตรปิฎก

 

ขอกล่าวต่อไปว่าการสังคายนาที่บอกเมื่อกี้ว่าเป็นการประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้หรือประมวลพระธรรมวินัยไว้นั้นนอกจากประมวลคือรวมมาแล้ว
ก็มีการจัดหมวดหมู่ไปด้วยการจัดหมวดหมู่นั้นก็เพื่อให้ทรงจำได้สะดวก และง่ายต่อการแบ่งหน้าที่กันในการรักษา กับทั้งเกื้อกูลต่อการศึกษาค้นคว้าด้วย
นอกจากแบ่งโดยส่วนใหญ่เป็นธรรมกับวินัยแล้วก็ยังมีการจัดแยกซอยย่อยออกไปอีก

 

ธรรมนั้น แยกย่อยออกไปเป็น ๒ ส่วนเพราะธรรมนั้นมากมายเหลือเกินต่างจากวินัยซึ่งมีขอบเขตแคบกว่า เพราะวินัยเป็นเรื่องของบทบัญญัติเกี่ยวกับการรักษาสังฆะ
คือคณะสงฆ์ไว้ เพื่อให้ชุมชนแห่งพระภิกษุ และพระภิกษุณี ดำรงอยู่ด้วยดี แต่ธรรมเป็นคำสอนที่ครอบคลุมพระพุทธศาสนาทั้งหมดสำหรับพุทธบริษัททั้ง ๔


เนื่องจากธรรมมีมากมายจึงมีการแบ่งหมวดหมู่ออกไปอีก โดยแยกขั้นแรกเป็น ๒ ก่อน คือ

๑.ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไปตามกาลเทศะ ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้น คือเสด็จไปพบคนโน้น เขาทูลถามเรื่องนี้ พระองค์ก็ตรัสตอบไป
เสด็จไปพบชาวนา ทรงสนทนาโต้ตอบกับเขาจบไป ก็เป็นเรื่องหนึ่งเสด็จไปเจอกับพราหมณ์ ได้สนทนากับเขา หรือตอบคำถามของเขา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเสด็จไปเจอกษัตริย์หรือเจ้าชาย ก็สนทนากันอีกเรื่องหนึ่ง ธรรมที่ตรัสแสดงแก่บุคคลต่างๆ ในสถานการณ์ต่างๆ แต่ละเรื่องๆ จบไปเรื่องหนึ่งๆ นี้ เรียกว่า สูตรหนึ่งๆ

ธรรมในรูปนี้มากมาย เรื่องหนึ่งๆก็มีสาระไปอย่างหนึ่ง ตามแต่ว่าพระองค์ได้ตรัสแก่บุคคลประเภทใด เพื่อทรงชี้แจงอธิบายหรือตอบปัญหาเรื่องไหน
ตรงกับพื้นเพภูมิหลังความสนใจและระดับความรู้ความเข้าใจหรือระดับสติปัญญาของเขา ฉะนั้นธรรมแบบนี้จึงเห็นได้ว่ามีเนื้อหาแตกต่างกันมาก พอจบเรื่องนี้ที่ตรัสแก่ชาวนา ซึ่งเป็นธรรมระดับหนึ่ง เพียงเปลี่ยนไปอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้นก็เป็นธรรมคนละด้านคนละระดับกันเลย

ตัวอย่างเช่น ตรัสกับชาวนาเป็นเรื่องการทำมาหากิน หรือเรื่องการหว่านพืช ก็อาจจะตรัสเกี่ยวกับความขยันหมั่นเพียร หรืออาจจะเทียบกับการปฏิบัติบางอย่างของพระภิกษุก็สุดแต่ แต่พอไปอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์สนทนากับพราหมณ์ก็อาจจะตรัสเรื่องวรรณะ หรือเรื่องไตรเพทของพราหมณ์ หรือเรื่องการบูชายัญดังนี้เป็นต้น

ธรรมที่ตรัสแบบนี้ พอเปลี่ยนเรื่องไปเนื้อหาก็เปลี่ยนไป ห่างกันมากฉะนั้นเนื้อหาสาระจึงไม่ไปตามลำดับแต่ละเรื่องๆ นั้นก็เรียกว่าสูตรหนึ่งๆธรรมที่ตรัสแสดงแบบนี้
คือตรัสแสดงแก่บุคคล โดยปรารภเรื่องราว เหตุการณ์ สถานการณ์คนละอย่างๆนี้ รวมไว้ด้วยกัน จัดไว้พวกหนึ่ง เรียกว่าพระสูตร

 

๒. ธรรมอีกประเภทหนึ่งคือธรรมที่แสดงไปตามเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์ไม่คำนึงว่าใครจะฟังทั้งสิ้นเอาแต่เนื้อหาเป็นหลักอย่างที่เรียกกันในปัจจุบันว่าเป็นวิชาการล้วนๆ คือยกหัวข้อธรรมอะไรขึ้นมาก็อธิบายให้ชัดเจนไปเลย เช่นยกเรื่องขันธ์ ๕ มา ก็อธิบายไปว่าขันธ์ ๕นั้น คืออะไร แบ่งออกเป็นอะไรบ้าง
แต่ละอย่างนั้นเป็นอย่างไรๆอธิบายไปจนจบเรื่องขันธ์ ๕หรือว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็อธิบายไปในแง่ด้านต่างๆจนกระทั่งจบเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทนั้น ธรรมที่แสดงเอาเนื้อหาเป็นหลักอย่างนี้ ก็จัดเป็นประเภทหนึ่ง เรียกว่า พระอภิธรรมส่วนวินัยก็ยังคงเป็นวินัยอยู่เท่านั้นเรียกกันว่า พระวินัย

 

ตอนนี้จะเห็นว่า เมื่อแยกธรรมเป็น ๒ ส่วน คือเป็น พระสูตรกับพระอภิธรรม แล้วมีวินัยเดิมอีกหนึ่งธรรมเป็น ๒ วินัย ๑ รวมกันก็เป็น ๓ ถึงตอนนี้ก็เกิดเป็นการจัดหมวดหมู่ พระธรรมวินัยอีกแบบหนึ่ง เป็นปิฎก ๓ ที่เรียกว่า พระไตรปิฎก

 

ปิฎก แปลว่าตะกร้า หรือกระจาด โดยมีความหมายเชิงเปรียบเทียบว่าเป็นที่รวบรวม เพราะกระจาดตะกร้า กระบุง บุ้งกี๋นั้น เป็นที่รวบรวมทัพสัมภาระ ในที่นี้ก็คือรวบรวมจัดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นประเภทๆเป็นหมวดๆ จึงเป็น ๓ ปิฎก เรียกว่า ไตรปิฎก คือ

๑. พระวินัยปิฎก เป็นที่รวบรวมพระวินัย ซึ่งประกอบด้วยกฎเกณฑ์กติกาสำหรับรักษาภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ไว้

๒. พระสุตตันปิฎก เป็นที่รวบรวมพระสูตรทั้งหลาย คือธรรมที่ตรัสแสดงแก่บุคคลหรือปรารภเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรบางอย่าง เป็นแต่ละเรื่องๆ ไป

๓. พระอภิธรรมปิฎก เป็นที่รวบรวมคำอธิบายหลักคำสอนที่เป็นเนื้อหาสาระเป็นหลักการแท้ๆ หรือเป็นวิชาการล้วนๆ

 

พระไตรปิฎกสำคัญเพียงใด

 

เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้ก็รวมความได้ว่าพระไตรปิฎก ก็คือที่รวบรวมพระธรรมวินัย อันได้แก่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าเป็นพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า นี่แหละคือศาสดาของชาวพุทธทั้งหลายเราจึงได้ถือกันมาเป็นหลักว่าจะต้องรักษา แล้วก็เล่าเรียนและปฏิบัติตามหลักคำสอนในพระไตรปิฎกนี้

พร้อมกันนั้นก็ใช้คำสั่งสอนคือพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกนี้แหละเป็นหลักเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการตัดสินความเชื่อถือและการประพฤติปฏิบัติของ พุทธศาสนิกชน ทั้งหลายว่า เป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าไม่เป็นไปตามที่ได้รวบรวมประมวลสังคายนาและรักษาสืบต่อไว้ในพระไตรปิฎก หรือคลาดเคลื่อนจากนั้น ก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ถ้าถูกต้องตามนั้นก็เป็นพระพุทธศาสนา

สิ่งที่เราเล่าเรียนปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นด้านวินัยของพระภิกษุสงฆ์ เช่นการบวช การมีโบสถ์ การสร้างกุฏิ การกรานกฐินและสังฆกรรมต่างๆ การใช้ไตรจีวรของพระภิกษุ การที่พระภิกษุทำอะไรได้หรือไม่ได้ การที่จะต้องอาบัติต่างๆ มีปาราชิก เป็นต้นหรือการที่ชาวบ้านจะทำบุญทำทานคำว่าทานก็ดี คำว่าบุญก็ดี เรื่องศีลเรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ไตรสิกขาภาวนาต่างๆ ขันธ์ ๕ ไตรลักษณ์ อริยสัจจ์ตลอดถึงพระนิพพาน ก็ล้วนมาจากพระไตรปิฎกทั้งนั้น


ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกเราก็ไม่รู้จักถ้อยคำเหล่านี้เลยและพระภิกษุก็ไม่มีมาตรฐานที่จะวัดว่าตัวประพฤติปฏิบัติอย่างไรถูกอย่างไรผิด อะไรเป็นอาบัติปาราชิก
อะไรเป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัยปาจิตตีย์ ไม่มีพระไตรปิฎกเสียอย่างเดียวเป็นอันหมดสิ้น คือหมดสิ้นพระพุทธศาสนานั่นเอง

 

เป็นอันว่าเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เราก็ฟังคำสั่งสอนของพระองค์จากพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เราต้องการพระพุทธศาสนา คือ ต้องการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราจะไปเอาจากที่ไหน ก็ต้องไปเอาจากที่ท่านรวบรวมประมวลไว้ซึ่งถ่ายทอดสืบต่อกันมาในพระไตรปิฎก
เพราะพระไตรปิฎกเป็นที่รักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาไว้ หรือรักษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้

 

พระไตรปิฎกยุคท่องจำแม่นยำแค่ไหน

 

ทีนี้การรักษาสืบต่อพระไตรปิฎกนั้นท่านทำกันมาอย่างไร เรื่องนี้ต้องแบ่งเป็น ๒ ยุค คือ
๑.ยุคที่สืบต่อมาด้วยการทรงจำแบบปากเปล่า เรียกว่า มุขปาฐะ หรือมุขบาฐ และ

๒. ยุคที่ได้จารึกเป็นตัวอักษร เช่นในใบลาน เป็นต้น

ช่วงแรก เป็นยุคของการรักษาไว้ด้วยการทรงจำโดยสวด หรือสาธยายแต่ก่อนนี้อาตมาเองก็เคยสงสัย เหมือนหลายคนสงสัยว่าเมื่อรักษาด้วยการทรงจำก็น่ากลัวว่าจะมีการคลาดเคลื่อนเลอะเลือนหลงลืมไปแต่เมื่อเวลาผ่านมาได้พิจารณาไตร่ตรองและได้เห็นหลักฐานและหลักการต่างๆ ก็กลายเป็นว่า การรักษาด้วยการท่องโดยสวดแล้วทรงจำไว้นั่นแหละเป็นวิธีที่แม่นยำยิ่งกว่ายุคที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร

ที่ว่าอย่างนั้นเพราะอะไร ? เพราะว่าการท่องที่จะทรงจำพระไตรปิฎก หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า ธรรมวินัยนั้น ท่านทำด้วยวิธีสวดพร้อมกัน คือ
คล้ายกับที่เราสวดมนต์กันทุกวันนี้แหละเวลาสวดมนต์พร้อมกัน เช่นสวดกัน ๑๐ คน๒๐ คน ๕๐ คน ๑๐๐ คนนั้น จะต้องสวดตรงกันหมดทุกถ้อยคำ จะตกหล่นตัดขาดหายไปก็ไม่ได้ จะเพิ่มแม้คำเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะขัดกัน ดีไม่ดีก็สวดล้มไปเลยเพราะฉะนั้นการที่จะสวดโดยคนจำนวนมากๆให้เป็นไปด้วยดี ให้สวดคล้องกลมกลืนกัน ก็จะต้องสวดเหมือนกันหมด ท่านจึงรักษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ด้วยวิธีนี้ คือทรงจำพระไตรปิฎกด้วยวิธีสวดพร้อมกันจำนวนมากๆ พระสงฆ์ทั้งหลายนั้นท่านเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎก เพราะรู้อยู่ว่านี้แหละคือพระพุทธศาสนา ถ้าหมดพระไตรปิฎกเมื่อไรพระพุทธศาสนาก็หมดไปเมื่อนั้น ถ้าพระไตรปิฎกเคลื่อนคลาดไป พระพุทธศาสนาก็เคลื่อนคลาดไปด้วยพระเถระรุ่นก่อนนั้นถือความสำคัญของพระไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่งแม้แต่ในยุคที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว
ก็ต้องถึงกับพูดกันว่า อักษรตัวหนึ่งๆ อันเป็นพระปริยัติศาสน์ของพระศาสดา มีค่าเท่ากับพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ามองในแง่บวก ก็คือจะต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ดี แม้แต่จารึกหรือสนับสนุนการจารึกเพียงนิดหน่อยก็เป็นบุญเป็นกุศลมาก

แต่มองในแง่ลบ ก็คือถ้าใครไปทำให้ผิดพลาด แม้แต่อักษรเดียวก็เหมือนทำลายพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นบาปมาก นี่แหละท่านให้ความสำคัญถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น
พระเถระรุ่นก่อน ท่านจึงระวังมากในเรื่องการรักษาทรงจำพระไตรปิฎกไม่ให้ผิดเพี้ยนรวมความว่า

๑. มีความระมัดระวัง เห็นเป็นสำคัญมากเพราะถือว่าเป็นตัวพระพุทธศาสนา

๒. ถือเป็นงานของส่วนรวมโดยเฉพาะพระเถระผู้ใหญ่ ผู้นำหมู่คณะและพระสงฆ์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนาจะต้องเอาธุระในการดูแลรักษาอย่างยิ่ง

เป็นอันว่า การรักษาด้วยวิธีเดิมคือการทรงจำด้วยการสาธยายนั้นเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดเพราะรักษาโดยส่วนรวมที่สวดพร้อมกันพร้อมกันนั้นแต่ละองค์ก็มีหน้าที่ต้องท่องจำอยู่แล้วโดยจะต้องมีการซักซ้อม และทบทวนกันอยู่เสมอ ซึ่งปรากฏแม้แต่ในสมัยนี้ ในพม่าก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ กล่าวคือในยุคนี้ ทั้งๆ ที่มีคัมภีร์จารึกและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือแล้ว เขาก็ยังพยายามสนับสนุนพระภิกษุให้ทรงจำพระไตรปิฎก

 

ในพม่าปัจจุบันยังมีประเพณีเป็นทางการของบ้านเมือง คือมีการสอบพระภิกษุที่มาสมัครเพื่อจะแสดงความสามารถในการทรงจำพระไตรปิฎก พระภิกษุองค์ใดสอบผ่านแสดงว่า ทรงจำพระไตรปิฎกได้หมด ซึ่งถ้านับเป็นตัวหนังสือพิมพ์เป็นอักษรไทย ก็ได้ ๔๕ เล่ม ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า ถ้าจำได้ทั้งหมด ทางการจะตั้งให้เป็น พระติปิฏกธร แปลว่า ผู้ทรงจำพระไตรปิฎกจะได้เป็นพระที่เคารพนับถือองค์หนึ่งและทางรัฐบาลจะเลี้ยงดูโยมพ่อแม่ของพระภิกษุนั้น และอุปถัมภ์บำรุงด้วยประการต่างๆ

เดี๋ยวนี้ก็ยังมีพระติปิฏกธร คือพระภิกษุรูปเดียวที่สามารถจำพระไตรปิฎกได้หมดทั้ง ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า เป็นหลักฐานยืนยันให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย นี่คือองค์เดียวเท่านั้น ก็ยังจำไหว ในสมัยโบราณต้องใช้วิธีทรงจำโดยท่องปากเปล่าอย่างนี้ เพราะไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะฉะนั้น พระภิกษุทั้งหลายก็ทรงจำกันไว้ องค์ไหนทรงจำไว้ได้มากที่สุด ก็จะได้รับความเชื่อถือ และเคารพนับถือ

 

พระไตรปิฎกยุคจารึกเป็นลายลักษณ์ถือเป็นหลักของชาติจึงคงอยู่ได้ด้วยดี

 

ต่อมาถึง พ.ศ. ใกล้ ๕๐๐ จึงได้เริ่มมีการใช้วิธีจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในใบลาน พอถึงยุคจารึกลงในใบลานนี้แหละกลายเป็นยุคที่จะมีความคลาดเคลื่อนได้ง่ายเพราะคนเริ่มประมาทว่า เออ เรามีใบลานมีหนังสือที่จารึกไว้แล้วอยากรู้ก็ไปเปิดดูและตรวจสอบได้ง่ายเราไม่ต้องจำให้มาก ไปๆ มาๆการสวดสาธยายพระไตรปิฎกก็เหลืออยู่แค่สวดมนต์ อย่างทำวัตรสวดมนต์ที่เราเห็นๆ กันอยู่คนก็จำพุทธพจน์ได้น้อยลงๆเหลือน้อยลงไปทุกที

นอกจากนั้นในการคัดลอกเป็นลายลักษณ์อักษรที่เรียกว่าจาร เวลาคัดลอกกันทีหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะมีการตกหล่นหรือผิดเพี้ยน เช่นตัว จ เป็น ว หรือตัว ว
เป็น จ เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการคัดลอกในระดับที่เป็นทางการใหญ่ของคณะสงฆ์ทั้งหมด หรือเป็นระดับของประเทศชาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศพุทธศาสนาทุกประเทศจะถือเรื่องนี้เป็นสำคัญจะต้องมีพระไตรปิฎกฉบับหลวงเป็นของราชการเป็นของแผ่นดิน เป็นของประเทศชาติรักษาไว้เป็นหลักของกลาง แล้วมาคัดลอกต่อๆ กันไปนานๆ จึงต้องมีการมาประชุมกันระดับชาติแล้วก็เอามาตรวจสอบกัน เอามาทานกัน ตรงไหนตกหล่น ผิดพลาดไป ก็ทำเชิงอรรถไว้ คือถือเรื่องความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระไตรปิฎกเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดในพระ พุทธศาสนาเพราะนี้คือองค์แทนที่แท้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระศาสดา และเป็นตัวพระพุทธศาสนาจะเห็นว่า ประเทศพุทธศาสนาทุกประเทศ ถือเรื่องพระไตรปิฎกเป็นหลักสำคัญยิ่งเวลานำพระพุทธศาสนาไปประเทศต่างๆก็คือจะต้องนำพระไตรปิฎกไป
อย่างพระเจ้าอโนรธามังช่อ ที่เป็นมหาราชของพุกาม ผู้เป็นต้นความยิ่งใหญ่ของพม่าที่ปราบมอญลงได้ ตอนนั้นมอญนับถือพระพุทธศาสนา พระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรือพระเจ้าอโนรธามังช่อไปปราบมอญได้แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนา ก็นำเอาพระไตรปิฎกจากมอญไปยังพุกามพระภิกษุทั้งหลายเดินทางไปมาระหว่างประเทศในสมัยโบราณ ก็เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก คัดลอกพระไตรปิฎก และอรรถกถา พระเจ้าแผ่นดินไทยแต่ละยุค เวลาสร้างบ้านเมืองใหม่ ก็ทรงถือเรื่องพระไตรปิฎกเป็นการสำคัญ เช่นเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ถูกพม่าเผา พระเจ้ากรุงธนบุรีรวบรวมประเทศชาติได้ ทรงตั้งเมืองหลวงใหม่ที่กรุงธนบุรี พอตั้งเมืองหลวงเสร็จ ก็จัดการเรื่องคณะสงฆ์หาพระภิกษุที่น่าเคารพนับถือมาสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พอจัดเรื่องเฉพาะหน้าเสร็จแล้วภาระใหญ่อันสำคัญที่พระองค์ทรงกระทำ
ก็คือให้รวบรวมพระไตรปิฎก เพราะว่าอยุธยาถูกเผาพระคัมภีร์ถูกไฟไหม้ไปแล้วก็โปรดให้ไปรวบรวมพระไตรปิฎกจากหัวเมืองทั้งเมืองเหนือ เมืองใต้ เอามาเลือกคัดจัดตั้งเป็นสมบัติกลางไว้ที่เมืองหลวง เพื่อเป็นหลักของบ้านเมืองต่อไปพอมาถึงแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ สมัยกรุงเทพฯก็เหมือนกัน พอเริ่มตั้งกรุงเมื่อจัดบ้านเมืองพอเข้าที่สิ่งที่พระองค์ทรงรีบทำ คือเรื่องของพระไตรปิฎก ถึงกับมีการสังคายนาของกรุงเทพฯขึ้นมา ครั้นสังคายนาเสร็จเรียบร้อยสอบทานได้พระไตรปิฎก มาเป็นหลัก
ก็จัดตั้งเป็นฉบับหลวงของแผ่นดินจึงเป็นที่รู้กันว่า การรักษาพระไตรปิฎกเป็นงานสำคัญอย่างยิ่งยวดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

 

ในยุคทรงจำด้วยปากการรักษาพระไตรปิฎกก็คือ ท่องพร้อมกัน สวดพร้อมกัน มาสอบทานกันด้วยวาจาอยู่เสมอต่อมาในยุคที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ก็คือเอาคัมภีร์ที่จารึกไว้ทั้งหลายมาเทียบเคียงสอบทานกันอยู่เสมอการสอบทานกันนี้ เป็นความหมายของการสังคายนาในยุคหลัง ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า พระไตรปิฎกของเราที่เป็นบาลีจะไปอยู่ในพม่า ไปเป็นของสิงหลอยู่ในลังกา ไปอยู่ในประเทศไทยหรือไปอยู่ในประเทศไหน

แม้แต่ฝรั่งเอาไปคัดลอกเป็นฉบับอักษรโรมัน ก็เหมือนกันหมดเนื้อหาอย่างเดียวกันจะมีแปลกไปก็เพราะพิมพ์ผิดนิดๆ หน่อยๆอย่างของเรามีอยู่แห่งหนึ่ง ตกหล่นไป
ยาวหน่อย สักครึ่งค่อนหน้าก็ถือเป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว หมายความว่าพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทเรานี้ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไหน ทั้งๆที่อยู่ห่างไกลกันไปแสนนานเป็นพันปีก็ยังเหมือนกัน เนื้อหาอย่างเดียวกัน

 

แสดงถึงการที่ท่านให้ความสำคัญยิ่งนักกับการรักษา ในเวลาที่เรามีการตรวจชำระพระไตรปิฎกครั้งหนึ่ง เราก็เอาของทุกประเทศมาสอบทานเทียบเคียงกัน เพื่อดูว่ามีข้อความถ้อยคำหรืออักษรตัวไหนผิดเพี้ยนกันไหมแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เพียงว่า อักษร จ เป็น ว เราก็จะทำเชิงอรรถไว้ว่า ตรงนี้ฉบับของเราเป็นอย่างนี้ฉบับพม่าหรือฉบับไหนเป็นอย่างนั้นอย่างชื่อ พระอัญญาโกณฑัญญะมีการผิดเพี้ยนกันไปนิดหน่อย ฉบับของเราเป็น อัญญาโกณฑัญญะฉบับอักษรโรมันของ Pali Text Society เป็น อัญญาตโกณฑัญญะเป็นต้น ความแตกต่างแม้แต่นิดเดียวเราก็บันทึกไว้ให้รู้ในเชิงอรรถ

 

ต้องเข้าใจให้ชัดแค่ไหนใช่แค่ไหนไม่ใช่สังคายนา

 

การสังคายนานั้นต้องให้รู้ว่าเป็นการที่จะรักษาคำสอนเดิมเอาไว้ให้แม่นยำ ที่สุดไม่ใช่ว่าพระภิกษุที่สังคายนามีสิทธิ์เอาความคิดเห็นของตนใส่ลงไป

การสังคายนา ก็คือการมาทบทวนซักซ้อมตรวจสอบคัมภีร์ให้ตรงตามของเดิม และซักซ้อมตรวจสอบคนที่ไปทรงจำ หรือไปนับถืออะไรต่างๆ
ที่อาจจะผิดเพี้ยนไป ให้มาทบทวนตัวเอง ให้มาซักซ้อมกับที่ประชุม ให้มาปรับความเห็นความเชื่อ การปฏิบัติของตน ให้ตรงตามพระไตรปิฎกที่รักษากันมาอย่างแม่นยำ ที่เป็นหลักกลางนี้บางคนเข้าใจผิดว่า ในการสังคายนานี้ผู้ที่เข้าร่วมสังคายนา จะไปปรับไปแต่งไปทำอะไรกับพระไตรปิฎก ดีไม่ดีอาจจะถึงกับเข้าใจว่ามาแต่งพระไตรปิฎกกันใหม่ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปไกลแสดงว่าไม่รู้จักการสังคายนาและไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เพราะฉะนั้น จะต้องย้ำกันว่าการสังคายนาพระไตรปิฎก ก็คือการมาทบทวนตรวจสอบซักซ้อมกันในการที่จะรักษาพระไตรปิฎกของเดิมที่ท่าน สังคายนาไว้ ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ เมื่อ ๓ เดือน หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ของเดิมนั้นเป็นอย่างไร ก็ให้คงอยู่อย่างนั้น อย่างแม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อะไรที่คลาดเคลื่อน ใครทรงจำผิดไปก็ให้มาปรับเข้ากับของเดิมของแท้นี้เสียเพราะว่าเมื่อเรารักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือเราจะต้องรักษาคำตรัสของพระองค์ของเดิมไว้ให้ได้ ถ้าคำสอนคำตรัสเดิมหมดไป ก็คือพระพุทธศาสนาหมดไปแล้ว แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าในพระไตรปิฎกไม่ใช่มีเฉพาะคำตรัสของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
คำของพระสาวกก็มี เช่นคำของพระสารีบุตรที่ได้แสดงวิธีสังคายนาเป็นตัวอย่างไว้นั้น ก็เป็นพระสูตรอยู่ในพระไตรปิฎกชื่อ สังคีติสูตร

แต่ธรรมะที่พระสารีบุตรนำมาสังคายนาไว้ในสังคีติสูตรนั้น ก็คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า หรือธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้นั่นเอง นอกจากนั้นก็มีคำสนทนากับผู้อื่นซึ่งมีคำของผู้อื่นรวมอยู่ด้วยในนั้นหลักคำสอนอะไรเก่าๆ ก่อนพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับ ทรงนำมาเล่าให้นับถือปฏิบัติกันต่อไป ก็มาอยู่ในพระไตรปิฎกด้วยอย่าง เรื่องชาดกเฉพาะส่วนที่เป็นตัวคำสอนแท้ๆคัมภีร์ที่นิพนธ์แม้หลังพุทธกาลก็มีบ้างอย่างในคราวสังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระประธานสังคายนา ท่าน ได้เห็นว่า พระในสมัยนั้นบางพวกมีความเชื่อถือวิปริตผิดแผกแตกออกไปท่านก็เรียบเรียงคัมภีร์ขึ้นมาเล่มหนึ่งเพื่อวินิจฉัยความเชื่อถือหรือการสั่งสอนที่ผิดพลาดเหล่านั้นแต่การวินิจฉัยนั้นก็เป็นเพียงว่า ท่านมาเชื่อมโยงโดยยกเอาคำสอนคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่โน้นที่นี่ ในเรื่องเดียวกันนั้น มารวมกันไว้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อแสดงให้เห็นว่า เรื่องนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร เพื่อจะวินิจฉัยความเชื่อหรือคำสอนของผู้ที่เชื่อผิดพลาดไปนั้น อย่างนี้ก็กลายเป็นคัมภีร์ใหม่ แต่แท้จริงก็เป็นการนำเอาพุทธพจน์ในเรื่องนั้นๆมารวมไว้ในอีกลักษณะหนึ่งโดยมีเรื่องราวหรือข้อคิดหรือข้อพิจารณาอะไรอย่างหนึ่งเป็นแกนแต่ก็อย่างที่กล่าวแล้วว่า พระไตรปิฎกนี้เป็นประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ถือว่าเป็นมาตรฐาน เป็นของส่วนรวมที่พระสงฆ์ทั้งหมด โดยเฉพาะท่านที่เป็นครูอาจารย์และพระเถระที่รับผิดชอบการพระศาสนา ต่างก็คอยจับตา คอยระแวดระวัง ถือเป็นสำคัญ ฉะนั้นใครจะไปเที่ยวใส่เติมอะไรลงไปไม่ได้ จะต้องเป็นที่ยอมรับกันอย่างแน่นอนและไม่ใช่ประเทศเดียวรักษาไว้ หลายๆประเทศต่างก็มีแล้วก็ต้องคอยทานเทียบกัน หมั่นตรวจสอบไม่ให้คลาดเคลื่อนกันไป

 

รวมความก็คือให้จำไว้เลยว่าประเทศพุทธศาสนาเถรวาททั้งหมด มีพระไตรปิฎกชุดเดียวกัน ซึ่งเนื้อหาเหมือนกันทั้งหมด แม้จะต่างกันในตัวอักษร เช่น จ เป็น ว บ้าง บางแห่งหรือตกหล่นบางคำบ้าง ก็น้อยเต็มที ความสำนึกตระหนักมั่นนี้ อย่าว่าแต่ต่างประเทศเลย แม้แต่ประเทศไทยเรา ต่อไปถ้าไม่เห็นความสำคัญ เราเองก็อาจจะทำให้เลือนลางคลาดเคลื่อนเวลาแปลคำว่า สังคายนา เป็นภาษาอังกฤษเรามักไปเทียบกับภาษาฝรั่ง เช่น Council อย่างของศาสนาคริสต์ เขามี VaticanCouncil เป็นต้น เราก็แปลว่าเป็นการสังคายนาอันนั้นเป็นการแปลเพียงเทียบในบางแง่ความหมาย ซึ่งที่จริงไม่เหมือนกันเลย

การประชุม Council ของศาสนาคริสต์นั้นเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการมาตกลงกันกำหนดหลักความเชื่อ และแม้แต่การวางนโยบายในการเผยแผ่ศาสนาของเขา
แต่การสังคายนาในพระพุทธศาสนาเป็นการรักษาคำสอนเดิมของพระพุทธเจ้าไว้ให้แม่นยำที่สุด ไม่ให้ใครมาเที่ยวแก้ไขให้คลาดเคลื่อนหรือตัดแต่งต่อเติม จะมาทำให้ตกหล่นก็ไม่ได้ ต่อเติมก็ไม่ได้ต้องรักษาไว้ให้แม่นยำที่สุดเราเพียงมาตรวจทาน มาซักซ้อม ทบทวนกัน ใครที่เชื่อถือหรือสั่งสอนคลาดเคลื่อน หรือผิดแผกไป ก็มาปรับให้ตรงตามของแท้แต่เดิมเพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาเถรวาทจึงมีความภูมิใจโดยชอบธรรมว่า เรารักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้เป็นแบบเดิมแท้ส่วนพระสูตรต่างๆ ของพระพุทธศาสนาแบบมหายาน ที่เป็น อาจริยวาท/อาจารยวาท เดี๋ยวนี้ก็รู้กันหมดแล้วว่าเป็นของที่แต่งขึ้นภายหลัง ไม่รักษาคำสอนเดิมแท้ๆ ไว้ ก็เลยคลาดเคลื่อนหรือหาย คัมภีร์ส่วนมากก็สาบสูญไปเขาก็เลยมายอมรับกันว่า คำสอนเดิมแท้ของพระพุทธเจ้าที่จะหาได้ครบสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาดูในพระไตรปิฎกบาลีของพระพุทธศาสนาเถรวาทของเรานี้ เรื่องนี้เป็นที่ยอมรับกันเป็นสากล คือนักปราชญ์วงวิชาการทั่วโลก จะเป็นมหายาน หรือเถรวาท หรือเป็นวัชรยาน ก็รู้กันทั้งนั้น

 

ควรเห็นคุณค่าของอรรถกถาที่ค้ำชูอยู่เคียงข้างพระไตรปิฎกเมื่อถือพระไตรปิฎก

 

เมื่อถือพระไตรปิฎกเป็นมาตรฐานชั้นหนึ่งแล้ว ต่อจากนั้นก็จะมีการปิดรายการว่า เอาละ พระไตรปิฎกมีแค่นี้ ต่อจากนี้พระเถระ พระอาจารย์ผู้ใหญ่ ที่เป็นนักปราชญ์ ก็ทำหน้าที่ช่วยกันรักษาพระไตรปิฎกนี้ไว้นอกจากรักษา ท่านก็มีหน้าที่อธิบายด้วย เพราะต้องสั่งสอนลูกศิษย์จำนวนมากมายซึ่งเมื่อศึกษาพระไตรปิฎกนั้น
ก็อาจไปติดขัดไม่เข้าใจบางส่วนบางตอนที่ยากพระอาจารย์ผู้ใหญ่เหล่านี้ท่านสืบต่อคำสอนกันมา และถ่ายทอดคำอธิบายกันมาเรื่อย ตั้งแต่สมัยพุทธกาลไม่ขาดสาย พระเถระจนถึงพระมหาเถระผู้เป็นครูอาจารย์เหล่านี้ ก็อธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน หรือผู้ที่ศึกษาค้นคว้า
แล้วคำอธิบายเหล่านี้ก็มารวบรวมกันเป็นคัมภีร์ระดับรองจากพระไตรปิฎก เรียกชื่อว่าอรรถกถา คือไม่จัดรวมเข้าในพระไตรปิฎก

ตอนนี้เท่ากับมีคัมภีร์ ๒ ระดับ

ระดับที่ ๑ คัมภีร์ที่จารึกพุทธพจน์ พร้อมทั้งเรื่องเกี่ยวข้องที่เป็นหลักฐานดั้งเดิมเป็นมาตรฐานใหญ่ เป็นเกณฑ์ตัดสินพระพุทธศาสนา เรียกว่า พระไตรปิฎก และ

ระดับที่ ๒ คัมภีร์เคียงข้างพระไตรปิฎกซึ่งมีมาแต่เดิมเหมือนกัน โดยถ่ายทอดกันมา เป็นคำอธิบายพระไตรปิฎกนั้นอีกทีหนึ่งเรียกว่า อรรถกถา

 

น่าสังเกตว่า การรักษาพระไตรปิฎกกับการรักษาอรรถกถานี้ต่างกัน คือพระไตรปิฎกนั้นจะต้องรักษาไว้อย่างเดิมตัวภาษาก็ต้องของเดิมคือภาษาบาลี
แต่อรรถกถาซึ่งเป็นคำอธิบายพระไตรปิฎกเพราะฉะนั้นอย่างในลังกาสมัยก่อนเดิมนั้นก็รักษากันมาด้วยภาษาสิงหลซึ่งเป็นภาษาของชาวลังกา หมายความว่า
ผู้ศึกษาเรียนพระไตรปิฎกโดยอาศัยคำอธิบายของอรรถกถา จึงเรียนพระไตรปิฎกที่เป็นภาษาบาลี ด้วยอรรถกาคือคำอธิบายที่เป็นภาษาสิงหลของชาวลังกาเอง

เป็นเช่นนี้จนกระทั่งต่อมา พ.ศ. ๙๐๐ เศษ พระพุทธโฆสาจารย์ซึ่งอยู่ในอินเดีย จึงได้เดินทางมายังลังกา และแปลอรรถกถาจากภาษาสิงหลกลับเป็นภาษาบาลี ตอนนั้นในอินเดีย พระพุทธศาสนาเสื่อมมากแล้วกลายเป็นว่าศูนย์กลางพระพุทธศานาเถรวาทได้มาอยู่ ในลังกาพระพุทธโฆสาจารย์ซึ่งอยู่ในอินเดีย ต้องการจะให้คนอินเดียได้เรียนรู้พระพุทธศาสนามากหน่อย จึงต้องการอรรถกถาซึ่งเป็นคำอธิบายพระไตรปิฎกที่อยู่ในลังกา ท่านจึงเดินทางจากอินเดียมาลังกา แล้วมาขอแปลอรรถกถาภาษาสิงหลกลับเป็นภาษาบาลีเพื่อนำไปศึกษาในอินเดีย ตอนนี้เราจึงได้อรรถกถาที่เป็นภาษาบาลีอีก ก็เลยมีทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เป็นภาษาบาลี

 

คัมภีร์พุทธศาสนามีหลายชั้นทรงความสำคัญลดหลั่นลงมา

 

ต่อจากนั้นก็ยังมีคัมภีร์รุ่นสืบมาหลังจากอรรถกถากล่าวคือ เนื้อหาในพระไตรปิฎก ส่วนใดที่อรรถกถาอธิบายไว้ อาจารย์ใหญ่รุ่นต่อมาเห็นว่าอธิบายยังไม่พอ
ควรจะให้ชัดกว่านั้น คือพุทธพจน์บางแห่งในพระไตรปิฎก พระอรรถกถาจารย์เห็นว่าง่าย รู้กันดีอยู่แล้ว เพราะรุ่นของท่านยังใกล้พุทธกาลท่านก็ไม่อธิบาย พระอาจารย์รุ่นต่อมาเห็นว่าคนรุ่นหลังนี้ไม่เข้าใจ ก็อธิบาย หรือแม้แต่คำของพระอรรถกถาอาจารย์นั้นเองคนรุ่นหลังก็อาจเข้าใจไม่ชัดก็มีพระอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เชี่ยวชาญมาอธิบายขยายความไปอีกคัมภีร์รุ่นหลังต่อจากอรรถกถานี้เรียกว่า ฎีกาต่อจากฎีกาก็มี อนุฎีกา ลดหลั่นกันลงมาคัมภีร์เหล่านี้ใช้เป็นหลักที่จะตัดสินวินิจฉัยคำสอนในพระพุทธศาสนาลดหลั่น กันลงมา โดยถือว่าพระไตรปิฎกเป็นอันดับหนึ่ง เป็นมาตรฐานกลางซึ่งตัดสินเด็ดขาดว่าเป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ ต่อจากนั้นก็มีอรรถกถามาช่วยเป็นเกณฑ์วินิจฉัยต่อ คือถ้าในพระไตรปิฎกนั้นเรามีข้อสงสัยอะไรก็มาดูคำวินิจฉัยในอรรถกถา

ที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่าอรรถกถามาตัดสินพระไตรปิฎกแต่หมายความว่า เราคนรุ่นหลังอ่านพระไตรปิฎกกันอาจจะเข้าใจไม่ชัดเจน พระอรรถกถาจารย์ก็มาอธิบายไว้ให้ชัด เราจึงใช้อรรถกถาเป็นเครื่องช่วยวินิจฉัยในส่วนที่เรายังไม่ชัดเจน ต่อจากนั้นก็มีฎีกา อนุฎีกา ตามลำดับต่อกันไป

คัมภีร์เหล่านี้ท่านถือเป็นสำคัญสืบกันมา เพราะผู้ที่จะเรียบเรียงคัมภีร์ขึ้นมาได้ ก็ต้องเป็นที่ยอมรับ เป็นครูอาจารย์เป็นผู้ที่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เชี่ยวชาญจัดเจนตลอดพระไตรปิฎก และช่ำชองทั่วตลอดในคัมภีร์ทั้งหลายในชั้นที่เหนือตนขึ้นไป และเมื่อนิพนธ์ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องเป็นที่ยอมรับของปราชญ์ด้วยกันในยุคนั้นแล้วจึงอยู่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นหลักของพระศาสนา


ถ้าอยากดูว่าพรเถระปางก่อนท่านเชี่ยวชาญจัดเจนขนาดไหนไม่ต้องไปถึงยุคอรรถกถาหรอก ขอให้ดูคัมภีร์มังคลัตถทีปนี ที่พระสิริมังคลาจารย์นิพนธ์ไว้ที่เชียงใหม่เมืองไทยเรานี้เองเมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๐ เศษนิดหน่อยเป็นตัวอย่างก็จะเห็นชัดว่าพระเถระผู้ทรงพระศาสนา ท่านซื่อตรงเจนจบและมีระบบการแสดงหลักฐานอ้างอิงแม่นยำสมบูรณ์เพียงใดพระอาจารย์รุ่นหลังต่อจากยุคอรรถกถาฎีกา ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ในยุคนั้นๆที่มาแสดงคำสอนหรือคำอธิบายต่างๆเรียกกันว่าเป็น อัตตโนมติ หมดไม่ว่าจะเป็นพระอาจารย์องค์ไหนก็ตามแต่ละองค์ๆ ก็เรียก อัตตโนมติคือ มติของบุคคลหรือเป็นมติส่วนตัวของท่านผู้นั้นๆ ซึ่งถือเป็นสำคัญน้อยลงมา

 

เป็นอันว่า ถือพระไตรปิฎกเป็นหนึ่ง อรรถกถาเป็นสองรองลงมา แล้วก็เป็นฎีกา อนุฎีกา เป็นต้น จนมาถึงคำอธิบายของอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
หรือแม้ก่อนนั้น
ที่แต่งตำรับตำราไว้หลังจากรุ่นอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา จัดเป็นอัตตโนมติทั้งหมด

 

ถ้านับถือพระบรมศาสดาก็ต้องรักษาพระไตรปิฎก

 

ที่กล่าวมานี้ ก็ด้วยมุ่งจะให้รู้จักว่า พระไตรปิฎกคืออะไรมีความสำคัญอย่างไร การสังคายนาคืออะไร และการรักษาสืบต่อพระไตรปิฎกทำกันมาอย่างไร
เวลานี้น่าเสียดายว่า ชาวพุทธจำนวนมาก ไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งเป็นแก่น และเป็นเนื้อตัวของพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักรักษาพระไตรปิฎกหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าธรรมวินัย เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสหรือเป็นช่องทางให้เกิดความสับสน ตลอดจนความเสื่อมโทรมและความคลาดเคลื่อนต่างๆ พร้อมทั้งคำสอนที่ผิดเพี้ยนแปลกปลอมจะแทรกซ้อนหรือแอบแฝงเข้ามาเรื่องนี้ต่างจากชาวพุทธในสมัยโบราณมาก แม้เขาจะไม่มีการศึกษารู้อะไรมากมายในความหมายของคนปัจจุบัน แต่เขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ อย่างน้อยรู้จักว่าพระไตรปิฎกคืออะไร เป็นหลักของพระศาสนาอย่างไร มีความสำคัญอย่างไรต่อความเป็นความตายของพระพุทธศาสนาเพราะว่า ถ้าพระไตรปิฎกคลาดเคลื่อนก็คือพระพุทธศาสนาคลาดเคลื่อนหรือกำลังเลือนลางไป ถ้าพระไตรปิฎกหายไปหมดไปก็คือพระพุทธศาสนาสูญสิ้นเพราะจะไม่มีแหล่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเหลืออยู่อย่างที่กล่าวแล้วว่าเรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต้องการฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อต้องการรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไรเราจะไปรู้เอาเองได้อย่างไร ก็ต้องไปฟังจากพระพุทธเจ้าเมื่อพระพุทธเจ้าไม่อยู่ ก็ต้องไปดูคำสอนที่จารึกไว้ซึ่งก็ได้จารึกไว้และรักษากันมาในพระไตรปิฎกนี้ถ้าหมดพระไตรปิฎก ก็คือหมดพระพุทธศาสนา หมดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หมดพระธรรมวินัย
หมดพระศาสดาของชาวพุทธ จึงเป็นหน้าที่ของชาวพุทธ ที่จะต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้ ด้วยการเล่าเรียนพระไตรปิฎกแล้วก็รักษาพระไตรปิฎกไว้ให้อยู่มั่นคงด้วยดี ดังที่ชาวพุทธโบราณทุกประเทศได้พยายามรักษากันมาเป็นงานสำคัญของชาติถ้าเราเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎก ก็คือเห็นความสำคัญของพระพุทธเจ้า
เพราะว่าเรานับถือคำสั่งสอนของพระองค์ถ้าเรารักษาพระไตรปิฎกไว้ได้พระพุทธศาสนาก็อยู่อย่างดีที่สุดแล้วก็จะมีหลักที่เป็นแกนกลาง ที่เรานับถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ชาวพุทธทั้งหมด ชาวพุทธทั้งปวงในประเทศเถรวาททุกประเทศ ก็จะมีเอกภาพดังที่เคยมีเอกภาพกันแล้วตลอดมา

 

อย่างที่กล่าวแล้วว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกของประเทศไทย พม่า ลังกาหรือในประเทศไหนๆ แม้แต่ที่เอาไปในยุโรป เช่นที่อังกฤษ
ก็เป็นเนื้อหาอันเดียวกันหมดเป็นคำสอนเดียวกัน เช่น ทาน ศีล ภาวนาอันเดียวกัน ศีล สมาธิ ปัญญาไตรสิกขา อันเดียวกัน ไม่ว่าพระสูตรใดๆ
ไปดูเนื้อหาก็เหมือนกันหมดไปที่ไหนก็ใช้กันได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นถ้าพระไตรปิฎกที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนายังคงอยู่ ชาวพุทธก็ยังมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ถ้าเราเสียหลักเรื่องนี้เมื่อไร
ก็เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาจะเริ่มมีปัญหาชาวพุทธเองก็จะทะเลาะเบาะแว้งกันนั่นก็คือความเสื่อมโทรมของพระพุทธศาสนาและความเสื่อมโทรมแห่งประโยชน์สุขของประชาชน ที่จะไม่รู้จักพระพุทธศาสนาที่แท้จริงและไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้อง

เพราะฉะนั้นจะต้องช่วยกันสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระไตรปิฎกและชวนกันรักษาด้วยการศึกษาพระไตรปิฎกกันอย่างจริงจัง


พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนาโดย พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)



 

 


 


 

 

 



 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน