เผาเซ็นทรัลแค่จลาจล ‘เทเวศฯ’ชดใช้3.7พันล.
วันเดียวกัน น.ส.นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ เลขานุการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงคำพิพากษาดังกล่าว พร้อมระบุว่า เทเวศประกันภัยสามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และสามารถขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ขณะเดียวกัน บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) ก็ได้ออกเอกสารชี้แจงข่าวว่า บริษัทยังไม่ได้รับสำเนาคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถแจ้งเหตุผลและรายละเอียดได้
เปิดศาลคดี "ก่อการร้าย" หวั่นพยานพลิกคำให้การ!
นอกจากคดีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดงเมื่อช่วงมีนาคม-พฤษภาคม 2553 แล้ว อีกหนึ่งคดีที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือ คดีที่อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเพื่อเอาผิดแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวม 24 คน
ในความผิดฐานร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด หรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดฐานก่อการร้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อ
“คดีก่อการร้าย”
ซึ่งหลังจากมีการยื่นฟ้องศาลอาญาไปตั้งแต่ปี 2553 มาถึงตอนนี้หลายคนลืมไปแล้วว่ามีคดีก่อการร้ายนี้ค้างอยู่ในชั้นศาล
แต่เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2555 ก็ได้มีการเปิดห้องพิจารณาคดีก่อการร้ายไปแล้วสองนัด คือเมื่อ 14 และ 20 ธันวาคม 2555 ที่มีการนำตัวพยานฝ่ายโจทก์ คือ พ.อ.ธนากร โชติพงษ์ อดีตนายทหารปฏิบัติการในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เข้าเบิกความ และกว่าที่คดีจะมีการเปิดศาลพิจารณากันอีกที ก็ต้องรอโน่นเลยให้สภาฯ ปิดช่วงเดือนเมษายน
เหตุเพราะคดีนี้มีจำเลยหลายคนเป็น ส.ส. เช่น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, ก่อแก้ว พิกุลทอง, เหวง โตจิราการ เป็นต้น ทำให้การพิจารณาคดีจะทำได้เฉพาะช่วงสภาฯ ปิดเท่านั้น
จึงไม่แปลกที่คาดกันว่า คดีนี้อาจต้องใช้เวลาพิจารณาคดีกันอย่างต่ำ 3-5 ปีกว่าจะเสร็จ เพราะลำพังแค่พยานฝ่ายอัยการก็ปาเข้าไป 300 ปากแล้ว!
“แทบลอยด์ ไทยโพสต์” ติดตามเกาะติดความเป็นไปของคดี "ก่อการร้าย" กับอัยการผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้มาตั้งแต่ต้น จนถึงการว่าความในชั้นศาล คือ "รุจ เขื่อนสุวรรณ" อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่แสดงความมั่นใจต่อการทำคดีนี้ตั้งแต่ในชั้นดีเอสไอมาถึงอัยการจนมีการยื่นฟ้องต่อศาล ว่าพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ทำให้เชื่อมั่นอย่างมากกับผลคดีที่จะออกมา
“คดีนี้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งมีพนักงานอัยการและดีเอสไอได้เข้าร่วมสอบสวนด้วยกัน ก็คุยกันอยู่ตลอด ก็ประสานกันมาตลอดตั้งแต่ต้น ถ้ามองถึงความมั่นใจพยานหลักฐานอัยการ เราก็พิจารณาให้ความเป็นธรรมอยู่แล้ว เราก็มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่เรามีอยู่ จากการสอบสวนที่ดีเอสไอได้ทำขึ้น เราคิดว่าเพียงพอที่จะให้ศาลลงโทษได้”
“รุจ เขื่อนสุวรรณ” แจงถึงเหตุผลว่าทำไมที่ผ่านมา หลายคนถึงไม่ค่อยได้รับรู้ความเป็นไปของคดีนี้ ทั้งที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลไปตั้งนานแล้ว แต่ทำไมถึงเพิ่งมาพิจารณาคดีกันไปแค่ 2 นัดเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
…คดีนี้ไม่ได้หายนะ คือมันติดขั้นตอนกระบวนการพิจารณา มันจะมีบางครั้งติดสมัยประชุมบ้าง มีการตรวจสอบเอกสาร เนื่องจากคดีนี้มีเอกสารจำนวนมาก ใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารค่อนข้างมาก คดีไม่ได้หยุด มีการเดินมาตลอด แต่การสืบพยานบุคคลยังไม่ได้เริ่มต้น เพิ่งจะมาเริ่ม
…สาเหตุที่มันช้าเพราะเอกสารมันมาก และผู้ต้องหามีการเข้ามามอบตัวในภายหลังส่วนหนึ่ง มีการจับตัวได้ส่วนหนึ่ง มีการรวมคดี เมื่อมีการรวม ศาลก็จะรอให้รวม แล้วก็จะเอามาพิจารณาทีเดียว ไม่งั้นจะซ้ำซ้อนกัน ก็รอผู้ต้องหามีการมามอบตัว หรือการจับกุมตัวมาอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ ตอนแรกก็ 19 คน ตอนนี้ขยายเป็น 20 กว่าคนแล้ว ซึ่งตรงนี้ 24 คน มันก็ทำให้ศาลก็รอให้มารวมกัน มันก็เสียเวลานิดนึง
…ในระหว่างที่รอก็มีการตรวจสอบเอกสารตลอด เนื่องจากจำเลยมาก แต่ละคนก็ยื่นเอกสารคัดค้านกันไป ก็เสียเวลาเป็นปีๆ เหมือนกัน ในช่วงฟ้องมาตั้งแต่ปี 53 มีการดำเนินการมาตลอด เพียงแต่ว่ายังไม่มีการสืบพยานบุคคลเท่านั้น แต่การพิจารณาก็ทำมาตลอด การพิจารณาไม่ได้หายไปเลย แต่ส่วนที่เราทำในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการสืบพยานบุคคลไป คดีนี้พยานแต่ละปากใช้เวลาในการซักถามนาน ในส่วนของโจทก์ก็ยังมีโจทก์ร่วมอีกตั้ง 10 กว่าคนที่ทยอยกันมาเรื่อยๆ จะเห็นว่าปากแรกที่นำพันเอกธนากรเข้าสืบในศาล โจทก์ใช้เวลาไม่นานนัก เพียงแค่นัดเดียวหมัดเดียว แต่จำเลยเท่าที่ฟังเท่าที่ทราบ ก็ทนายจำเลยเพิ่งจะซักถามไปแค่คนเดียว ก็ยังไม่จบ ยังเหลือทนายจำเลยรอซักอีก 22 คน
…การดำเนินการลักษณะอย่างนี้ แต่ละปากก็ต้องใช้เวลานานเป็นอาทิตย์ 4-5 วันถึงจะจบได้หนึ่งปาก แต่คาดว่าน่าจะเป็นในระยะแรกๆ เท่านั้นเอง คือยังตั้งรูปคดีไม่ชัดเจน ก็จะมีการซักถามเผื่อไว้ เมื่อกำหนดทิศทางในการสู้คดีชัดเจนแล้วก็คงกระชับขึ้น
…พยานโจทก์ก็มี 300 ปาก ถ้าสืบในลักษณะอย่างนี้ก็เห็นว่าต้องใช้เวลานานมาก พยานแต่ละปากกว่าจะจบ คดีนี้เป็นคดีใหญ่ มันก็เป็นธรรมดาที่มีพยานบุคคลและเอกสารจำนวนมาก จะรวบรัดตัดความเอาเหมือนคดีอาญาทั่วไปคงไม่ได้ ต้องใช้เวลา และจำเลยก็คงสู้ทุกวิถีทาง
- เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ทางนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด(อสส.) ได้มีการมอบนโยบายให้ทีมอัยการที่ทำคดีนี้เป็นพิเศษหรือไม่?
ท่าน อสส.ไม่ได้มอบหมายอะไร ก็ให้พิจารณาตามรูปคดี ท่านไม่ได้เจาะจงว่าจะให้ดำเนินคดีกับใคร ไม่มีแรงกดดันอะไรทั้งนั้น ให้พิจารณาไปตามข้อเท็จจริง ก็มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อให้ช่วยกันทำงานเหมือนคดีทั่วไป
- ทำไมถึงมีพยานโจทก์ถึง 300 ปาก?
สาเหตุที่มีพยานมาก เพราะคดีนี้การกระทำความผิดมีระยะเวลา ในการกระทำผิดมีตั้งแต่ก่อนวันที่ 10 เมษายน 2553 อีก ซึ่งก็มีต่อเนื่องมาถึงพฤษภาคม 53 ระยะเวลามันหลายวัน จำเลยหลายคน พยานแต่ละกลุ่มเป็นพยานที่บางครั้งก็เป็นพยานโดยรวมทั้งหมด ที่จะกล่าวถึงการกระทำผิดของผู้ต้องหาโดยรวมทั้งหมด พยานบางกลุ่มก็เป็นเฉพาะเจาะจงจำเลยบางคน
อย่างจำเลยแต่ละคนก็มีพยานซัก 10-20 ปาก ถือว่าไม่มาก แต่เมื่อรวมจำเลย 24 คน มันก็เป็น 100 ก็เป็นปกติของคดีอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ว่ามันมาก โดยรูปคดีมันต้องมากอยู่แล้วเหตุการณ์อย่างนี้ เพราะมีการกระทำหลายจุด ตั้งแต่ราชดำเนิน แยกราชประสงค์ รวมทั้งสถานที่หลายแห่ง เขาใหญ่ สถานที่เกิดมันหลายแห่งก็จำเป็นที่ต้องมีพยานมาก
เราเร่งรัดให้คดีรวดเร็วขึ้น พยายามทำอยู่แล้ว พยานที่สำคัญเราก็ไม่อยากจะตัดออก ก็พยายามว่าความให้กระชับที่สุด แต่สาเหตุที่มันล่าช้า ส่วนหนึ่งคงก็เห็นว่ามีจำเลยบางคนได้รับเอกสิทธิ์คุ้มกันจากสภาฯ คือหลายคนเป็นส.ส. ซึ่งในสมัยประชุมก็ได้เอกสิทธิ์ที่ไม่ต้องมาศาล การดำเนินกระบวนพิจารณาก็ต้องหยุดรอ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คดีล่าช้า ทำให้คดีมันทำอะไรไม่ได้
- หากให้คาดการณ์ตั้งแต่สืบพยานจนถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษาจะใช้เวลานานแค่ไหน?
คาดการณ์คร่าวๆ ผมว่าน่าจะใช้เวลา 3 ปี คิดว่าถ้ายังมีการดำเนินการในลักษณะอย่างนี้ ผมว่าคงใช้เวลาหลายปี ก็คงไม่ใช่ 2-3 ปีล่ะครับ น่าจะใช้เวลานานพอสมควร ส่วนตัวผมคิดว่าเพื่อบ้านเมืองเป็นในทางที่ดีขึ้น คดีนี้ก็อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงโดยที่ศาลก็อาจจะ...มันพูดยาก ไม่สามารถคาดเดาได้
ในหน้าที่ของอัยการก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ตรงไปตรงมา คือไม่เอาพยานไปใส่ร้ายเขา พยานก็อย่าไปเสี้ยมไปสอนเขา ก็ให้ว่าไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งประชาชนรู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ไม่ได้มีการกล่าวร้ายหรือให้ร้ายอะไรเขา
“ทางอัยการก็เข้าใจว่า เป็นสถานการณ์การเมืองที่เป็นอารมณ์ในขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อบ้านเมืองมันดีขึ้น ทุกอย่างมันลงตัวแล้ว เรื่องอย่างนี้ก็คงไม่เกิด
เราไม่มีความจำเป็นที่จะไปอาฆาตมาดร้าย หรือมีความพยายามที่จะให้จำเลยได้รับการลงโทษ เราอยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบ้านเมืองเรากลับเข้าสู่ความสงบ ไม่มีการแยกสีแยกเหล่า ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้ในชีวิตผม ผมไม่เคยเจอว่าคนไทยจะแตกแยกกันถึงขนาดนี้
เราไม่ควรมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น รวมทั้งหลายๆ ฝ่าย ทั้งฝ่ายจำเลยก็ดีก็มีความคิดที่จะทำให้บ้านเมืองสงบอยู่แล้ว ก็ได้คุยกับทางจำเลยหลายๆ ฝ่าย หลายท่านก็อยากให้บ้านเมืองมีการปรองดองเกิดขึ้น ผมก็พอใจ ในส่วนตัวผม ผมเห็นด้วยในสิ่งที่ถูกต้องครับ”
- จะมีการตัดพยานออกไปไหมจากที่มี 300 คนเพื่อให้คดีเร็วขึ้น?
ไม่เปลี่ยนครับ ปกติแล้วเราจะดูพยานในเบื้องต้น การดำเนินคดีเราก็จะต้องอ้างพยานให้ครอบคลุมทั้งหมดก่อน เมื่อเห็นพยานบางส่วนที่เรานำเข้ามาเบิกความ ถ้าเห็นว่าเพียงพอแล้วพยานอื่นเราเห็นว่าไม่จำเป็น พยานพิสูจน์เพียงพอให้ศาลรับฟังได้แล้ว ตัดออกก็ได้ แต่โดยปกติแล้วในวิธีหลักๆ เราก็จะอ้างไว้ก่อน เผื่อพยานปากไหนให้การไม่ชัดเจน เราจะเอาพยานปากอื่นเข้าไปให้ความเสริม อันนี้เป็นวิธีที่เราปฏิบัติเป็นปกติอยู่แล้ว
พยานส่วนใหญ่ก็ถือว่าสำคัญทั้งสิ้น เท่าที่จำได้ก็ท่านถวิล เปลี่ยนศรี คดีการก่อการร้ายเราไม่มีความจำเป็นต้องใช้พยานที่เคยอยู่ใน ศอฉ. ไม่จำเป็นเพราะการก่อการร้ายมันมีองค์ประกอบความผิดของมันอยู่แล้ว
เราก็จะนำพยานหลักฐาน สืบพยานเข้ามาแถลงข้อเท็จจริงแต่ละจุด แต่ละเหตุการณ์ ความจริงก็เป็นเรื่องเดียวกันเพียงแต่มาแยกสถานที่ เราก็จะสืบให้เห็นว่าไม่ใช่ที่เฉพาะราชประสงค์ บ่อนไก่ หรือราชดำเนิน สะพานผ่านฟ้าฯ เราก็สืบให้หมด ให้เห็นตั้งแต่ขอนแก่น อุบลราชธานี หรือจังหวัดอะไรต่างๆ ที่มีการเผาสถานที่ราชการ เพราะว่าการชุมนุมมีการถ่ายทอดดาวเทียมเลยเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด
- เป็นคดีสำคัญทางการเมือง ได้รับแรงกดดันหรือรู้สึกกดดันไหม?
ถามว่ากดดันไหม เท่าที่ทำงานมาตลอดไม่มีนะครับ ท่านอัยการสูงสุดท่านก็ให้อัยการแต่ละคนมีอิสระในการทำงาน ท่านก็ไม่ได้มาบังคับหรือชี้นำให้ทำงานไปในแนวทางใด
“อัยการเราไม่มีสี เรามีสีไม่ได้ เราถึงไม่เคยเปลี่ยนสี เพราะอัยการไม่มีสี เรามีแต่การว่าไปตามข้อเท็จจริง ถ้าอัยการเรามีสี บ้านเมืองอยู่ไม่ได้”
“อัยการมีหน้าที่รักษากฎหมาย เรารักษาให้รัฐเราเป็นนิติรัฐ คือปกครองด้วยกฎหมาย เราจำเป็นต้องสร้างความถูกต้อง เราต้องสร้างให้กฎหมายเป็นหลักในบ้านเมือง เราจะใช้คนหมู่มากมาเรียกร้องมากดดัน หรือทำอะไรตามใจไม่ได้ ประชาชนตอนนี้สับสนไปหมดแล้ว เพราะเราชินกับการใช้คนหมู่มากมากดดัน บังคับเรียกร้องสิ่งประโยชน์ต่างๆ เมื่อไม่ได้ผลประโยชน์ที่พอใจก็ปิดถนนบ้าง เข้าล้อมศาลากลาง ล้อมสถานที่ราชการ
ถ้าไม่ยึดกฎหมายเราก็ไม่มีอะไรที่จะยึดเป็นหลัก ขอให้มั่นใจว่าเราจะให้บ้านเมืองเรากลับมาสู่ความสงบโดยใช้กฎหมาย มั่นใจ
อัยการมั่นใจว่า พยานหลักฐานที่เรามีอยู่นั้นเพียงพอที่จะแสดงให้ศาลเห็นว่า มีการกระทำความผิดก่อการร้าย”
- ตอนนี้การเมืองเปลี่ยนขั้วจากเดิมตอนที่มีการทำคดีก่อการร้ายเป็นช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่มาวันนี้เป็นรัฐบาลเพื่อไทย จะทำให้การให้การของพยานบุคคลในฝ่ายโจทก์เปลี่ยนแปลงไป หรือมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะพยานฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ?
“ผมไม่ทราบนะครับ แต่จากที่ประเมินดูก็น่าจะมีบางส่วนที่หวั่นไหวต่อท่าทีของผู้บังคับบัญชาส่วนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอาจจะคิดกังวลกับการให้ข้อเท็จจริง ก็ไม่ทราบว่านโยบายของผู้บังคับบัญชา ผู้หลักผู้ใหญ่จะเปลี่ยนแปลงไปยังไง เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติก็ต้องดูทิศทาง ถ้าไม่มีความชัดเจนจากผู้บังคับบัญชา เขาก็หวั่นไหว อันนี้เป็นธรรมดา
ช่วงสถานการณ์หนึ่งก็ฮึกเหิม พอเปลี่ยนไปอาจจะลังเลบ้าง นี่ก็เป็นธรรมดา น้องๆ ก็คงเข้าใจ ถ้ายิ่งสถานการณ์ที่มีแนวโน้มว่าทางฝ่ายจำเลยมีอำนาจในบ้านเมือง ก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องระวังตัวขึ้น”
- แล้วการเมืองที่เปลี่ยนขั้วไป จะมีผลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพยานหลักฐานในคดีนี้หรือไม่ อย่างเช่นหลักฐานเอกสารการเบิกอาวุธอะไรต่างๆ ของกองทัพในช่วงการชุมนุม ที่บอกว่ามีอาวุธหายไป ถูกยึดไป จะมีผลอะไรต่อรูปคดีหรือไม่?
ไม่มีครับ มันมีสำนวนการสอบสวนชัดเจน เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ การที่สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไป ขั้วทางการเมืองเปลี่ยนไป ไม่มีผลต่อสำนวนการสอบสวน ว่าอย่างนั้นดีกว่า เพราะสำนวนการสอบสวนได้สอบสวนไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
-ปี 56 นี้ มีพยานปากเอกคนไหนบ้างที่อัยการจะนำเข้าเบิกความและคิดว่าแนวทางสู้คดีของจำเลยจะออกมาทางไหน?
ทางจำเลยเขาก็มีสิทธิ์จะยื่นพยานมาได้เป็นระยะ ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้เขาก็จะตั้งรูปคดีเขาอยู่ เขาคงตั้งไว้แล้วในรูปคดีที่จะต่อสู้ คือเขาจะตั้งประเด็นในการต่อสู้ โดยอ้างว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตำแหน่งนายกฯ ได้อำนาจในการปกครองโดยไม่ชอบ เขาก็เห็นว่าประชาชนมีสิทธิ์ที่จะขับไล่เรียกร้องให้พ้นจากตำแหน่งได้
- การสู้คดีของจำเลย แม้แต่กับคุณทักษิณ ชินวัตร ก็อาจบอกว่าเขานัดชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ทำโดยเปิดเผย แต่เหตุการณ์รุนแรงต่างๆ เช่น การเผาสถานที่ต่างๆ เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้สั่งการ?
ทางโจทก์ก็ต้องนำพยานหลักฐานมาสื่อให้เห็นว่า ไม่รู้เรื่องหรือน่าจะรู้เรื่อง เพราะการพูดต่างๆ มีการยุยงให้เผาสถานที่ต่างๆ มันมีการกระทำต่อเนื่องกันมาตลอด มีการป้อนข้อมูลให้กับผู้ชุมนุมให้ดำเนินการ ถ้าเกิดมีการสลายการชุมนุมต่างๆ ให้จัดการได้เลย ถ้าจอดำก็แสดงว่ามีการสลายการชุมนุมให้จัดการได้เลย
“ลักษณะอย่างนี้มันก็ชี้นำให้ก็คงเข้าใจว่าหมายถึงอะไร ประชาชนผู้ชุมนุมก็คงเข้าใจให้จัดการได้เลยหมายถึงอะไร สิ่งเหล่านี้จะบอกว่าไม่รู้ แกนนำปฏิเสธไม่ได้ แม้แต่ผู้ที่เข้ามาพูดสนับสนุนแกนนำต่างๆ จะบอกว่าฉันไม่เกี่ยวเป็นเรื่องเฉพาะของแกนนำคนนั้นๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะเป็นการกระทำที่ร่วมกันทั้งหมด มีเจตนาร่วมกันทั้งหมด แบ่งกันพูด แบ่งกันทำ ก็คือมีเจตนาร่วมกัน ในทางกฎหมายไม่จำเป็นต้องพูดทุกคนหรอกครับ”
ในตอนท้าย “อัยการรุจ” เปิดตำรากางประมวลกฎหมายอาญาประกอบการพูดคุยถึงเรื่องการเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ และจำเลย 24 คน ในข้อหา ”ก่อการร้าย” โดยย้ำว่าพยานหลักฐานที่มีในสำนวนทุกอย่างชัดและจะไปปรากฏในชั้นศาล
“เราฟ้องคดีนี้ในข้อหาก่อการร้าย ตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ลักษณะ 1/1 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำผิดในการอันเป็นอาญาดังต่อไปนี้ เช่น “การกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อจะขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย ให้กระทำการใดไม่กระทำการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นจะกระทำความผิดฐานก่อการร้าย” แต่กฎหมายได้ให้ยกเว้นไว้ว่าการกระทำในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ได้รับการช่วยเหลือ หรือได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นความผิดฐานก่อการร้าย
…ในกรณีนี้ก็เห็นว่ามีการชุมนุมกันเพื่อบังคับขู่เข็ญรัฐบาลแน่นอน เพื่อให้ยุบสภาฯ อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่ สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นการกระทำโดยสงบเปิดเผย ปราศจากอาวุธแล้วไม่ไปกระทบกระเทือนสิทธิ์ของคนอื่นก็เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นการกระทำผิดฐานก่อการร้าย
…สำหรับคดีนี้ศาลแพ่งได้มีคำสั่งว่าการชุมนุมนี้ไม่ชอบโดยกฎหมายชัดเจน ก็ถือว่าไม่เป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อแกนนำหรือผู้ชุมนุมทราบคำสั่งศาลแล้วก็ยังมีการชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งศาล ยังใช้มาตรการกดดันรัฐบาลโดยการปิดสถานที่ต่างๆ ปิดเส้นทางการคมนาคม รวมถึงมีการปรากฏว่าใช้อาวุธยิงไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วย
…จากพยานหลักฐานเราเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่ง แล้วผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งก็พบว่ามีการใช้อาวุธแน่นอน มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต มีทหารเสียชีวิตหลายนายเมื่อ 10 เมษา 53 ฝ่ายผู้ชุมนุมหรือกลุ่มคนใดซึ่งไม่ปรากฏชัดมีการใช้อาวุธสงครามต่อสู้จนกระทั่งพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต เห็นได้ชัดเลยว่าการชุมนุมนี้มีการใช้อาวุธ มีความรุนแรง มีการฝึกอาวุธกัน มีอาวุธร้ายแรง แกนนำก็บอกว่ามีกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายให้การสนับสนุน
…การปลุกระดมต่างๆ ก็มีการใช้ความรุนแรง เช่น ให้ไปยึดตามสถานที่ราชการต่างๆ ยุยงชี้นำให้มีการเผาสถานที่ราชการ และก็ปรากฏว่ามีการก่อเหตุร้ายแบบนั้นจริงๆ ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นได้และบอกว่าเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายเราคงบังคับกันไม่ได้แล้วมันจะเป็นหลักการให้เกิดความรุนแรงแบบนี้ขึ้น
…อัยการเราไม่ได้เลือกฝ่าย ถ้ามีพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ว่าคุณเสื้อสีอะไรเราฟ้องหมด เพราะว่ามันผิดกฎหมาย อันนี้เราต้องการรักษากฎหมายของเราให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปฝักใฝ่การเมือง เราไม่ได้เลือกข้าง.
โดยสุวัฒน์ ปัญจวงศ์
วรพล กิตติรัตวรางกูร
Edited by Stargate-1, 5 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 18:25.
