สงสัยจะชักดิ้นชักงอตายที่คุณชายชนะ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ชัยชนะของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรในศึกเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหาคร ที่จบลงไปไม่กี่วันที่ผ่านมาอาจจะทำให้คุณชายหมูและพรรคประชาธิปัตย์ จะมามัวแต่ฉลองฝันหวานถึงชัยชนะที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ไม่ได้เสียแล้ว และอาจจะต้องพับเก็บโผรองผู้ว่าฯ กทม. ที่สะพัดปลิวว่อนไปทั่วที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์อย่างคึกคักลงไปก่อน เนื่องจาก ยังต้องเจอมรสุมการเมืองกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งออกมาอย่างเป็นทางการเพราะเหตุที่มีเรื่องร้องเรียนให้พิจารณาด้วยกันยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว
และถ้าจะกล่าวถึงชัยชนะที่ได้มานั้นพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมรู้ตัวเองดีว่าใช้กลยุทธใดในการหาเสียงจนได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้มาว่าเป็นเพราะกลยุทธ์วิชาก้นกุฏิของพรรคประชาธิปัตย์เองล้วนๆ อาทิไม่เลือกเราเขามาแน่ของบรรดาแกนนำพรรค การโพสต์รูปภาพเผาบ้านเผาเมืองและข้อความทำนองเผาบ้านเผาเมือง ของนายศิริโชค โสภาส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงผลจากคำปราศรัยของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกในเชิงการใส่ร้ายป้ายสี กำลังกลับมาเป็นดาบสองคม ทำลายพรรคประชาธิปัตย์เองอยู่ในขณะนี้นั้นเอง
ทั้งนี้ เรื่องแรกที่บรรดาพรรคประชาธิปัตย์ต้องมานั่งลุ้นระทึกกันแบบเสียวไส้กันเลยทีเดียวกับกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.) มีมติ 3 ต่อ 2 ชงเรื่องให้ กกต.กลางพิจารณาชี้ขาด 2ประเด็นว่าจะรับรอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ชนะเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่
พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. กล่าวถึงการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งว่า ขณะนี้ กกต.กทม.ได้รับคำร้องทั้งสิ้น 20 คำร้อง พิจารณาไปแล้ว 9 คำร้อง ในจำนวนนี้รับเป็นคำร้อง 3 เรื่อง ไม่รับ 4 เรื่อง และมี 2 เรื่องที่ กกต.กทม.มีมติเสียงข้างมากเสนอความเห็นไปยัง กกต.กลาง โดยจะถึง กกต.กลางในวันที่ 14 มีนาคมนี้ เป็นกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.และผู้มีสิทธิเลือกตั้งร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบการโพสต์ภาพเผาบ้านเผาเมืองของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ปชป. ในเฟซบุ๊ก รวมถึงการโพสต์ข้อความในลักษณะ "ไม่เลือกเราเขามาแน่" ของดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการ โดยเชื่อว่าจากพยานหลักฐานและการสอบสวนของ กกต.กทม. มีความสมบูรณ์พอที่ กกต.กลางจะพิจารณาได้เลยว่าสมควรที่จะประกาศ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นผู้ว่าฯหรือไม่ ไม่น่าจะต้องมีการส่งให้อนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้านของ กกต.พิจารณาอีกครั้ง
ผลจึงออกมาเป็นมติที่ประชุม กกต. ชุดใหญ่ 31 เสียง ยังไม่ประกาศรับรอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. เนื่องจาก พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ไม่ยอมลัดขั้นตอนก่อนรับรองผลการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง จึงได้ทำหนังสือแจ้งมายัง กกต.ชุดใหญ่ว่า ยังไม่ควรประกาศรับรองผล และขอเวลาตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสประมาณ 15 วัน
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่เสียวไส้ของคุณชายหมูและพรรคประธิปัตย์นั้น ก็คือประเด็นนายศิริโชคโพสต์ภาพและข้อความทำนองเผาบ้านเผาเมือง และประเด็นดร.เสรีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในลักษณะไม่เลือกเราเขามาแน่ โดยทั้ง 2 ประเด็น กกต.กทม. มีมติ 3 ต่อ 2 เพราะเห็นว่ามีน้ำหนักเข้าเกณฑ์ เป็นผู้ใดกระทำการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครรายใดรายหนึ่ง ทั้งนี้จากหลักฐานและการสอบสวน ยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่าจะพิจารณาเสนอให้ใบเหลือง-แดง เพราะกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่แล้วเสร็จ โดยถ้า กกต.กทม.เห็นว่าคดีมีมูลเชื่อมโยงไปถึงตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะต้องมีหนังสือเรียก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มารับทราบข้อกล่าวหาและทำการชี้แจงเสียก่อน จากนั้น กกต.กทม.จึงจะค่อยพิจารณาและมีความเห็นเสนอไปยัง กกต.กลาง โดยมีทางเลือก 3ทาง คือใบเหลือง ใบแดง หรือใบขาว
และจะไม่ให้เสียวไส้ได้อย่างไร เพราะแม้แต่เจ้าตัวคือนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวยอมรับว่าโพสต์รูปภาพดังกล่าวจริง และกล่าวว่า การแถลงข่าวของ กกต.กทม.มีมติส่งคำร้องคัดค้านผลเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ยื่นคำร้องการโพสต์ภาพเผาบ้านเผาเมือง และข้อความในโซเซียลเน็ตเวิร์กให้กกต.กลาง วินิจฉัยชี้ขาด อาจจะมีความสับสนมีความเข้าใจผิด ทำให้สังคมเกิดความเชื่อว่าจะมีใบเหลืองเกิดขึ้น ซึ่งในข้อกฎหมาย กกต.ท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการกลั่นกรอง และแสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่ได้รับการร้องเรียน ซึ่งไม่มีอำนาจว่าจะให้ใบเหลืองใบแดงหรือใบขาว
กรณีที้ได้มีการโพสต์ภาพลงไปนั้น ได้ระบุชัดว่าเป็นภาพตัดต่อ ไม่ได้กล่าวถึง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จากพรรคเพื่อไทย แต่กล่าวถึงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว และเหตุผลที่ต้องพูดถึงเรื่อนี้ เพราะมีภาพนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ปรากฏตัวบนรถหาเสียงด้วย เพราะไม่ว่านายณัฐวุฒิจะปรากฏว่าที่ไหน คนก็จะคิดถึงเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ยืนยันว่า จะดูมุมไหนกรณีนี้ก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่มีการไปบอกว่า อย่าไปเลือกใคร หรือให้ไปเลือกใคร และไม่ได้มีการกล่าวหาผู้สมัครว่าเผาบ้านเผาเมือง
หรือจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยตอนหนึ่งที่เวที"เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญออกกฎหมายล้างผิดคนโกง" ที่ศูนย์ประชุมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ว่า "2 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มีการสำรวจความนิยมของประชาชน มีการระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะแพ้การเลือกตั้ง แล้วมีการวิเคราะห์ด้วยว่า จะแพ้ถ้าไปพูดเรื่องเก่า พูดเรื่องเผาบ้านเผาเมือง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยตอนหนึ่งระบุว่า "การปราศรัยบนเวทีหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่กล่าวหาว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ทั้งการก่อการร้าย และการเผาบ้านเผาเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงอยากถามว่า จะมาโวยวายเรื่องอะไรกัน"
เช่นเดียวกับ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า "พรรคประชาธิปัตย์ไม่จำเป็นต้องรับมือกรณี พรรคเพื่อไทยจะร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับการปราศรัยของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง คนทั่วโลกรับรู้ทั้งกรณีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองการใส่ร้ายต้องเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ ซึ่ง กกต.ก็มีบรรทัดฐานว่า การเอาความจริงมาพูดไม่ถือเป็นความผิด
แน่นอน จัดให้เป็นครบทีมงานแบบนี้คงไม่ต้องถามว่ามีเจตนาเป็นอย่างไร ซึ่งถ้อยคำที่ออกมาจากปากของคนพรรคประชาธิปัตย์ย่อมรู้ดีว่าเป็นเจตนาชัดเจน ถามรู้ทราบดีหรือไม่ มือกฏหมายทั้งหลายในพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงหัวโจกของพรรคย่อมรู้อยู่แก่ใจ ว่าเข้าข่ายความผิดอะไรหรือไม่ เพราะมิฉะนั้นแล้วคงจะไม่ออกมาเป็นรูปแบบแพทเทิร์นเดียวกันหมดแบบนี้
อย่างไรก็ตามนั้นเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ ยกขึ้นมาเพื่อต่อสู้คัดค้านเพียงเท่านั้น และไม่ได้เป็นสิ่งน่าแปลกใจอยู่แล้วสำหรับบทที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเล่นหลังจากเจอมรสุมการเมืองอยู่ในขณะนี้ แต่ในขณะเดียว หากไปดูตามข้อกฏหมายของ กกต.ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นเรื่องหนักใจเลย เพราะขณะที่ มาตรา 57 พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ระบุว่า...
"...ห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้ใด กระทำการเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครใด ด้วยวิธีการดังนี้....
(5) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้าย หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในเรื่องใดอันเกี่ยวกับผู้สมัครใด"
ข้อกฏหมายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่กกต.ต้องนำไปพิจารณาว่าเข้าข่ายหรือไม่อย่างไร ซึ่งความน่ากลัวของพรรคประชาธิปัตย์จึงอยู่ตรงนี้นี่เอง ที่น่าสนใจก็คือ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะพิจารณาประเด็นนี้ออกมาอย่างไร
***********************************************************************
ถ้ายึดตามมาตรา 5 จริงๆนะ ไอ้แป๊ะกับลูกชายมันโดนเป็นคู่แรกเลยมั้งน่ะ อุตส่าห์เป็นตัวตั้งตัวตีเตะตัดขาปชป.ออกสื่อตัวเองขนาดนั้นน่ะ