Jump to content


Photo
- - - - -

บัฟเฟ็ตต์ เศรษฐีชาวอเมริกา กับ แม้ว ใครดีกว่ากัน (นักบุญหุ้นกับนักเลงหุ้น)


  • Please log in to reply
18 replies to this topic

#1 raksthaban

raksthaban

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 640 posts

Posted 2 April 2013 - 15:04

1315134182.jpg
 
  วาร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ Warren Edward Buffett  เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1930 ในเมืองโอมาฮ่า รัฐเนบราสก้า มีอาชีพเป็นนักลงทุนและนักธุรกิจชาวอเมริกัน และเป็นผู้ใจบุญสุนทานคนหนึ่ง คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักเขาในนาม ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งโอมาฮ่า เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ที่ทำการลงทุนในตลาดหุ้นมากที่สุดในโลก เป็นผู้ที่ถือครองหุ้นจำนวนมากที่สุดและยังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ CEO ของบริษัท เบิร์คไชร์ฮาธอเวย์  มีทรัพยสินรวมทั้งสิ้น 62 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 1,984,000 ล้านบาท  จัดอับดับโดย ฟอร์บส์ Forbes เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แห่งปี 2008
 
บัฟเฟ็ตต์ เป็นบุคคลที่มีสไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่ธรรมดามากนัก และขี้เหนียวมากแม้ว่าจะมีความมั่งคั่งในทรัพย์สินจำนวนมาก เงินเดือนของเขาในปี 2006 ประมาณ 100,000 ดอลล่าร์ เป็นจำนวนจิ๊บจ๊อยเมื่อเปรียบเทียบกับตำแหน่งนักบริหารระดับสูงในบริษัทอื่นๆ และเมื่อเขาไปซื้อกองทุนเบิร์คไชร์จำนวน 9.7 ล้านดอลล่าร์ เพื่อร่วมโครงการ business jet ในปี 1989 เขาก็ได้รับการกล่าวขวัญแบบติดตลกว่า The Indefensible หรือแปลเป็นไทยว่า เหนือการคาดเดา เพราะว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่ CEO คนอื่นวิจารณ์เกี่ยวกับการซื้อโครงการดังกล่าวนั้น เขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเดิมในโอมาฮ่าที่เขาซื้อมาเมื่อปี 1958 มูลค่า 31,500 ดอลล่าร์ แต่ปัจจุบันมีมูลค่าราว 700,000 ดอลล่าร์
 
บัฟเฟ็ตต์ ยังถูกบันทึกว่า เป็นนักบุญตัวยง  โดยปี 2006 เขาประกาศว่า เขามีแผนการที่จะบริจาคทรัพย์สินให้กับองค์กรการกุศล ประมาณ 83% จะมอบให้กับ กองทุนบิลเมลินดาเกท ในปี 2007 บุฟเฟตต์ จึงกลายเป็นบุคคลที่ติด 1 ใน 100 คนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกจากนิตยสาร Time  เขายังเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในวิทยาลัยกรินเนลล์ เพื่อแนะนำการจัดการกับทรัพย์สินของวิทยาลัยกรินเนลล์ และนำพาให้วิทยาลัยดังกล่าวกลายเป็นองค์กรที่มีห้องสมุดศิลปะใหญ่เป็นอันดับที่สองของสหรัฐอเมริกา
 
 
 
การลงทุน
 
ปรัชญาในการลงทุนทางด้านธุรกิจของบัฟเฟ็ตต์ คือ การปรับปรุงการลงทุนด้านมูลค่า Value investment ซึ่งได้แนวคิดมาจาก เบน แกรแฮม และดาวิด ด็อดด์ ที่ได้พิมพ์ผลงานออกสู่ชาวโลก ในปี 1934 ใน Security Analysis  และในที่สุด เบนจามิน แกรแฮม ก็ได้เป็นที่ปรึกษาของเขา แกรแฮม ได้ซื้อบริษัทต่างๆ เพราะราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าอันแท้จริง intrinsic value  เขาเชื่อว่า ตราบนานเท่านานที่ตลาดเหล่านั้นยังมีต่ำกว่ามูลค่าจริง จะต้องมีการลงทุนอย่างหนักแฝงอยู่ เขาให้เหตุผลว่า ตลาดจะแสดงผลออกมาตามจริงทันทีทันใดนั้น มันจะต้องกดดันมูลค่าให้ต่ำลง และเราจะหาทางถูก เพราะต้องมั่นสังเกตและตระหนักกี่ยวกับรูปแบบต่างๆของธุรกิจในบริษัทนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาเชื่อว่าธุรกิจจะต้องมีการลงทุนอย่างหนักแฝงอยู่  สไตล์การลงทุนแบบบัฟเฟ็ตต์ ได้อิทธิพลมาจาก ฟิล ฟิสเช่อร์
 
แนวคิดในการลงทุน
 
    บริษัทในอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งจะประกอบด้วย สภาพธุรกิจที่ดี อาทิ ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่แข่งขันด้านราคาหรือไม่? บริษัทนั้น มีเอกสิทธิ์ต่อลูกค้า หรือแบรนด์เนม ที่น่าเชื่อถือหรือไม่ บริษัทนั้น ประกอบไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งทรัพยากรที่จะสามารถแข่งขันความสำเร็จกับบริษัทอื่นได้หรือไม่
 
    รายได้ของผู้ที่เป็นเจ้าของมีทิศทางที่ดีและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เหนียวแน่น
 
    ดุลพินิจเกี่ยวกับอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำ หรือดุลพินิจเกี่ยวกับรายได้ที่สูงขึ้น ยกตัวอย่าง บริษัทดังกล่าวนั้นมีความสามารถจ่ายชำระหนี้สินในแต่ละปี ถ้าหากรายได้มียอดต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยได้หรือไม่
 
    บริษัทนั้นสามารถระดมเงินทุนได้มากแล้ว และมีโอกาสเข้มแข็งได้หรือไม่
 
    ธุรกิจนั้นจะต้องไม่มีค่าบำรุงรักษาที่สูงมากในการดำเนินการ ที่จะต้องเพิ่มทุนสูง หรือมีการไหลของเงินลงทุนออกไป สิ่งนี่จะไม่เหมือนกับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
 
    บริษัทนั้นจะสามารถลงทุนซ้ำเพื่อสร้างโอกาสที่ดีในด้านธุรกิจได้หรือไม่? การจัดการมีสถิติ หรือแนวทางที่ดีกับผลกำไรจากการลงทุนได้หรือไม่
 
    บริษัทนั้นมีอิสระที่จะกำหนดราคาให้เหมาะสมได้หรือไม่เมื่อตลาดขยายตัว
 
บัฟเฟ็ตต์ เน้นถึงเวลาที่ควรซื้อด้วย เขาไม่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่มีมูลค่าที่ไม่เป็นระบบ เขาจะต้องรอคอยจนกว่าตลาดจะเข้าที่เข้าทาง หรือมีแนวโน้มที่ลดต่ำลงมาที่จะซื้อธุรกิจที่แข็งแกร่งและราคาสมเหตุสมผล จนกระทั่งตลาดหุ้นโนมต่ำลงมาที่แสดงผลให้เห็นโอกาสที่จะซื้อได้ เขาเป็นคนที่รอบคอบในการคิดเสมอ เมื่อกระแสการซื้อขายในตลาดหุ้นคึกคัก เขาจะเปิดเกมรุกทันที เมื่อคนอื่นกำลังเริ่มจะกลัว ไม่กล้าลงทุน ยุทธศาตร์หัวดื้อของเขานี้ เป็นสิ่งนำพาให้บริษัทของบุฟเฟ็ตเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีสัญญาณบ่งบอกใดๆ ว่าจะเสียหาย แม้ว่าจะมีคนวิจารณ์ว่าสิ่งที่เขาคิดจะนำพาให้เบิร์คไชร์ประสบความล้มเหลวก็ตาม
 
จุดยืนเกี่ยวกับสาธารณะ
 
    บัฟเฟ็ตต์ได้วิจารณ์ซ้ำมากเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการเงินการคลัง เพราะสิ่งที่เขาพิจารณาตัดสินใจนั้นเป็นการเพิ่มจำนวนที่ปรึกษาที่ไม่มีมูลค่าใดๆ แต่ก็ถูกชดเชยด้วยฐานเกี่ยวกับปริมาณการติดต่อซื้อขายธุรกิจซึ่งพวกเขาจะทำได้สะดวกขึ้น เขาชี้ให้เห็นว่าปริมาณการค้าหุ้นจะเด่นชัดขึ้นและมีสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นเท่าที่เคยมีมาเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนที่กำลังจะเป็นนายหน้าซื้อขาย และคนกลาง
 
    บัฟเฟ็ตต์ได้เน้นหนักถึงรูปลักษณะทองที่ไม่มีการผลิตในปี 1998 ที่ฮาวาร์ด ว่า " มันถูกขุดขึ้นมาบนแผ่นดินอาฟริกา หรือในที่สักแห่งหนึ่ง เมื่อเราหลอมมัน ขุดมันต่อไปอีกหลุม และกลบมันอีกครั้ง และจ้างให้คนมาเฝ้ารอบๆ มันไม่มีอรรถประโยชน์แต่อย่างใด บางคนกำลังจ้องมองมาจากดาวอังคาร เฉียดหัวพวกเขาเหล่านั้นไป"
 
    บัฟเฟ็ตต์ ได้กล่าวเน้นว่า เขาจ่ายรายได้ของเขาเมื่อปี 2006 จำนวน 19% เป็นภาษีกองทุนทั้งหมด 48.1 ล้านดอลล่าร์ ขณะที่ลูกจ้างของเขาจ่าย 33% แม้ว่าจะทำให้เงินน้อยลงไปมากก็ตาม  คนอื่นอธิบายถึงความแตกต่างเหล่านี้ได้ โดยการพูดถึงเงินปันผลที่เสียภาษีต่ำลง และดอกผลในเงินทุนหลังจากหักภาษีรายได้แล้ว
 
    บัฟเฟ็ตต์ เชื่อว่า เงินดอลล่าร์อเมริกาจะมีมูลค่าลดต่ำลงเป็นระยะเวลายาวนาน เขาชี้ให้เห็นภาพว่า การขาดดุลทางการค้าของสหรัฐจะเพิ่มขยายขึ้น เป็นสิ่งเตือนถึงแนวโน้มของค่าเงินและทรัพย์สินของอเมริกา  เป็นเหตุผลหนึ่งที่ส่งความหายนะมายังเจ้าของทรัพย์สินในสหรัฐที่เป็นชาวต่างประเทศ  สิ่งนี่แหล่ะเป็นเหตุจูงใจให้บัฟเฟ็ตต์ต้องเข้าซื้อตลาดเงินตราต่างประเทศ เป็นครั้งแรกในปี 2002  อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ลดขนาดการถือหุ้นลงในปี 2005  ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นได้เพิ่มต้นทุนแก่ผู้ติดต่อซื้อขายเงินตรา  บัฟเฟ็ตต์ยังคงมองเห็นว่า เงินดอลล่าร์จะตกต่ำต่อไป และเขาได้มองหาบริษัทเพื่อทำการยึดครอง ซึ่งมีรากฐานการคิดภาษีที่อยู่ภายนอกประเทศอเมริกา  บัฟเฟ็ตต์ ได้ลงทุนในบริษัท PetroChina จำกัด และมีการเคลื่อนไหวน้อยมากแทบจะไม่มีคำคอมเมนท์ ซึ่งถูกโพสต์ขึ้นเว็บไซท์ของเบิร์คไซร์เลย นี่คือเหตุว่า ทำไมเขายังไม่ปลดมันออกจากเครือบริษัท
 
    บัฟเฟ็ตต์เชื่อว่า รัฐบาลจะยังไม่ดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจการพนัน  เขาเชื่อว่ามันคือภาษีที่ไม่มีคนใส่ใจ
 
    ถ้อยแถลงของบัฟเฟ็ตต์ เป็นที่รู้จักกันในการทำธุรกิจที่จริงจังแต่ถกเถียงกันด้วยอารมณ์ที่ขบขัน  ในแต่ละปี บัฟเฟ็ตต์จะมาเป็นประธานในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของผู้ถือหุ้นบริษัทเบิร์คไชร์ฮาธอเวย์ ที่ เควสต์เซ็นเตอร์ ในเมืองโอมาฮ่า รัฐเนบราสก้า  ในการประชุมดังกล่าวจะมีผู้คนเข้ามาร่วมฟังประมาณกว่า 2,000 คน จากสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ จนเขามีฉายานามว่า หุ้นไม้แห่งทุนนิยม
 
    หนังสือและรายงานประจำปีของเบิร์คไชร์ที่ส่งให้ผู้ถือหุ้น จัดการโดย บัฟเฟ็ตต์ ข้อเขียนของเขาจะอยู่ในรูปของ ข้อความอักษรที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด ที่ดังก้องจาก the bible ถึง Mae West ที่รู้จักกันในคำว่า ที่ปรึกษาแห่งตะวันตกกลาง และผู้มากด้วยอารมณ์ขำ เว็บไซท์หลายๆ แห่งต่างยกย่องตัวเขาเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ ขณะที่คนอื่นติเตียนโมเดลธุรกิจของบัฟเฟ็ตต์ หรือไม่ก็ไม่รับฟังข้อเสนอแนะและการตัดสินใจของเขาเลย
 
    บัฟเฟ็ตต์ ชื่นชอบในเรื่องภาษีมรดก โดยเขาได้กล่าวว่า การล้มเลิกกฎหมายนี้ มันก็จะเหมือน "การเลือกทีมโอลิมปิค 2020 โดยหยิบเอาลูกคนเล็กที่สุดของนักกีฬาที่ได้รับเหรียญทองเมื่อคราวปีโอลิมปิคปี 2000 มาเป็นตัวแทน"  ในปี 2007 บัฟเฟ็ตต์ได้ยื่นภาษีก่อน the Senate และเร่งเร้าให้บริษัทชื่อดังยอมรับและรักษาภาษีมรดกไว้ ดังนั้นจึงเป็นการหลีกเลียงว่าเขาเป็นพวกชนชั้นปกครองด้วยเงิน หรือ อำนาจเงินนิยม คำวิจารณ์บางอย่างชี้ให้เห็นว่าบุฟเฟ็ตและบริษัทเบิร์คไชร์ฮาธอะเวย์ อาจจะมีความสนใจเป็นส่วนตัวในการยังคงรักษาภาษีทรัพย์สินมรดกไว้ นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้รับผลประโยชน์จากภาษีทรัพย์สินมรดกในการเจรจาติดต่อค้าขายในอดีต และยังรวมถึงการพัฒนาและการหาตลาดกับนโยบายประกันการเสี่ยง ซึ่งมันได้ปกป้องผู้ถือหุ้นให้รอดพ้นกับการชำระภาษีทรัพย์สินมรดกในอนาคต
 
    บัฟเฟ็ตต์ ได้ตระหนักถึงภาระรับผิดชอบต่อสำนักงานคณะกรรมการ FASB Financial Accounting Standards Board หรือ Stock option expensing วิธีการทำบัญชีแสดงมูลค่าหุ้นในออปชั่นต่างๆ ที่กระจายค่าตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ยื่นเป็น GAAP (Generallly Accepted Accounting Principles)  แบบโครงร่างมาตรฐานที่แสดงตัวเลขในบัญชีรายได้ ที่นิยมใช้ในอเมริกา เป็นงบดุลกำไรขาดทุน และเมื่อถามถึง วัตถุประสงค์ในการประชุมประจำปีของบริษัทเบิร์คไชร์ในปี 2004 แล้ว บัฟเฟ็ตต์ก็ได้เปรียบเทียบระหว่างการตัดสินใจของสภาคองเกรสของสหรัฐ กับคณะกรรมการป้องกันและดูแลการซื้อขายตราสารในตลาดหุ้น ไม่ให้ความสำคัญต่อ FASB ซึ่งต้องการตัดสินให้ค่าตอบแทนในหุ้นที่มีออปชั่น เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ
 
    บัฟเฟ็ตต์ได้ยกตัวอย่างถึง ฮิลแลรี่ คลินตัน และบาแรค โอบาม่า ซึ่งเป็นตัวแทนเลือกประธานาธิบดี เขาไม่ได้เน้นว่าเขาจะเลือกใคร แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งคู่นี้ สามารถเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ได้
 
    บัฟเฟ็ตต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจระดับอาวุโสที่ประสบความสำเร็จ ในปี 1997
 
เส้นทางชีวิตของบัฟเฟ็ตต์
 
1943 (วัย 13 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ได้เก็บบิลภาษีรายได้ที่คืนกลับมา ซึ่งหักมาจากรถจักรยานของเขาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงาน 35 ดอลล่าร์สหรัฐ
 
 
1945 (วัย 15 ปี)
 
- ในช่วงปีท้ายในการศึกษาระดับไฮสกูล บัฟเฟ็ตต์ ร่วมกับเพื่อน รวมเงิน 25 เหรียญ เพื่อซื้อ pinball machine ดังที่เห็นในภาพด้านซ้ายมือ ซึ่งพวกเขานำไปวางไว้ในร้านตัดผมแห่งหนึ่ง ไม่กี่เดือน พวกเขาก็สามารถเป็นเจ้าของเครื่องเล่นชนิดเดียวกันนี้ 3 เครื่อง วางไว้ในสถานที่ต่างๆ ได้
 
1949 (วัย 19 ปี)
 
- ในปี 1949 เขาได้เริ่มเข้าร่วมกลุ่มฉันท์พี่น้องอัลฟาซิกมาฟี่ ขณะที่เป็นนิสิตที่ยังไม่ได้รับปริญญา เขากำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนวาร์ตัน เป็นโรงเรียนสอนด้านธุรกิจที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเพนซีนวาเนีย  พ่อและลุงของเขาก็อยู่ในกลุ่มฉันท์พี่น้องอัลฟาซิกาฟี่ เช่นกัน แต่มาจากส่วน เนบราสก้า ซึ่งเป็นสถานที่บัฟเฟ็ตต์ได้โอนย้ายไปในที่สุด
 
 
1950 (วัย 20 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้จดทะเบียนลงศึกษาที่โรงเรียนพาณิชยการโคลัมเบีย Columbia Business School หลังจากที่ได้ศึกษาเรื่องราวของ เบนจามิน แกรแฮม และดาวิด ดอดด์ สองนักวิเคราะห์ความมั่นคงปลอดภัยในธุรกิจชื่อดัง ที่สอนในโรงเรียนแห่งนั้น
 
1951 (วัย 21 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้ค้นพบว่า แกรแฮม เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของบริษัท GEICO  Goverment Employees Insurance Company ในช่วงเวลานั้น  หลังจากที่โดยสารรถไฟไปยังวอซิงตันดีซี ในวันเสาร์วันหนึ่ง บัฟเฟ็ตต์ ก็เข้าไปเคาะประตูหน้าห้องที่ทำการสำนักงานใหญ่ของ GEICO จนกระทั่ง รปภ.ยอมให้เขาเข้าไป เมื่อเข้าไปแล้ว เขาก็ได้พบกับ ลอริเมอร์ ดาวิดสัน Lorimer Davidson รองประธาน ซึ่งได้กลายมาเป็นคนที่มีอิทธิพลกับเขา และเป็นเพื่อนที่ยาวนานที่สุดของเขา
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้รับปริญญาบัตรจากโคลัมเบีย และต้องการเดินทางมาทำงานที่ วอลสตรีท  เขาเสนอตัวทำงานกับแกรแฮมฟรี ไม่ขอเงินเดือน  แต่แกรแฮม ปฏิเสธเขา จากนั้น เขาจึงซื้อสถานีแก๊สซินแคร์ เป็นการลงทุนส่วนหนึ่งแต่ก็ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันไม่ท้าทายเหมือนกับสิ่งที่เขาตั้งความหวังไว้ เขาได้หันมาทำงานเป็นนายหน้าค้าหุ้น  และระหว่างช่วงนั้น บัฟเฟ็ตต์ได้เรียนการพูดในที่สาธารณะกับ เดล คาร์เนจี่ Dale Carnegie  การนำสิ่งที่เขาเรียนรู้มา ทำให้เรารู้สึกมั่นใจว่าเขาจะสามารถสอนนักศึกษารอบกลางคืนได้ในมหาวิทยาลัยเนบราสก้า ในหัวข้อวิชา "ข้อปฏิบัติในการลงทุน" โดยนักศึกษาเหล่านั้น อายุเฉลี่ยมากกว่าเขาสองเท่า
 
 
1952 (วัย 22 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้แต่งงานกับ ซูซาน ธอมพ์สัน
 
1954 (วัย 24 ปี)
 
- เบนจามิน แกรแฮม เสนองานให้ บัฟเฟ็ตต์ เป็นหุ้นส่วนของเขา โดยเริ่มรับเงินเดือน 12,000 ดอลล่าร์ต่อปี และที่นี่ เขาก็ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ วอลเตอร์ สคล็อสส์ Walter Schloss
 
- ซูซาน คลอดลูกคนแรก ตั้งชื่อว่า Howard Graham Buffett  โฮวาร์ด แกรแฮม บัฟเฟ็ตต์
 
1956 (วัย 25 ปี)
 
- เบนจามิน แกรแฮม เกษียณ
 
- บัฟเฟ็ตต์ มีเงินออมอยู่มากกว่า 140,000 ดอลล่าร์
 
- บัฟเฟ็ตต์ เดินทางกลับคืนบ้านที่โอมาฮ่า และก่อสร้างบริษัท Buffett Associated.Ltd
 
1957 (วัย 27 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์มีหุ้นส่วน 3 บริษัท
 
- บัฟเฟ็ตต์ได้ซื้อบ้านสตัคโค้ 5 ห้องนอน ที่ฟามัมสตรีท ราคา 31,500 ปอนด์
 
- ซูซานคลอดลูกคนที่สาม
 
 
1958 (วัย 28 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ได้หุ้นส่วนเพิ่มเป็น 5 บริษัท
 
 
1959 (วัย 29 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ได้หุ้นส่วนเพิ่มเป็น 6 บริษัท
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้รับคำเชื้อเชิญจาก Charles Thomas Munger รองประธานบริษัทเบิร์คไชร์ ฮาธอะเวย์
 
1960 (วัย 30 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์มีหุ้นส่วนเพิ่มเป็น 7 บริษัท
 
- หุ้นส่วนทั้งหมด คือ บัฟเฟ็ตต์แอสโซซิเอส, บัฟเฟ็ตต์ฟันด์, แดคี, เอ็มดี, เกลน็อฟฟ์, โม-บัฟฟ์ และ อันดอร์วู๊ด
 
- บัฟเฟ็ตต์ ขอร้องให้หุ้นส่วนบริษัททั้ง 7 แห่ง หาแพทย์มาคนหนึ่ง เพื่อหาแพทย์อีก 10 คน โดยให้เงินลงทุนต่อรายเป็นเงิน 10,000 ดอลล่าร์ เพื่อร่วมงานกับเขา และก็ได้แพทย์มาช่วยงาน 11 คน
 
1961 (วัย 31 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้เปิดเผยว่า บริษัทซานบอร์นแมพ Sanborn Map Company โอนบัญชีมา 35% จากทรัพย์สินที่มีทั้งหมดของบริษัท
 
- บัฟเฟ็ตต์ อธิบายว่า ในปี 1958 ซานบอร์น ได้ขายหุ้นราคา 45 ดอลล่าร์ให้ ขณะที่ตราสารหุ้นในช่วงนั้นราคา 65 ดอลล่าร์ต่อหุ้น  เท่ากับว่าผู้ซื้อได้ส่วนต่างอย่างน้อยที่สุด 20 ดอลล่าร์ต่อหุ้น
 
- บัฟเฟ็ตต์ได้เปิดเผยว่าเขาได้รับความสนใจจากคณะกรรมการบริษัทซานบอร์น
 
 
 
1962 (วัย 32 ปี)
 
- หุ้นส่วนของบัฟเฟ็ตต์ ในเดือนมกราคม 1962 มียอดรวมทั้งสิ้น 7,178,500 ดอลล่าร์ ซึ่งมากกว่า 1,025,000 ดอลล่าร์ เป็นของบัฟเฟ็ตต์
 
- บัฟเฟ็ตต์จัดการหุ้นส่วนทั้งหมด รวมเป็นหุ้นส่วนเดียว
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้ค้นพบแหล่งทุนโรงงานทอผ้า เบิร์คไชร์ฮาธอเวย์ และเขาได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทดังกล่าวโดยการซื้อหุ้นราคา 7.60 ดอลล่าร์ต่อหุ้น
 
 
 
1965 (วัย 35 ปี)
 
- เมื่อได้เป็นหุ้นส่วนบริษัทเบิร์คไชร์ฯ แล้ว เขาก็รุกคืบหน้าด้วยการซื้อหุ้นส่วนบริษัทในราคา 14.86 ดอลล่าร์ต่อหุ้น ขณะนั้นบริษัทต้องระดมเงินทุนในด้านการดำเนินการ (สินทรัพย์หมุนเวียนลบหนี้สิน) อยู่ในราว 19 ดอลล่าร์ต่อหุ้น ยังไม่รวมถึงทรัพย์สินบางอย่าง อาทิ โรงงาน และเครื่องมือ
 
- บัฟเฟ็ตต์เขากำกับดูแลบริษัทเบิร์คเชร์ฮาธอะเวย์ และตั้งประธานคณะกรรมการคนใหม่เป็น เคน เซค Ken Chace เพื่อดำเนินการบริษัททั้งหมด
 
 
 
1966 (วัย 36 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ปิดรับหุ้นส่วนธุรกิจ
 
- บัฟเฟ็ตต์เขียนจดหมายว่า "แม้ว่าจะปรากฏว่าสถานภาพต่างๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก็ตาม (ภายใต้เงื่อนไขบางอย่างในการเพิ่มทุนจะเป็นการปรับตามเหตุผลสมควร) หรือไม่ว่าหุ้นส่วนรายใหม่จะสามารถนำทรัพย์สินมาเข้าร่วมหรือง่ายๆ เอาเงินมาลงทุนก็ตาม ผมตั้งใจแล้วว่า จะไม่เพิ่มหุ้นส่วนอีกแล้ว
 
- ในจดหมายฉบับที่สอง บัฟเฟ็ตต์ประกาศว่าการลงทุนครั้งแรกของเขา จะอยู่ในธุรกิจเอกชน คือ ฮ็อคส์ชิลด์, คอห์น และโค ห้างสรรพสินค้าบัลติมอร์
 
 
 
1967 (วัย 37 ปี)
 
- เบิร์คไชร์ เป็นครั้งแรกที่จ่ายเงินปันผลให้กับหุ้นส่วน 10 เซ็นต์
 
 
 
1969 (วัย 39 ปี)
 
- ด้วยปีแห่งความสำเร็จของเขา บัฟเฟ็ตต์ได้ชำระหนี้สินให้กับหุ้นส่วนและโอนทรัพย์สินมาเป็นหุ้นส่วนของเขา ในท่ามกลางทรัพย์สินเหล่านั้นถูกจ่ายออกมาเป็นรูปหุ้นของบริษัท เบิร์คไชร์อะเวย์ ด้วย
 
1970 (วัย 40 ปี)
 
- เขาได้กลายมาเป็นประธานบริษัทเบิร์คไชร์ฮาธอะเวย์ และเริ่มงานเขียนของเขาจนโด่งดัง ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ถือหุ้น
 
1973 (วัย 43 ปี)
 
- เบิร์คไชร์ได้เริ่มอยากได้ครอบครองหุ้นของบริษัทวอชิงตันโพสต์ Washington Post Company ทำให้บุฟเฟ็ตต้องกลายมาสนิทกับ คาธารีน แกรแฮม Katharine Graham ที่ดุแลบริษัทดังกล่าว และถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ชี้นำทิศทางของหนังสือพิมพ์ และเขาก็ได้กลายมาเป็นคณะกรรมการผู้อำนวยการของบริษัทโดยปริยาย
 
1979 (วัย 49 ปี)
 
- เบิร์คไชร์ เริ่มเข้าซื้อหุ้นของ ABC ด้วยราคาหุ้นในขณะนั้นตกราว 290 ดอลล่าร์ต่อหุ้น ทำให้มูลค่าแท้จริงที่บัฟเฟ็ตต์ลงไปนั้นอยู่ใกล้เคียง 140 ล้านดอลล่าร์ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับเงินเดือนแค่เพียง 50,000 ดอลล่าร์ต่อปี
 
- เบิร์คไชร์เริ่มขายหุ้นออกบ้าง ด้วยราคา 775 ดอลล่าร์ต่อหุ้น และจบลงด้วยราคา 1,310 ดอลล่าร์ต่อหุ้น  ความมั่งคั่งของบัฟเฟ็ตต์ทำให้เขามีเงินถึง 620 ล้านดอลล่าร์ เป็นครั้งแรกที่เขาถูก Forbes จัดอันดับเป็น 1 ใน 400 คน
 
1988 (วัย 58 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ เริ่มซื้อหุ้นบริษัทโคคาโคล่า และได้เพิ่มหุ้นส่วนขึ้นมาเป็น 7 % ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ด้วยมูลค่า 1.02 พันล้านดอลล่าร์ มันจะกลายเป็น 1 ในนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในเบิร์คไชร์ และยังมีหุ้นอยู่กับมือ
 
1999 (วัย 69 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้จัดการด้านเงินที่ยิ่งใหญ่ระดับหัวแถวแห่งศตวรรษที่ 20 จากการสำรวจของ Carson Group ซึ่งนำโดย ปีเตอร์ ลีนช์ และ จอห์น เท็มเพลตัน
 
2002 (วัย 72 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ ครอบครองเงินตราสหรัฐจำนวน 11 พันล้านดอลล่าร์ ที่พอสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นสกุลอื่น โดยในเดือนเมษายน 2006 รายได้จากการดำเนินการแลกเปลี่ยนเงินตราที่เขามีครอบครองอยู่ มีมากกว่า 2 พันล้านดอลล่าร์
 
2004 (วัย 73 ปี)
 
- ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง
 
2006 (วัย 75 ปี)
 
- บัฟเฟ็ตต์ประกาศในเดือนมิถุนายนว่า เขาจะบริจาคหุ้นส่วนที่เขามีอยู่ 85% ให้กับองค์กรการกุศล 5 แห่ง โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2006 เงินช่วยหลือล็อตที่ใหญ่ที่สุด จะมอบให้กับกองทุนบิลและเมลินดาเกท Bill and Melinda Gates Foundation
 
2007 (วัย 76 ปี)
 
- ในจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนถึงผู้ถือหุ้น บัฟเฟ็ตต์ได้ประกาศว่า เขากำลังมองหาผู้บริหารที่มีอายุน้อยกว่า มาสืบทอดตำแหน่งจากเขาเผื่อว่า คนผู้นั้นจะสามารถดำเนินธุรกิจของเขาได้ บัฟเฟ็ตต์เคยเลือก ลู ซิมพ์สัน ซึ่งดูแลธุรกิจที่ Geico แต่ ซิมพ์สัน อ่อนกว่าเขาเพียง 6 ปีเท่านั้น
 
2008 (วัย 77 ปี)
 
- เขาได้ถูกบันทึกจาก Forbes ว่า เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
 
ชีวิตส่วนตัวของบัฟเฟ็ตต์
 
บัฟเฟ็ตต์ แต่งงานกับซูซาน ธอมพ์สัน ในปี 1952 มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ ซูซี่ โฮวาร์ด และ ปีเตอร์ ทั้งคู่ได้แยกกันอยู่ในปี 1977 แต่ก็ยังคงสภาพการแต่งงานไว้จนภรรยาของเขาเสียชีวิต เมื่อมิถุนายน 2004 ลูกสาวของเขา ซูซี่ อาศัยอยู่ในโอมาฮ่า และทำงานด้านการกุศลผ่านกองทุนซูซาน เอ.บัฟเฟ็ตต์ และเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการของ Girls.Inc ซึ่งเป็นองค์การที่ไม่แสวงหากำไร ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา และช่วยว่าความให้กับสตรีอเมริกัน
 
ในวันเกิดของบัฟเฟ็ตต์ครบรอบ 76 ปี เขาก็ตัดสินใจอีกครั้งแต่งงานกับคนสนิทที่ชื่อว่า แอสตริด เมนค์ส ซึ่งใช้ชีวิตร่วมกับเขามานับตั้งแต่ที่ภรรยาคนเก่าของเขาแยกทางไป สิ่งที่น่าสนใจคือ ซูซาน เป็นผู้จัดการให้ทั้งสองได้พบกันก่อนที่เธอจะจากเมืองโอมาฮ่าไปเพื่อล่าฝันในการเป็นนักร้องอาชีพ  ทั้งสามคนใกล้ชิดกันมาก และการ์ดอวยพรในเทศกาลต่างๆ ที่พวกเขาจัดทำขึ้น จะลงชื่อ "วาร์เรน ซูซาน และแอสตริด" เสมอ
 
บัฟเฟ็ตต์ โปรดการเล่นไพ่มาก เขาเคยพูดว่า เขาใช้เวลาไป 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อเล่นไพ่ และเขามักจะเล่นกับ บิลล์ เกรด และ พอล อัลเล่น
 
ในปี 2006 บุฟเฟ็ตให้การสนับสนุนการแข่งขันไพ่ ในศึกบัฟเฟ็ตต์คัพ  ในการแข่งขันดังกล่า ได้จำลองมาจากกีฬากอล์ฟ ไรเดอร์คัพ (ถูกจัดขึ้นก่อน และที่เมืองเดียวกัน) เป็นทีมที่มาจากอเมริกา 12 คน และยุโรป 12 คนเช่นกัน
 
ในปี 2006 บัฟเฟ็ตต์ ได้ประมูลขายรถของเขา ยี่ห้อ ลินคอล์นทาวน์ รุ่น 2001 เพื่อนำเงินที่ประมูลขายได้ไปมอบให้กับองค์การช่วยเหลือสตรี Girls Inc.
 
วาเรน บัฟเฟ็ตต์ ได้ร่วมงานกับ คริสโตเฟอร์ เว็บเบอร์ ในการทำหนังอนิเมชั่นกับ ดิคเอนเตอร์เทนเม้นท์ DiC Entertainment ซึ่งมี แอนดี้ เฮย์เวิร์ด เป็นหัวหน้าทีม โดยรายละเอียดนั้น แสดงโดย บุฟเฟ็ต กำลังประชุมสามัญประจำปีของบริษัทเบิร์คไชร์ฮาธอะเวย์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2006  ภาพยนตร์ดังกล่าวนี้มี บัฟเฟ็ตต์ และมันเกอร์ แสดงนำ ซึ่งจะสอนเด็กๆ เกี่ยวกับงานอดิเรกเกี่ยวกับเรื่องการเงิน  การ์ตูนนี้แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์การเตรียมตัวก่อนการประชุมของ บุฟเฟ็ต และมันเกอร์ กำกับภาพเคลื่อนไหวโดย เฮย์วาร์ด
 
ในเดือนธันวาคม 2006 มีรายงานข่าวว่า บัฟเฟ็ตต์ ไม่รับโทรศัพท์ ไม่มีคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน และขับรถออกไป
 
รายงานผลการตรวจ DNA ของบัฟเฟ็ตต์ เปิดเผยความจริงว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับ นักร้อง จิมมี่ บัฟเฟ็ตต์ และบรรพบุรุษทางฝ่ายบิดาของเขาก็ไม่ได้มาจากทางตอนเหนือของสแกนดิเนเวีย ขณะที่ญาติทางฝั่งมารดาของเขาก็ไม่มีเชื้ออิบราเลีย หรือเอสโทเนีย
 
ชีวิตนักบุญ
 
ในเดือนมิถุนายน 2006 วาร์เร่น บัฟเฟ็ตต์ มอบเงินจำนวนเกือบ 10 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งมาจากหุ้นระดับ  B ของบริษัทเบิร์คไชร์ฮาธอะเวย์ ให้กับกองทุนบิลล์แอนด์เมลินดา (ยอดรวมบริจาคราว 30.7 พันล้านบาท ในวันที่ 23 มิถุนายน 2006) เป็นการบริจาคการกุศลจำนวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ กองทุนนี้จะได้รับเงินบริจาค 5% ทุกๆ เดือนมิถุนายน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2006  และบัฟเฟ็ตต์ยังมีความสนใจที่จะเป็นคณะกรรมการผู้อำนวยการกองทุนเกท ซึ่งเขาไม่เคยวางแผนเลยว่าจะมาทำงานด้านนี้
 
การบริจาคให้กับกองทุนบิลแอนด์เมลินดาเกทประมาณ 1.5 พันล้านต่อปี จะกลายเป็นการค้นหาบุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ที่จะกำจัดโรคร้ายของโลก และช่วยพัฒนาการศึกษาของชาวอเมริกัน
 
"ไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่สามารถปราบโรคร้ายที่มีอยู่ประมาณ 20 โรคที่เป็นระดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตคน" เกทได้กล่าวขณะที่เขาออกปรากฏตัวอยู่กับบัฟเฟ็ตต์ ระหว่างพิธีมอบเงินบริจาค ที่ห้องสมุดสาธารณะ กรุงนิวยอร์ค   ครอบครัวของบัฟเฟ็ตต์และเกทส์กำลังถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า พวกเขาจะเป็นเหมือนแสงสว่างที่แรงกล้า หรือว่า ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งโอมาฮ่าที่นำพาความเมตตาปรานีให้บังเกิดขึ้นจริงบนพื้นแผ่นดินมนุษย์โลก
 
"มีหนทางมากมายที่จะไปสู่สรวงสวรรค์ แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทางหนึ่ง" บัฟเฟ็ตต์ได้พูดขณะวันมอบของขวัญที่ใหญ่ที่สุดแก่ เกทส์  และการบริจาค 1 พันล้านดอลล่าร์แก่กองทุนนี้ ก็จะสะท้อนกลับมายังลูกของเขา 3 คน "มันง่ายที่จะเซ็น ผมจะเซ็นแค่คำว่า "พ่อ"" เขายังพูดติดตลกขณะที่ส่งเอกสารการบริจาค จดหมายการโอนหุ้น ถึงลูกสาวของเขา ซูซี่ บัฟเฟ็ตต์
 
กองทุนดังกล่าว ซึ่งมีกองมรดกรวม 30.6 พันล้านดอลล่าร์ จะนำไปใช้จ่ายในเรื่องการสร้างสุขภาพของชาวโลก ความยากจน และการเข้าถึงเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศต่างๆ ส่วนในสหรัฐอเมริกา จะเน้นที่การศึกษาและเทคโนโลยีสำหรับห้องสมุดสาธารณะ


#2 ต้นหอม

ต้นหอม

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,472 posts

Posted 2 April 2013 - 15:32

ไอดอลในชีวิตเลยนะนั่น  :D

 

ปู่ไม่เคยสงสัยว่าจะทำอะไรในชีวิตเลย มุ่งมั่นทำมันมาตลอดตั้งแต่ 14 ประเทศมีปัญหาปู่เป็นเสียงแรกๆที่ให้เพิ่มภาษีคนรวย ปู่บริจาคเป็นว่าเล่น ปู่ไม่เคยสอนลูกให้ฟุ้งเฟ้อ ตัวปู่เองก็ไม่เคยฟุ้งเฟ้อ ปู่เป็นเศรษฐีที่ควรจะเป็นเศรษฐีมาก เหมือนเศรษฐีหลายๆคนในเมืองไทย...แต่ไม่ใช่ทักษิณ


มันจะทำให้เราคิดก่อนพูดได้ดีขึ้น เมื่อเชื่อว่าคำพูดที่ออกไปเหล่านั้นคือคำที่เราจะได้ยินเองในอนาคต

และถ้าเราจะทำดีได้มากขึ้น เมื่อเชื่อว่าเราจะได้เจอสิ่งดีๆในอนาคต

แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่เห็นว่ามันดีอย่างไรแต่อย่างน้อยทำให้เราผ่านวันนี้ไปได้อย่างราบรื่น


#3 raksthaban

raksthaban

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 640 posts

Posted 2 April 2013 - 15:46

ไอดอลในชีวิตเลยนะนั่น  :D

 

ปู่ไม่เคยสงสัยว่าจะทำอะไรในชีวิตเลย มุ่งมั่นทำมันมาตลอดตั้งแต่ 14 ประเทศมีปัญหาปู่เป็นเสียงแรกๆที่ให้เพิ่มภาษีคนรวย ปู่บริจาคเป็นว่าเล่น ปู่ไม่เคยสอนลูกให้ฟุ้งเฟ้อ ตัวปู่เองก็ไม่เคยฟุ้งเฟ้อ ปู่เป็นเศรษฐีที่ควรจะเป็นเศรษฐีมาก เหมือนเศรษฐีหลายๆคนในเมืองไทย...แต่ไม่ใช่ทักษิณ

 ไม่เสียแรง ที่แปล (ผมแปลมานานแล้วละ) ผมชอบเศรษฐีคนนี้ ผมไม่ค่อยชอบบิลล์ เกรดนะ เพราะบิลล์ เกรดเอาแต่อรรถประโยชน์ คลายออกมายาก


Edited by raksthaban, 2 April 2013 - 15:48.


#4 RaRa

RaRa

    Seien Sie loyal zu Majesty

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,976 posts

Posted 2 April 2013 - 16:46

ถามว่าใครดีกว่ากัน....เป็นคำที่ไม่เหมาะนะครับ..... -_- -_-

 

 

มีใคร "เลวกว่าไอ้นช. โกงชาติ" ด้วยเหรอครับ....!!!


ขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด

...แม้แต่ลมหายใจก็ยอมพลี

โลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดี

...ศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี คนดีไม่มีวันตาย


#5 raksthaban

raksthaban

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 640 posts

Posted 2 April 2013 - 16:55

ถามว่าใครดีกว่ากัน....เป็นคำที่ไม่เหมาะนะครับ..... -_- -_-

 

 

มีใคร "เลวกว่าไอ้นช. โกงชาติ" ด้วยเหรอครับ....!!!

กำ  ขออภัย ใช้คำไม่ถูก เดี่ยวแก้ใหม่  แต่ทว่า ดัน ไปแก้หัวข้อบนไม่ได้อีก เห้อ

ความหมายโดยรวมของผมก็คือ  เศรษฐีอเมริกันคนนี้ กลับมาบริจาคคืนให้กับสังคม ที่เขาได้ประโยชน์มา ในขณะที่เศรษฐีบ้านเรา หวังแต่รายได้ ลืมคิดถึงด้านคุณธรรม ที่มนุษย์ควรให้กัน  มีแต่กอบโกย พอฐานตัวเองสะดุดไปในปี 2549 ก็มาเอาคืนกับสังคมที่ไม่มีกลุ่มของตนอยู่


Edited by raksthaban, 2 April 2013 - 17:08.


#6 Maruay

Maruay

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 286 posts

Posted 2 April 2013 - 17:02

ผมว่า เอาหิ่งห้อย ไปเทียบกับพระอาทิตย์คงไม่ได้หรอกนะครับ


"To every man upon this earth, Death cometh soon or lateAnd how can man die better Than facing fearful odds."มนุษย์ทุกคนบนโลก ล้วนต้องพบกับความตายไม่ว่าช้าหรือเร็วจะมีอะไรดีไปกว่าการตายที่ห้าวหาญ

#7 notcomeng

notcomeng

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,963 posts

Posted 2 April 2013 - 17:06

ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่สนใจเค้าเท่าไหร่นะ รู้แค่ว่าเป็นมหาเศรษฐี แต่พอมีข่าวที่ว่า เค้่ายอมรับว่าเค้าเสียภาษีน้อยกว่าเลขาฯของเค้า และหลายๆเรื่องที่เค้าพยายามจะทำให้ประเทศเค้า ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าสนใจขึ้นเยอะเลยในเรื่องของการทำเพื่อประชาชนทั่วไปจริงๆ  :wub:

 

 บัฟเฟตต์ ระบุว่า เขาถูกเรียกเก็บภาษีที่ 17.7% จากเงิน 46 ล้านดอลลาร์ที่เขาทำได้ในปีที่แล้ว โดยไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีสูงกว่า ขณะที่ เลขาฯ ของเขา ซึ่งมีรายได้เพียง 60,000 ดอลลาร์ กลับต้องจ่ายภาษีถึง 30% โดยชี้ว่า นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ยิ่งตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งทำร้ายเศรษฐกิจของประเทศด้วยการปิดกั้นโอกาส และแรงกระตุ้น

 



#8 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

Posted 2 April 2013 - 17:08

คนนึงประสบความสำเร็จในประเทศที่ยึดถือกฏหมายเคร่งครัด

อีกตัว ประสบความสำเร็จในประเทศที่คนต่างชาติสั่งการมาจากดูไบให้แก้รัฐธรรมนูญ



#9 Charlie

Charlie

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,449 posts

Posted 2 April 2013 - 17:11

ต่างกันเยอะครับสองคนนี้ อีกคนหนึงรุ็จักให้แบ่งเงินบริจาคให้การกุศล ทำตัวสมถะ

อีกตัวรู้จักแต่ขอ ไม่ได้ก็จะโกงเอาจนได้ ชอบซุกเงินให้คนนั้นคนนี้ ทำตัวหรูหรา


Edited by Charlie, 2 April 2013 - 17:12.

คนดีจริงไม่โกงที่วัด ไม่ยุแยงให้คนแตกแยก ไม่หลอกคนอื่นให้มารับเคราะห์ตายแทน


#10 butadad

butadad

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,119 posts

Posted 2 April 2013 - 17:18

นี่จะดึง บัฟเฟ็ตต์ มาลงนรกเหรอครับ  บัฟเฟ็ตต์  เคยรวยที่สุดในโลก  แต่ไม่เคยเลวระดับ top five ของโลกนะครับ อย่ามาเปรียบกันคนละระดับ

พี่ทักกี้ที่สุดแล้ว



#11 เสรีไทไชโย

เสรีไทไชโย

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,061 posts

Posted 2 April 2013 - 17:20

บัฟเฟ็ตต์ เขาเป็นสุดยอดคนคนหนึ่งบนโลก อย่าบังอาจเอาคนไทยคนไหนไปเปรียบเทียบกับเขาเลยครับ
เพื่อประชาชน รักประเทศชาติ ส่งเสริมพระศาสนา เทิดทูนพระมหากษัตริย์

เราคือ เสรีไทย

#12 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

Posted 2 April 2013 - 17:36

บัฟเฟ็ตต์ เขาเป็นสุดยอดคนคนหนึ่งบนโลก อย่าบังอาจเอาคนไทยคนไหนไปเปรียบเทียบกับเขาเลยครับ

 

^_^ แล้วถ้าเทียบกับบิล เกตส์ล่ะ พอไหวเปล่า


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#13 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

Posted 2 April 2013 - 17:36

บัฟเฟ็ตต์ เขาเป็นสุดยอดคนคนหนึ่งบนโลก อย่าบังอาจเอาคนไทยคนไหนไปเปรียบเทียบกับเขาเลยครับ

นับถือฝรั่งเป็นพ่อ

 

 

กฤษณา ไกรสินธุ์

 

 

ยิ่งใหญ่เหนือกว่าคนรวยนี้ ล้านเท่า

 

 

 


Edited by amplepoor, 2 April 2013 - 17:38.


#14 idecon

idecon

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,580 posts

Posted 2 April 2013 - 18:13

เอาอัจฉริยทางการลงทุน มาเทียบกับทรราชย์เผาเมืองปล้นแผ่นดินเกิดตัวเองได้อย่างไร

#15 conservative

conservative

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 762 posts

Posted 2 April 2013 - 19:50


บัฟเฟ็ตต์ เขาเป็นสุดยอดคนคนหนึ่งบนโลก อย่าบังอาจเอาคนไทยคนไหนไปเปรียบเทียบกับเขาเลยครับ

นับถือฝรั่งเป็นพ่อ
 
 
กฤษณา ไกรสินธุ์
 
 
ยิ่งใหญ่เหนือกว่าคนรวยนี้ ล้านเท่า
 
 
 


ขอบคุณครับ ป๋า

#16 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

Posted 2 April 2013 - 20:03

กฤษณา ไกรสินธุ์

 

Honors/Awards Received

2009 “Ramon Magsaysay Award for Public Service,” Ramon Magsaysay Award Foundation, Philippines.

2009 “Honorary Pharmacist,” Hospital Pharmacists’ Society of Thailand.

2009 “Citizen Hero Award,” Sanya Thammasak Institute for Democracy, Thammasat University, Thailand.

2008 “An outstanding individual of Thailand in the field of Social Development,” The Prime Minister’s Office, Thailand.

2008 “Asian of the Year 2008” Reader’s Digest Magazine.

2007 “Speaker for the Chancellor’s Distinguished Lectureship Series” (Louisiana State University’s premier lecture series), Louisiana State University, U.S.A.

2005 “Reminders Day AIDS Award” (ReD Awards), Berlin, Germany.

2004 “Global Scientific Award,” The Letten Foundation, for outstanding scientific contribution in the field of HIV/AIDS, Norway.

2001 Gold Medal, Eureka 50th World Exhibition of Innovation, Research and New Technology, Brussels, Belgium.

 

 
 


Edited by amplepoor, 2 April 2013 - 20:04.


#17 หมาน้อย

หมาน้อย

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 215 posts

Posted 2 April 2013 - 20:05

อภิสิทธิ ก็รวยนะ มี 50 ล้าน ไม่บริจาคสักหน่อยละ



#18 Kyubey

Kyubey

    รับสมัครสาวน้อยเวทมนตร์หลายอัตรา

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,482 posts

Posted 2 April 2013 - 20:12

ถ้าผมนึกถึง Buffett ผมจะนึกถึง Bill Gates ตอนนี้เขาทำงานในมูลนิธิอย่างเดียวแล้วครับ

/人◕ ‿‿ ◕人\


╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Hello, I'm a Kyubey /人◕ ‿‿ ◕人\

╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Please Make a contract with me and become a Magical girl! /人◕ ‿‿ <人\

ข้าพเจ้าขอสนับสนุนท่านผู้นำที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ!!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!!


#19 notcomeng

notcomeng

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,963 posts

Posted 2 April 2013 - 20:13

อภิสิทธิ ก็รวยนะ มี 50 ล้าน ไม่บริจาคสักหน่อยละ

ไปให้โกตี๋บริจาคไป  :lol:  :lol:  :lol:






0 user(s) are reading this topic

0 members, 0 guests, 0 anonymous users