เปิดตัว "วิป วิญญรัตน์" ทายาท "พันศักดิ์" ตอบโจทย์ประเทศไทย กับ Railway Revolution
สัมภาษณ์โดย
ฟ้ารุ่ง ศรีขาว
ทสิตา สุพัฒนรังสรรค์
ภาพ : สันติพงษ์ สมาธิ
ลำดับภาพ : นัฐพงษ์ โห้เฉื่อย
เบื้องหลัง โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ 2 ล้านล้านบาท มี นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่เบื้่องหลัง เดอะดรีมเมอร์ เชื่อว่า นี่คือ จุดเปลี่ยนประเทศไทย ไปตลอดกาล แต่เบื้องหลัง ของ "พันศักดิ์" ในโครงการระบบราง มีคนนามสกุล"วิญญรัตน์" ที่ชื่อ "วิป" เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง
คนทั่วไป อาจไม่เคยรู้ว่า นี่คือ ทายาทของ "พันศักดิ์" ลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น ....
"มติชนออนไลน์" สัมภาษณ์ “วิป วิญญรัตน์”คณะทำงานประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี
@เริ่มต้นมาทำวิจัย เกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูงได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ เริ่มต้นจากทาง TCDC (Thailand Creative & Design Center หรือ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ) ให้จัดนิทรรศการ เรื่องรถไฟความเร็วสูง ผมกับเพื่อนๆ อีก 3-4 คน รับโปรเจคนี้ ทำวิจัย เพื่อทำเนื้อหานิทรรศการว่า ทำรถไฟความเร็วสูงแล้วเป็นยังไง ได้ผลดี ยังไงอะไรบ้าง เริ่มต้นจากตรงนั้น
ทุกวันนี้ ก็ดูโปรเจครถไฟความเร็วสูง เป็นหลัก แต่ไม่ได้ทำในลักษณะแบบกระทรวงคมนาคม หรือ สนข. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม) ซึ่งทางนั้นจะเน้นด้านวิศวกรรม แต่จะทำในแง่การสร้างคุณค่าและ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากรถไฟความเร็วสูง แล้วก็อีกอันหนึ่ง คือการออกแบบการให้บริการ ของระบบรถไฟอะไรแบบนี้ครับ
@ก่อนหน้านี้ สนใจเรื่องรถไฟความเร็วสูง มาก่อนหรือเปล่า
มาเรียนรู้ใหม่หมดเลย ซึ่งก็สนุกดี เป็นชีวิตอีกโลกหนึ่ง ที่ไม่ได้เรียนมาไม่ได้โตมา ก็เปิดโลกดีครับ
@เรียนจบมาด้านไหน
ปริญญาตรี ผมเรียนปรัชญา ปริญญาโท ผมเรียนประวัติศาสตร์ ผมเป็นแบบที่พูดง่ายๆ คือ “นักวิชาการหอคอยงาช้าง” ซึ่งก็สนุกดี เป็นชีวิตที่ผมชอบ ส่วนงานนี้ (รถไฟความเร็วสูง) ก็เป็นอีกโลกหนึ่ง ที่เราก็ต้องเรียนรู้วิธีคิดของการทำงานเป็นยังไง การตั้งคำถามและ ตอบโจทย์ เป็นยังไง เป็นอีกโจทย์หนึ่ง
@โลกทางวิชาการ กับโลกการทำงานต่างกันมากไหม
มันก็มีส่วนที่ต่างมาก แต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น ด้านหนึ่งที่อาจจะต่างกันมาก อย่างเช่น stakeholder (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) มันใหญ่ขึ้น ถ้าทำงานวิชาการเขียนงาน บทความ ถ้าทำผิดก็ได้ F แต่การทำงานเป็นอีกโลกหนึ่ง ถ้าเกิดความผิดพลาด มันจะมีผลมากกว่า F
@รถไฟความเร็วสูง จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ถ้าจินตนาการง่ายๆ อย่างทุกวันนี้เดินทางจากกรุงเทพฯ ไป เชียงใหม่ขับรถ 10 ชั่วโมง นั่งรถโดยสาร 10 ชั่วโมง นั่งรถไฟไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง นั่งเครื่องบิน 1 ชั่วโมงไม่รวมเวลาเดินทางไปสนามบิน ขณะที่รถไฟความเร็วสูง ถ้าเป็นไปตามสเปคก็ 3 ชั่วโมงครึ่ง ผมคิดว่า นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ไม่ต้องขับรถเอง ไม่ต้องนั่งรถบัส ไม่ต้องขึ้นเครื่องบิน หรือนั่งรถไฟ ชีวิตก็จะง่ายขึ้น สะดวกขึ้น
อันนี้ ยังไม่รวมการขนส่งสินค้า ด้วยรถไฟความเร็วสูง ขนผักจากเชียงใหม่ ลงมากรุงเทพฯ ถึงศูนย์กระจายสินค้าภายในกรุงเทพได้ภายใน 3 ชั่วโมงครึ่ง ที่ผ่านมาใช้ นิ่มซี่เส็ง (บริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัด) ก็ 10 ชั่วโมง ถ้าใช้เวลาลดลงแล้วต้นทุน การขนส่งอาจจะลดลง หรือว่าจะเพิ่มขึ้น
@ คิดว่านี่จะเทียบได้กับจุดเปลี่ยนอะไรในประวัติศาสตร์
ไม่รู้จะไกลตัวมากไปหรือเปล่า แต่ railway revolution (การปฏิวัติด้วยระบบราง) ปัจจุบัน ซึ่งเป็นเทรนด์ มากขึ้นในเอเชีย ในยุโรป และกำลังจะตามมาในอเมริกาสำหรับประเทศไทย มันก็อาจจะเหมือน railway revolution ครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 หรือเปล่า ซึ่ง มันก็เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนโลกไปได้เยอะมาก เป็นเครื่องมือของการล่าอาณานิคม เป็นเครื่องมือของการ พัฒนาทุนนิยมทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วงเวลาประมาณกลาง หรือ ปลายศตวรรษที่ 19
@ มีโอกาสได้ทำเรื่อง รถไฟความเร็วสูง ในขณะที่ประเทศ ก็ยังมี“รถไฟไทย” ซึ่งให้ความรู้สึกกับประชาชนแบบหนึ่ง มองการดำรงอยู่ในยุคเดียวกันของทั้ง 2 สิ่งนี้อย่างไร
ผมว่าเป็นเรื่องปกตินะ อย่างอเมริกา เป็นประเทศโลกที่ 1 ที่รถไฟก็แย่สุดๆ เหมือนกัน โอเค อาจจะดีกว่าถ้าเทียบกับเมืองไทย แต่รถไฟอเมริกา amtrak ก็ขึ้นชื่อเรื่อง เก่า ช้า เลท บริการไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างผมคิดว่า เป็นเรื่องปกติที่สังคมหนึ่ง จะมีโปรเจคที่ทันสมัยไปพร้อมๆ กับสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่
ทุกวันนี้ อเมริกา เขาก็พยายาม ผลักดันประเด็น รถไฟความเร็วสูง อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นต้น
คืออเมริกาเป็นประเทศที่พัฒนา ผ่านทางถนนเป็นหลัก รถไฟเป็นอะไรที่ โดนทิ้งมานานมาก อาจจะคล้ายๆ เมืองไทย
การลอบบี้ ประเด็นรถไฟความเร็วสูง ในอเมริกา ก็เป็นประเด็นใหญ่ตอนนี้ เข้าใจว่ารัฐบาลพรรคเดโมแครต โอบามา กับโจ ไบเดน ก็ ผลักดันประเด็นรถไฟความเร็วสูงอยู่มาก เพราะเขาจะเอามายกระดับ การขนส่งทางราง ซึ่ง ในปัจจุบันของอเมริกา ซึ่งก็ไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือจีน ทุกวันนี้
@ ในฐานะคนทำหนังสือ มีความเห็นอย่างไรกรณีที่เกิดขึ้นกับ รายการ “ตอบโจทย์ประเทศไทย”
ผมว่า ไม่ต้องพูดในฐานะคนทำหนังสือก็ได้ ผมพูดในฐานะ “คนไทยทนไม่ไหว” อีกกลุ่มหนึ่งเขาชื่อ “ประชาชนทนไม่ไหว” (หัวเราะ) ผมว่ามันก็คล้ายๆ กับประเด็น รถไฟความเร็วสูง กับ รฟท. ในด้านหนึ่งประเทศไทยก็อยากจะ modernize ในด้านหนึ่ง ก็มีประเด็น ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ ซึ่งมันน่าโมโห น่าอึดอัด คือ แค่จะพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ทำไมต้องเป็นเรื่องต้องห้ามใหญ่โต มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอย่างส่งจรวดไปดาวอังคาร มันเรื่องแค่นี้เอง ... เรื่องเบสิคนะครับ ซึ่งมันควรจะผ่านไปได้แล้ว
@ หรือว่า สังคมไทยก็ต้องอยู่อย่างนี้ มี 2 ด้านที่ขัดแย้งกัน
ผมว่าสุดท้าย มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง เปรียบเทียบกับอเมริกาก็ได้ ด้านหนึ่งมันก็มีความ conservative (อนุรักษ์นิยม) ที่มันน่าปวดหัวมากๆ อยู่ เพียงแต่ โอเคอเมริกา ยังมี political order (ระเบียบทางการเมือง) บางอย่าง ที่มันยัง dominate (ครอบงำ) สังคมเขาอยู่ ที่ทำให้ประเทศไปต่อได้ เมืองไทยก็ยังมี ปัญหา political order (ระเบียบทางการเมือง) คำถามเบสิคว่า จะเอาอะไรกับชีวิต
@ คิดจะเป็นนักการเมืองไหม
ไม่ครับ เพราะ ผมว่า มันก็เป็นความถนัดส่วนตัว เหมือนคนเราถ้าไม่ถนัดขายก๋วยเตี๋ยว ก็คงไปทำข้าวผัดแทน เรื่องการเมืองผมไม่ถนัดผมขอเป็นนักวิชาการที่ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมือง แล้ววิจารณ์ไปวันๆ ดีกว่า
@ ทุกวันนี้ ทำงานวิชาการ ซึ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่
ใช่ ทุกวันนี้ ผมทำเรื่อง นโยบายเป็นหลัก หลัก ๆ คือทำวิจัยที่จะเกี่ยวข้องกับ policy implication (นัยยะทางนโยบาย) หรือ policy recommendation (ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย) ไม่ได้ยุ่งการเมือง เรื่องการเมืองนี่อยู่นอกเหนือ job description (คำอธิบายลักษณะงาน) ครับ แต่ต้องย้ำว่า คนทำรถไฟความเร็วสูงจริงๆ ต้องให้เครดิตกระทรวงคมนาคมและก็สำนักนโยบายแผนขนส่งพัฒนา กระทรวงคมนาคม ข้าราชการ ในกระทรวงคมนาคม ซึ่งเอาเข้าจริง เขาผลักดันเรื่องรถไฟความเร็วสูง มาหลายปีแล้วเหมือนกัน
@ เป็นการผลักดันของ รัฐบาลพรรคไหนกันแน่
เอาเข้าจริงๆ ถ้าไปดูในห้องสมุด สนข. จะมีการศึกษาเรื่องรถไฟความเร็วสูง ถ้าผมจำไม่ผิด มีเล่มแรกในปี 2535 ว่าจะสร้างรถไฟความเร็วสูงในเมืองไทยดีไหมคือมันเป็นระบบราชการนะครับ เรื่องมันก็อยู่ในนี้ แล้วก็ไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลไหน จะดึงมุมไหนเข้ามาใช้เป็นหลัก
@ จากที่ได้ไปศึกษา มีเกร็ดเรื่องอะไรสนุกๆบ้าง
ได้ไปลงพื้นที่มาเยอะเหมือนกัน เริ่มต้นจาก รถไฟความเร็วสูง ปกติขนคน แต่ตอนนี้ รัฐบาลมีไอเดียว่า พยายามให้มีการขนของไปด้วย ซึ่งมันมี demand (ความต้องการ) การขนส่งขนของพวกของที่ไม่ใช่มากันใหญ่ๆ แต่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่างพวกพัสดุไปรษณีย์ทั้งหลาย ซึ่งมี demand (ความต้องการ) สูงในไทยตอนนี้ ขนผ่านรถไฟความเร็วสูง
พอได้โจทย์นี้ ผมก็ไปดูว่า เมืองไทยขนผักกันมายังไง แล้วก็ไปดู พวกตลาดขายส่ง 2 ตลาด คือ ดูที่ตลาดไทย และ ตลาดศรีเมือง จังหวัดราชบุรี ก็ไปเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า ทุกวันนี้ เวลาเราขนผัก เราไม่ได้ขนผัก แต่เราขนขยะ เกิดสิ่งที่เรียกว่า Post-harvest loss (ความเสียหายหลังเก็บเกี่ยว) เกิดขึ้นมากเช่น กะหล่ำปลี 1 ลูก ขนจากหน้าสวน มาที่ตลาดไทยในรถบรรทุก เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วนราคาถูก อัดเข้าไปเยอะๆ ขนถมกันขึ้นไปแล้วใช้ผ้าใบปิด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผักมันจะคายน้ำ และมีแรงสั่นสะเทือน พอถึงที่หมาย เปลือกนอกมันจะเน่า ก็ต้องมาลอกทิ้ง กะหล่ำปลีก็หดลง พอขนส่งอีก เพราะผ่านพ่อค้าหลายมือมาก เปลี่ยนที่ไป-มา ก็นั่งลอกกันจากกะหล่ำปลีหัวใหญ่ก็หดเล็กลง
ผมเพิ่งรู้ว่าประเทศไทย ซึ่งการบริโภคผักสดผลไม้มหาศาลมาก เรามีกระบวนการขนส่ง ผัก ซึ่ง ห่วยสุดๆ ห่วยแตกสุดๆ Post-harvest loss (ความเสียหายหลังเก็บเกี่ยว) 17-35 เปอร์เซนต์ของ จีดีพี อันนี้ มหาศาลมาก หมายความว่าเป็นเงินหลายล้านต่อปี ทุกวันนี้ประเทศไทย ไม่ใช่เพียง เกษตรกรพ่อค้าคนกลาง หรือผู้บริโภคปลายน้ำ แต่ทุกคนเสียตังค์ ไปกับการขนขยะจากที่โน้นไปที่นี่ ที่นั่น มหาศาลมาก
นี่เป็นเกร็ดอันหนึ่งในประเทศไทย ตรงนี้ น่าจะเป็นคีย์ ในการยกระดับสินค้าเกษตรในเมืองไทย ที่ดี ซึ่ง ผมรู้สึกว่ายังไม่มีใครสนใจ
@ รถไฟความเร็วสูง จะตอบโจทย์ปัญหาการขนผัก
รถไฟความเร็วสูง จะไม่ได้แก้ปัญหาทันที แต่อาจจะมาตอบโจทย์ทำให้การขนผักบางชนิดที่ขนโดยรถไฟความเร็วสูงแล้วคุ้มค่า มันทำได้ดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วนี่เป็นปัญหาจัดการ ให้ Post-harvest loss (ความเสียหายหลังเก็บเกี่ยว) มันมีคุณภาพมากขึ้น
@นอกจากเรื่องขนผัก แล้วเจอเรื่องอะไร
ตอนนั้น ผมไปอุดร มี ยี่ปั๊วรายใหญ่ที่อุดร ชื่อตั้งงี่สุ่น อันที่จริงเข้าใจว่าเขามีชื่อเสียงด้านบริหารจัดการ logistics (การขนส่ง) ที่ดี ทำให้ขายของได้ถูกสามารถแข่งกับ modern trade (ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่) อย่างเทสโก โลตัสได้ เขาเริ่มจาก โชว์ห่วยมาก่อน ผมก็ไปสัมภาษณ์ แล้วเขาบอกว่า ไม่เคยกลัว Modern trade (ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่) อย่าง เทสโกโลตัส
เขาบอกว่า ที่น่าสนใจคือ ทุกวันนี้ การค้าชายแดน แถบอีสานลุ่มแม่น้ำโขง เติบโตเร็วมาก แล้วอีสานทุกวันนี้ ถ้าไปดู อุดร หนองคายขอนแก่น เศรษฐกิจโตขึ้นมหาศาลมาก ผ่านการค้าชายแดนอันนี้ก็สนุกดี จะมีเรื่องอย่างคนเวียดนามนั่งรถข้ามประเทศลาวมาซื้อของกันเป็นคันรถ เพื่อซื้อของตามหนองคายและอุดรฯ ผมว่านี่คือ potential (ศักยภาพ) ระดับที่น่าสนใจคือ border trade (การค้าชายแดน) ...พูดแบบจินตนาการหน่อยก็คือว่า บทบาทของภาคอีสานที่คงจะเปลี่ยนไป อาจจะพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับส่วนกลางน้อยลงและไปผูกกับ Greater Mekong Subregion (โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง) มากขึ้น
@ ได้รับการถ่ายทอดเรื่องการทำงานและเรื่องต่างๆ จากครอบครัวอย่างไรบ้าง
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เป็นคนชอบอ่านหนังสือ ตั้งแต่เด็ก ผมโตขึ้นมากับการอ่านหนังสือ ผมคิดว่า เป็นอิทธิพลสำคัญ
Edited by redfrog53, 29 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 04:13.