Jump to content


Photo
- - - - -

ตำแหน่ง ส.ส.ไม่ใช่มรดกของ "ตระกูลชินวัตร" ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่ายอมเป็น "ทาสในเรือนเบี้ย" โดย สารส้ม


  • Please log in to reply
ยังไม่มีผู้แสดงความเห็นในกระทู้นี้

#1 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:06

image002(22).jpg

 

นายเกษม นิมมลรัตน์ ส.ส.สังกัดพรรคเพื่อไทย ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่ เขต 3 เป็นเหตุให้ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งต้องใช้งบประมาณแผ่นดินกว่า 10 ล้านบาท

 

1) เมื่อสมัครเข้ามาเป็น ส.ส. ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนจะต้องเตรียมพร้อมว่าตนเองอาสาเข้ามาทำหน้าที่สำคัญเป็นระยะเวลายาวนานเท่าใด (ตามวาระที่เหลืออยู่) แลกกับเงินเดือนเท่าใด ผลประโยชน์อะไรบ้าง ภายใต้เงื่อนไข อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบตามกฎหมายอย่างไร เงื่อนไข เช่น ถ้าไม่มีการยุบสภา ไม่ทำผิดกฎหมาย ก็จะต้องทำหน้าที่ไปจนครบวาระ เป็นต้น มองในมุมของรัฐ จึงคุ้มที่จะจัดการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ส.เข้ามาทำหน้าที่

 

ส.ส.ก็เหมือนนักเรียนทุนแผ่นดิน ที่มีระยะเวลาต้องทำงานจนครบ มิใช่อยากเลิกเมื่อไหร่ก็เลิก ลาออกไปเป็นลูกจ้างเอกชนเอาดื้อๆ นักเรียนทุนที่ทำอย่างนี้ยังต้องรับผิดชอบใช้หนี้ทุนแผ่นดิน

 

2) เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย หรือ TPD ได้วิเคราะห์แจกแจง “ต้นทุนการได้มาซึ่ง ส.ส.” ทั้งต้นทุนการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ของ กกต. และต้นทุนค่าเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่ายในการทำงานของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปรากฏอยู่ในงบประมาณแผ่นดินแต่ละปี

 

ปรากฏว่า ประเทศชาติต้องจ่ายเงินเฉลี่ยปีละ 7.3 ล้านบาท เพื่อให้มี ส.ส.ทำหน้าที่ 1 คน!... หรือ 634,394 บาทต่อเดือนต่อคน... คิดเป็น 20,856 บาทต่อวันต่อคน!... ต้นทุนขนาดนี้ ส.ส.ทำงานคุ้มหรือไม่? ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน

 

3) ถ้า ส.ส.เขตไหนชิงลาออกก่อนครบวาระ ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการได้ซึ่ง ส.ส.แพงขึ้นเกือบเท่าตัว เพราะการจัดเลือกตั้งซ่อมแต่ละเขตต้องใช้เงินกว่า 10 ล้านบาท

 

ยิ่งถ้าการเลือกตั้งซ่อม เกิดขึ้นโดยที่เหลือระยะเวลาทำงานให้ ส.ส.ใหม่อีกน้อยเท่าใด ต้นทุนการได้มาซึ่ง ส.ส. เมื่อเทียบกับเวลาทำงานที่เหลืออยู่ก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

 

คิดง่ายๆ สมมติว่า จัดการเลือกตั้งครั้งหนึ่ง ใช้เงิน 10 ล้านบาท ประเทศชาติก็หวังว่าจะได้ ส.ส.ไว้ใช้งานยาวนาน 4 ปี คิดเฉลี่ยต้นทุนต่อปีก็จะตกอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท แต่ถ้าจัดเลือกตั้งซ่อมแล้วเหลือเวลาทำงานอีกแค่ 2 ปี ค่าจัดการเลือกตั้ง 10 ล้านบาทเท่าเดิม แต่คิดเฉลี่ยต้นทุนต่อระยะเวลาที่เหลือจะอยู่ที่ปีละ 5 ล้านบาท! แพงขึ้นเท่าตัว!

 

4) นายเกษม นิมมลรัตน์ ลาออกจาก ส.ส. จะไปเป็นรองนายก อบจ.เชียงใหม่ ทั้งที่เพิ่งจะได้รับเลือกตั้งซ่อมให้มาเป็น ส.ส.เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2555 เท่ากับว่า ทำหน้าที่ ส.ส.อยู่ประมาณ 9 เดือนเท่านั้น ถ้าประเมินต้นทุนของแผ่นดิน ค่าจัดการเลือกตั้งซ่อมเพื่อให้นายเกษมได้มาเป็น ส.ส.ประมาณ 10 ล้านบาท!

 

เท่ากับว่า ประเทศชาติต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ ส.ส.อย่างนายเกษม ประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน!

 

ยังไม่คิดรวมต้นทุนเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทางไปต่างประเทศ ค่าเสียหายที่เกิดจากการทำตามความต้องการของนายใหญ่พรรคเพื่อไทย ฯลฯ รวมถึงค่าจัดการเลือกตั้งใหม่อีกกว่า 10 ล้านบาท!

 

นายเกษมควรจะมีจิตสำนึกถึงเงินที่ประเทศชาติต้องสูญเสียไปบ้าง ละอายแก่ใจตัวเองบ้างไหม?

 

หากไม่ละอาย... ลูกหลาน ญาติพี่น้อง รวมถึงประชาชนผู้ลงคะแนนให้กับนายเกษม ก็ควรจะมีมาตรการทางสังคม ทำให้นายเกษมเกิดความสำนึกขึ้นมาบ้าง

 

5) พรรคเพื่อไทยหรือพรรคการเมืองใดก็ตาม หากเกิดกรณีเยี่ยงนี้กับ ส.ส.ในสังกัดของพรรคตนเอง ควรจะต้องมีสำนึกเกรงใจประชาชนบ้าง อย่างน้อยที่สุด ระหว่างไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องรับผิดชอบค่าจัดการเลือกตั้ง พรรคการเมืองก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง หรือรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้าง ยิ่งกรณีพรรคเพื่อไทย เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาแล้ว กลับสร้างความเสียหายซ้ำซาก

 

6) ก่อนหน้านี้ นายสุเมธ ฤทธาคนี ลาออกจาก ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ปทุมธานี แต่แพ้เลือกตั้ง (นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ปทุมธานี ในนามพรรคเพื่อไทยแทนนายสุเมธ ก็แพ้เลือกตั้ง) ประชาชนลงโทษ หลังการเลือกตั้ง ปรากฏว่า ทักษิณ ชินวัตร โทรศัพท์เข้ามายังที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย บอกว่า“ไม่ต้องตกใจผลเลือกตั้งปทุมธานี อย่าเป็น ส.ส.ที่ขี้ตกใจ ประชาชนเลือกแบบนี้เพราะเขาลงโทษ ไม่พอใจ ส.ส.เป็นรายบุคคลที่ไปดูถูกเขา เลือกไปเป็น ส.ส.ไม่นานก็ลาออกไปสมัครนายก อบจ. ... เพราะเขาดูถูกประชาชน ทำให้ประชาชนผิดหวัง ไม่ต้องมาอ้างว่ารัฐบาลขาลง”

 

นอกจากนี้ เฟซบุ๊ก “Oak Panthongtae Shinawatra” ก็เขียนข้อความประณามว่า “...หากใครที่คิดว่าลงเลือกตั้ง ส.ส.แล้วจะเปลี่ยนใจเป็นอื่น ก็ไม่ควรอาสามารับใช้ประชาชน อย่าลืมว่าที่ประชาชนเลือกท่านมา ส่วนหนึ่งมาจากคะแนนของพรรค เมื่อท่านตัดสินใจทำสิ่งใดที่เป็นการละทิ้งหน้าที่และเขาต้องการจะแสดงพลังให้ ส.ส.ที่เขาเคยเลือกไปนั้นทราบว่าเขาไม่เห็นด้วย พลังดังกล่าวนั้นย่อมกระทบกระเทือนถึงภาพลักษณ์โดยรวมของพรรค”

 

แต่มาวันนี้ คนสนิทของน้องสาวทักษิณลาออกจาก ส.ส. โดยจะไปรับตำแหน่งรองนายก อบจ. ทำให้ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งว่ากันว่าคนในวงศ์วานว่านเครือตระกูลชินวัตรต้องการจะเข้ามาเป็น ส.ส. เผื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอันต้องหลุดเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรจะได้เลือกคนของตระกูลชินวัตรขึ้นมาเป็น ส.ส. สืบทอดอำนาจกันต่อไปได้

 

ถ้าใช้มาตรฐานเดิม ทักษิณก็จะต้องประกาศว่า การลาออกไปเล่นการเมืองท้องถิ่นนั้น เป็นการ “ดูถูกประชาชน” และ “ละทิ้งหน้าที่” ซึ่งประชาชนที่เคยเลือกเขาก็จะ “แสดงพลังสั่งสอน” ด้วยการไม่เลือกอีก! หากไม่ใช้มาตรฐานเดิม ก็เท่ากับว่า อะไรที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของตระกูลชินวัตร จะได้รับการยกเว้น ละเว้น สามารถดูถูกประชาชนได้ ละทิ้งหน้าที่ได้ เห็นประชาชนเป็นทาสในเรือนเบี้ย มีหน้าที่แค่ออกมากาบัตรลงคะแนนเพื่อให้คนของทักษิณได้เป็น ส.ส. สืบทอดกันต่อๆ ไปเท่านั้นเอง!

 

http://www.naewna.co.../columnist/5856

 

-_-  เพิ่งเห็นข่าวลูกแมวกลายเป็นไส้กรอก แล้วชาวบ้านก็เอาไปปิดทอง, กราบไหว้บูชา ร่างทรงเจื่อกบอกมีเทพ 9 ตัวสิงอยู่... เทพซ่งติงอะไรฟะมาสิงศพแมว โคตรกระจอก... คิดไปให้ลึกกว่านั้น... คนมากมายยังเป็นเยี่ยงนี้... แล้วพวกนายทุนชั่วๆที่หากินกับ "ความงมงาย" เยี่ยงพวกเหียกๆนี้... จะหมดไปได้อย่างไรขอรับ...


:) Sometime...Sun shine through the rain...




ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน