Jump to content


Photo
- - - - -

300 ทำไม 420 ต่อวันไปเลย


  • Please log in to reply
127 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 sigree

sigree

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,883 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 22:42

คสรท.ชี้ของแพงดันค่าจ้างแท้จริง421บ./วัน

 

ประธาน คสรท. เผย เอกชนกว่า 200 แห่ง ใช้เทคนิคไม่ขึ้นค่าจ้าง 300 บาท ด้าน ลูกจ้าง โอด ของแพง ชี้ ค่าแรงเหมาะสม 421 บาท

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย หรือ คสรท. เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลจะประกาศ ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน

แต่ ขณะนี้ก็ยังพบว่ามีเอกชนกว่า 200 แห่ง ยังไม่ดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างให้กับผู้ใช้แรงงาน โดยบางแห่งมีการใช้เทคนิคหลบเลี่ยงที่จะไม่จ่าย จึงอยากเรียกร้องให้เอกชนปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้

ทั้ง นี้ มองว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ค่าจ้าง 300 บาท ที่ผู้ใช้แรงงานได้รับนั้นมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในปัจจุบัน โดยผลการศึกษาล่าสุด ชี้ชัดว่า ค่าจ้างที่เหมาะสมคือ 421 บาทต่อวัน ซึ่งจากเดิม 348 บาทต่อวัน

 

จาก INN



#2 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 22:56

จำได้ว่าผลศึกษา หรือความต้องการของลูกจ้าง จำไม่ได้แล้ว อยู่ราวๆ 540 กว่าบาทต่อวัน :D

ทำไมคราวนี้อยากได้น้อยลง


Edited by phoosana, 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 22:56.

We love fender.

#3 สิงห์สนามซ้อม

สิงห์สนามซ้อม

    คนดีไม่กลัวการตรวจสอบ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,757 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:10

child-zimbabwe-dollars_5.jpg

 

เอาไปเลยวันละ 5000,000,000 บาท  :lol:  :lol:  :lol:


" ประกาศบอยคอต ช่อง 3 ไม่ว่าจะข่าว ละคร หรือการ์ตูนลูก  กรูไม่ดู !!! "


#4 sigree

sigree

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,883 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:19

เท่าที่อ่าน คนเสนอไม่เคยคิดเลยว่า ของแพงเพราะค่าแรงขึ้น  มองขาเดียวแบบแดงเลย

 

มองโดยไม่รู้ว่าถ้าขึ้นค่าแรง ของจะไปอีกเท่าไหร่



#5 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:23

นั่นหน่ะสิครับ ผมถึงบอกว่ามันควรจะจ่ายให้เขา 500/วันด้วยซ้ำ จึงจะพออยู่รอดได้

 

เล่นไปกดมันเอาไว้ตั้งหลายปี แล้วอยู่ๆ จะมาเปลี่ยนแล้วจะไม่ให้มันกระทบ เป็นไปไม่ได้หรอก คุณต้องกัดฟันยอมรับความจริง ต้องมีคนเจ็บบ้าง ไม่งั้นเศรษฐกิจไทยก็โตน้อยกว่าที่มันควรจะเป็นเพราะฐานข้างล่างมันโดนอัดเอาไว้ ไม่มีกำลังซื้อ มันพิกลพิการ



#6 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:28

เท่าที่อ่าน คนเสนอไม่เคยคิดเลยว่า ของแพงเพราะค่าแรงขึ้น  มองขาเดียวแบบแดงเลย

 

มองโดยไม่รู้ว่าถ้าขึ้นค่าแรง ของจะไปอีกเท่าไหร่

 

ไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการสมดุลเองครับ

 

คุณไม่สามารถขึ้นค่าแรงกับราคาสินค้าไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

 

มันมีจุดที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สมดุล

 

แต่ปัจจุบันมันเป็นกลไกที่เพี้ยนทั้งค่าแรงและราคาสินค้าทางการเกษตรทำให้คนไทยจนมากกว่าที่ควรทั้งๆ ที่ productivity ของประเทศก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย 

 

คุณต้องเลิกกด แล้วปล่อยให้มันสูงขึ้น เพื่อให้คนจนน้อยลง 

 

มันมี overshoot บ้างแน่นอน แต่สักพักมันก็จะกลับเข้าสมดุลของมันเอง



#7 วิท

วิท

    ขาแพง

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,333 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:30

นั่นหน่ะสิครับ ผมถึงบอกว่ามันควรจะจ่ายให้เขา 500/วันด้วยซ้ำ จึงจะพออยู่รอดได้
 
เล่นไปกดมันเอาไว้ตั้งหลายปี แล้วอยู่ๆ จะมาเปลี่ยนแล้วจะไม่ให้มันกระทบ เป็นไปไม่ได้หรอก คุณต้องกัดฟันยอมรับความจริง ต้องมีคนเจ็บบ้าง ไม่งั้นเศรษฐกิจไทยก็โตน้อยกว่าที่มันควรจะเป็นเพราะฐานข้างล่างมันโดนอัดเอาไว้ ไม่มีกำลังซื้อ มันพิกลพิการ



ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องค่าแรงมันง่ายอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีนักเศรษฐศาสตร์แล้ว. เอาตาสีตาสามาเป็นรัฐมนตรีแล้วกำหนดค่าแรงตามใจอยากเลย

#8 whiskypeak

whiskypeak

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,392 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:31

นั่นหน่ะสิครับ ผมถึงบอกว่ามันควรจะจ่ายให้เขา 500/วันด้วยซ้ำ จึงจะพออยู่รอดได้

 

เล่นไปกดมันเอาไว้ตั้งหลายปี แล้วอยู่ๆ จะมาเปลี่ยนแล้วจะไม่ให้มันกระทบ เป็นไปไม่ได้หรอก คุณต้องกัดฟันยอมรับความจริง ต้องมีคนเจ็บบ้าง ไม่งั้นเศรษฐกิจไทยก็โตน้อยกว่าที่มันควรจะเป็นเพราะฐานข้างล่างมันโดนอัดเอาไว้ ไม่มีกำลังซื้อ มันพิกลพิการ

 

 

ไม่กดก็ดีนะครับ แต่ก็ไม่ควรกระโดด คุณก็บอกเอง ว่ามันกระทบ..เนอะ..


ถูกใจเสื้อแดง ของแพงไม่ว่า โดนโกงไม่ด่า ขอแค่ตระกูลชินนรกเป็น นายก พอ..

 


#9 ant

ant

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,081 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:46

ค่าแรงขึ้น...... ผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่ม  สินค้าอุปโภคบริโภคปรับราคาสูงขึ้นตาม ...ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้  ชาวบ้าน ประชาชนทั่วไป ข้าราชการ ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้า

 

คุ้มค่าหรือไม่กับการขึ้นค่าแรง


ตราบที่สูอยู่-กิน..แผ่นดินไทย ตราบโคตรเหง้าสูใช้แผ่นดินนี้ตราบศพสูฝังใต้..ไทยปฐพี สูไม่มีสิทธิ์ยํ่ายี.." พระเจ้าแผ่นดิน "

#10 sigree

sigree

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,883 posts

ตอบ 9 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:46

เท่าที่อ่าน คนเสนอไม่เคยคิดเลยว่า ของแพงเพราะค่าแรงขึ้น  มองขาเดียวแบบแดงเลย

 

มองโดยไม่รู้ว่าถ้าขึ้นค่าแรง ของจะไปอีกเท่าไหร่

 

ไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการสมดุลเองครับ

 

คุณไม่สามารถขึ้นค่าแรงกับราคาสินค้าไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

 

มันมีจุดที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สมดุล

 

แต่ปัจจุบันมันเป็นกลไกที่เพี้ยนทั้งค่าแรงและราคาสินค้าทางการเกษตรทำให้คนไทยจนมากกว่าที่ควรทั้งๆ ที่ productivity ของประเทศก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย 

 

คุณต้องเลิกกด แล้วปล่อยให้มันสูงขึ้น เพื่อให้คนจนน้อยลง 

 

มันมี overshoot บ้างแน่นอน แต่สักพักมันก็จะกลับเข้าสมดุลของมันเอง

เป็นเศรฐษศาสตร์แบบไร้ทิศทาง  คนทำแบบนี้แล้วคือ ซิมบับเวยื  ไปดูเขาสิ

 

การขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดด กำลังถุกเรียกร้องการก้าวกระโดดอีกครั้ง  นั้นคือภาครัฐได้สร้างความเคยชินในการขึ้นแบบก้าวกระโดด

 

ไม่เคยมียุคใดที่เริ่มขอขึ้นค่าแรงถึง 50 % ของค่าแรงเดิม  ปกติค่าแรงจะตามเงินเฟ้อ  ราวๆ 5 - 8 % แต่นี้เรากำลังคุยที่ 50 %

 

บ้าไปแล้ว

 

แต่เข้าใจได้เมื่อมองว่ารัฐบาลทำอะไรลงไป



#11 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 00:31

productivity มันพอหรือครับ

ถ้าสินค้าเหมือนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน

จะเอาอะไรไปสู้เขาครับ ถ้าค่าแรงสูงกว่า 2-3 เท่าแต่ผลิตภาพสูงกว่าเขานิดหน่อย
We love fender.

#12 เรื่อยๆเอื่อยๆ

เรื่อยๆเอื่อยๆ

    There is a face beneath this mask, but it isn't me.

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,223 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 05:11

เท่าที่อ่าน คนเสนอไม่เคยคิดเลยว่า ของแพงเพราะค่าแรงขึ้น  มองขาเดียวแบบแดงเลย

 

มองโดยไม่รู้ว่าถ้าขึ้นค่าแรง ของจะไปอีกเท่าไหร่

 

ไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการสมดุลเองครับ

 

คุณไม่สามารถขึ้นค่าแรงกับราคาสินค้าไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

 

มันมีจุดที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สมดุล

 

แต่ปัจจุบันมันเป็นกลไกที่เพี้ยนทั้งค่าแรงและราคาสินค้าทางการเกษตรทำให้คนไทยจนมากกว่าที่ควรทั้งๆ ที่ productivity ของประเทศก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย 

 

คุณต้องเลิกกด แล้วปล่อยให้มันสูงขึ้น เพื่อให้คนจนน้อยลง 

 

มันมี overshoot บ้างแน่นอน แต่สักพักมันก็จะกลับเข้าสมดุลของมันเอง

 

ไม่จริงเสมอไป บางระบบก็ไม่มีทางเข้าสู่จุดสมดุล เมื่อขึ้นค่าแรง ของแพงขึ้น ทำให้ต้องการค่าแรงเพิ่มมากขึ้น ระบบแบบนี้มันเป็น positive feedback  เป็นระบบที่ไม่เสถียร ถ้าไม่มีการควบคุม รับรองไม่มีวันลู่เข้าจุดสมดุล มีแต่จะเหวี่ยงให้ระบบพังไปก่อน



#13 Majestic

Majestic

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,509 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 08:55

พอค่าแรงขึ้นไประดับนั้น ค่าครองชีพมันก็จะขึ้นไปอีก เป็น ห้าหกร้อยบาทอีก

แต่คนที่ลำบากก็คือ คนที่ไม่มีรายได้ประจำ จะลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ

บริษัทเล็กปิดตัวลงเพราะสู้ค่าแรงไม่ไหน เหลือแต่บริษัทใหญ่

ที่ใช้เครื่องจักรทำงานแทนคน จะจ้างเฉพาะที่จำเป็นต่อระบบการทำงานเท่านั้นพอ



#14 ริวมะคุง

ริวมะคุง

    ห้ามให้อาหารสัตว์

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,577 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 08:57

ลดต้นทุนทางด้านพลังงานลงซะ ไฟฟ้า ประปา น้ำมัน มันจะโบนัสเยอะกันไปใหน


Posted Image

#15 RiDKuN_user

RiDKuN_user

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,167 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 09:00

 

เท่าที่อ่าน คนเสนอไม่เคยคิดเลยว่า ของแพงเพราะค่าแรงขึ้น  มองขาเดียวแบบแดงเลย

 

มองโดยไม่รู้ว่าถ้าขึ้นค่าแรง ของจะไปอีกเท่าไหร่

 

ไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการสมดุลเองครับ

 

คุณไม่สามารถขึ้นค่าแรงกับราคาสินค้าไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

 

มันมีจุดที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สมดุล

 

แต่ปัจจุบันมันเป็นกลไกที่เพี้ยนทั้งค่าแรงและราคาสินค้าทางการเกษตรทำให้คนไทยจนมากกว่าที่ควรทั้งๆ ที่ productivity ของประเทศก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย 

 

คุณต้องเลิกกด แล้วปล่อยให้มันสูงขึ้น เพื่อให้คนจนน้อยลง 

 

มันมี overshoot บ้างแน่นอน แต่สักพักมันก็จะกลับเข้าสมดุลของมันเอง

เป็นเศรฐษศาสตร์แบบไร้ทิศทาง  คนทำแบบนี้แล้วคือ ซิมบับเวยื  ไปดูเขาสิ

 

การขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดด กำลังถุกเรียกร้องการก้าวกระโดดอีกครั้ง  นั้นคือภาครัฐได้สร้างความเคยชินในการขึ้นแบบก้าวกระโดด

 

ไม่เคยมียุคใดที่เริ่มขอขึ้นค่าแรงถึง 50 % ของค่าแรงเดิม  ปกติค่าแรงจะตามเงินเฟ้อ  ราวๆ 5 - 8 % แต่นี้เรากำลังคุยที่ 50 %

 

บ้าไปแล้ว

 

แต่เข้าใจได้เมื่อมองว่ารัฐบาลทำอะไรลงไป

 

ที่ตลกร้ายคือ สุดท้ายคนที่จะตายห่านก่อน ก็คือพวกที่ขอขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดดนี่แหละ  -_-


" ชีวิตผมไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น ผมกลัวอย่างเดียว...กลัวจะถูกมองว่า 'ขายชาติ' " - The Last Tycoon

~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~

#16 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 09:04

 

 

เท่าที่อ่าน คนเสนอไม่เคยคิดเลยว่า ของแพงเพราะค่าแรงขึ้น  มองขาเดียวแบบแดงเลย

 

มองโดยไม่รู้ว่าถ้าขึ้นค่าแรง ของจะไปอีกเท่าไหร่

 

ไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการสมดุลเองครับ

 

คุณไม่สามารถขึ้นค่าแรงกับราคาสินค้าไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

 

มันมีจุดที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สมดุล

 

แต่ปัจจุบันมันเป็นกลไกที่เพี้ยนทั้งค่าแรงและราคาสินค้าทางการเกษตรทำให้คนไทยจนมากกว่าที่ควรทั้งๆ ที่ productivity ของประเทศก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย 

 

คุณต้องเลิกกด แล้วปล่อยให้มันสูงขึ้น เพื่อให้คนจนน้อยลง 

 

มันมี overshoot บ้างแน่นอน แต่สักพักมันก็จะกลับเข้าสมดุลของมันเอง

เป็นเศรฐษศาสตร์แบบไร้ทิศทาง  คนทำแบบนี้แล้วคือ ซิมบับเวยื  ไปดูเขาสิ

 

การขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดด กำลังถุกเรียกร้องการก้าวกระโดดอีกครั้ง  นั้นคือภาครัฐได้สร้างความเคยชินในการขึ้นแบบก้าวกระโดด

 

ไม่เคยมียุคใดที่เริ่มขอขึ้นค่าแรงถึง 50 % ของค่าแรงเดิม  ปกติค่าแรงจะตามเงินเฟ้อ  ราวๆ 5 - 8 % แต่นี้เรากำลังคุยที่ 50 %

 

บ้าไปแล้ว

 

แต่เข้าใจได้เมื่อมองว่ารัฐบาลทำอะไรลงไป

 

ที่ตลกร้ายคือ สุดท้ายคนที่จะตายห่านก่อน ก็คือพวกที่ขอขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดดนี่แหละ  -_-

แก้ง่ายๆ โดยไม่ขึ้นค่าแรง แต่เปลี่ยนเป็น เบี้ยเลี้ยงประจำจังหวัด ทำให้ไม่มีผลต่อ โอที ค่าโรงพยาบาล ค่อยขยับอีกที่เนอะ พวกชายกลาง ^_^



#17 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 09:55

productivity มันพอหรือครับ

ถ้าสินค้าเหมือนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน

จะเอาอะไรไปสู้เขาครับ ถ้าค่าแรงสูงกว่า 2-3 เท่าแต่ผลิตภาพสูงกว่าเขานิดหน่อย

 

 

Productivity มันวัดจาก 1) ความสามารถในผลิตของแรงงานว่าผลิตสินค้าเป็นจำนวนชิ้นได้มากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละวัน 2) ราคาสินค้าที่ผลิตสูงขึ้น
 
ในส่วนข้อ 1) หากคุณไม่นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย คุณไม่มีทางทำให้แรงงานหนึ่งคนทำงานเพิ่มได้มากเป็น 2 เท่าของที่เขาทำได้ในปัจจุบันหรอก แรงงานฝรั่งเศสไม่มีทางทำงานด้วยมือได้มากกว่าแรงงานไทยหลายเท่าตัวได้ นายจ้างต้องลงทุนเพื่อเพิ่ม productivity ตรงนั้น ไม่ใช่ไปเค้นเอาจากแรงงานซึ่งเป็นมนุษย์ให้ผลิตสินค้าออกมาด้วยมือให้เพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผ่านมามันมีการกดค่าจ้างให้ต่ำเพื่อให้นายจ้างสามารถจ้างแรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องลงทุนเครื่องจักรมาเพิ่มผลผลิต ซึ่งมันผิด!!! คุณไม่เห็นรึ?นายจ้างต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิต จัดการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานในระดับที่สูงขึ้นได้ แต่นายจ้างไม่ยอมทำเพราะที่ผ่านมาเราไปกดค่าจ้างเอาไว้เพื่อช่วยนายจ้างตลอดเวลา นายจ้างก็เลยนิสัยเสีย exploit แรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในเครื่องจักร แล้วบอกว่า productivity ของแรงงานไม่สามารถเพิ่มเป็น 2 เท่าได้
 
ส่วนในข้อ 2) การที่จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง คิดค้นสินค้าใหม่ๆที่แข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาเราเน้นการส่งออกโดยแข่งขันด้านราคาโดยใช้แรงงานราคาถูก สินค้าในบางอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงสูงมากหากต้นทุนด้านค่าแรงเปลี่ยนไป เหตุผลที่ธุรกิจไม่ยอมขยับก็เพราะยังมีข้อได้เปรียบจากค่าแรงที่โดนกดจนต่ำ การเพิ่มค่าแรง และการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้สูงเพิ่มขึ้นมากๆ (คนในเมืองต้องกินอาหารแพงขึ้น) จะทำให้เงินหมุนลงไปที่ฐานแล้วหมุนกลับขึ้นมาเป็นกำลังซื้อที่สามารถซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นได้ ธุรกิจก็สามารถผลิตสินค้าที่แพงขึ้นมาขายในประเทศได้แทนที่จะเน้นการส่งออกสินค้าราคาถูก การปรับรายได้ของพนักงานที่ไม่ใช่แรงงานก็จะตามมาเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทั้งระบบมันจะปรับสูงขึ้นทั้งรายได้และค่าครองชีพ แต่มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่เราสมมุติขึ้น ซึ่งเมื่อรายได้สูงขึ้น ฐานของปิระมิดก็จะสามารถซื้อสิ่งของที่ผลิตจากต่างประเทศที่เมื่อก่อนมันราคาแพงสำหรับเขาได้ สามารถนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางได้ ธุรกิจในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างที่บอก เดิมคุณมีรายได้ 1,000 บาท ข้าวแกงจานละ 20 บาท รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ข้าวแกงเป็นจานละ 200 มันไม่ได้ทำให้คุณจนลงหากเป็นการเพิ่มที่สัดส่วนที่สอดคล้องกัน แต่มันทำให้คุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งราคาเพิ่มขึ้นจากเที่ยวละ 1,000 เป็นเทียวละ 2,000 บาทได้ ซึ่งทำให้คุณมีกำลังซื้อในสินค้าที่คุณไม่สามารถซื้อได้ในอดีต ทำให้คุณ "จน" น้อยลง
 
การเพิ่ม productivity ไม่ใช่หมายถึงการบังคับให้คนทำงานด้วยมือให้ได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่หมายถึงการที่นายจ้างต้องลงทุนในการนำเครื่องมือ/เครื่องจักรที่ช่วยเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย และทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นโดยการสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ
 
แต่นายจ้างไม่ยอมทำ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงและไม่ต้องการลงทุนครั้งแรกมาก แต่เลือกที่จะกดค่าจ้างให้ต่ำต่อไป ข้ออ้างเรื่อง productivity ของคุณมันจึงบัดซบมาก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

Edited by Leeporter ขี้แพ้, 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 09:58.


#18 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:08

ก็บอกแล้วว่า เงื่อนไขคือผลิตสินค้าตัวเดียวกัน จ่ายค่าแรงมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านจะสู้เขาได้ยัง

 

การใช้เครื่องจักรมันก็แล้วแต่อุตสาหกรรมประเภทไหนด้วย บางอย่างใช้แรงงาน เครื่องทำไม่ได้

 

การใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนคนนั่นหมายความว่าต้องมีคนตกงาน


Edited by phoosana, 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:12.

We love fender.

#19 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:12

ก็บอกแล้วว่า เงื่อนไขคือผลิตสินค้าตัวเดียวกัน จ่ายค่าแรงมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านจะสู้เขาได้ยัง

 

การใช้เครื่องจักรมันก็แล้วแต่อุตสาหกรรมประเภทไหนด้วย บางอย่างใช้แรงงาน เครื่องทำไม่ได้

 

การใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนคนนั่นหมายความว่าต้องมีคนตกงาน

 

 

นั่นคือข้ออ้างของนายจ้างที่ใช้ในการกดค่าแรงไง

คุณกลับไปอ่านที่ผมเขียนมาอีกทีเหอะ



#20 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:14

อ่านยังไงความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้าง

นายจ้างต้องทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่สถานสงเคราะห์

ขาดทุนก็ปิดกิจการ นี่คือความจริง


We love fender.

#21 3x3eyes

3x3eyes

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 338 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:17

ไม่งั้นของเกือบทั้งโลกคงไม่ Made In China


“The hottest places in hell are reserved for those who in times of great moral crisis maintain their neutrality”

 

"ผู้ใดรักษาความเป็นกลางในท่ามกลางวิกฤตศีลธรรม ผู้นั้นย่อมตกนรกอเวจี"

-Dante Alighieri-


#22 พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,450 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:37

อ่านยังไงความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้าง

นายจ้างต้องทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่สถานสงเคราะห์

ขาดทุนก็ปิดกิจการ นี่คือความจริง

 

ไม่ต้องถึงกับขาดทุนหรอกครับ ... เอาแค่กำไรไม่คุ้มค่าเหนื่อย ค่าลงทุน ก็ปิดกันแล้ว 


Edited by DumpDump, 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:38.

อยากรู้ว่าประชาธิปไตยไทยเป็นแบบไหน ให้ดูการใช้รถใช้ถนนรู้จักกันแต่สิทธิ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้

#23 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:43

อ่านยังไงความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้าง

นายจ้างต้องทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่สถานสงเคราะห์

ขาดทุนก็ปิดกิจการ นี่คือความจริง

 

ไม่ต้องถึงกับขาดทุนหรอกครับ ... เอาแค่กำไรไม่คุ้มค่าเหนื่อย ค่าลงทุน ก็ปิดกันแล้ว 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ



#24 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:48

ลูกจ้างต้องเฮเลี้ยงฉลอง ในวันที่ถูกเลิกจ้าง เพราะไม่ต้องโดนสูบเลือดอีกต่อไป -_-


We love fender.

#25 อาวุโสโอเค

อาวุโสโอเค

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,790 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:53

อย่างนี้พวกตกงาน คนแก่ คนพิการก็ชิห่ะสิ ไม่มีคนจ้างแล้วจะเงินที่ไหนมาเลี้ยงชีพ -_-


การเมืองไม่ใช่เพื่อกลุ่มใด แต่เพื่อทุกคนในประเทศ

#26 ทรงธรรม

ทรงธรรม

    ต่อให้ต้องเรียนจนแก่ ก็จะเรียนต่อไป คนเราพัฒนาได้ทุกคน

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,157 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:54

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

โอเค ครับ ผมพอเข้าใจ ความคิดของ คุณลี แล้ว

 

ถ้า ไม่อยากให้ นายจ้าง เอาเปรียบ

 

งั้น ก็ควร ทำการค้าเอง หรือไม่ ก็ทำงาน รับจ้าง อิสระ

 

เช่น พวกงาน คล้าย ๆ ฟรีแลนซ์ แบบนี้ ใช่ไหมครับ

 

พวก SME ก็จะจ้าง เฉพาะ บุคคล ในครอบครัว

 

ซึ่ง จะแบ่ง เปอร์เซนต์ กำไร กันอยู่แล้ว

 

 

ส่วนคนที่คิดจะทำการค้า ที่ใหญ่กว่านี้ แต่ทุน ไม่มากพอ

 

ก็หมดสิทธิ เพราะเวลา จะจ้างคน

 

ต้องคำนึง ถึง ลูกน้อง มากกว่า กำไร ของบริษัท

 

บริษัท มันก็จะเติบโตยาก เพราะกำไรน้อย

 

การจะนำกำไร มาต่อขยาย กิจการ ก็ทำได้ยาก

 

 

ก็ เข้าทำนอง ธุรกิจ ไปได้ ด้วยครอบครัว

 

อย่าหวัง พึ่ง คนอื่น ที่ไม่ใช่ คนรู้จัก


ขอให้พวกเรา ชาวหลากสี และพันธมิตร จงมีชีวิตรอด จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝีมือปูนา ไปตลอดรอดฝั่งด้วยครับ

 

PEMDAS ย่อมาจาก ลำดับการคำนวณ Parentheses , Exponentials , Multiply , Divide , Add , Subtract

 

FWGHSO ย่อมาจาก ลำดับการประเมินผลของ query  FROM, WHERE, GROUP BY, HAVING, SELECT, ORDER BY


#27 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:59

 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

โอเค ครับ ผมพอเข้าใจ ความคิดของ คุณลี แล้ว

 

ถ้า ไม่อยากให้ นายจ้าง เอาเปรียบ

 

งั้น ก็ควร ทำการค้าเอง หรือไม่ ก็ทำงาน รับจ้าง อิสระ

 

เช่น พวกงาน คล้าย ๆ ฟรีแลนซ์ แบบนี้ ใช่ไหมครับ

 

พวก SME ก็จะจ้าง เฉพาะ บุคคล ในครอบครัว

 

ซึ่ง จะแบ่ง เปอร์เซนต์ กำไร กันอยู่แล้ว

 

 

ส่วนคนที่คิดจะทำการค้า ที่ใหญ่กว่านี้ แต่ทุน ไม่มากพอ

 

ก็หมดสิทธิ เพราะเวลา จะจ้างคน

 

ต้องคำนึง ถึง ลูกน้อง มากกว่า กำไร ของบริษัท

 

บริษัท มันก็จะเติบโตยาก เพราะกำไรน้อย

 

การจะนำกำไร มาต่อขยาย กิจการ ก็ทำได้ยาก

 

 

ก็ เข้าทำนอง ธุรกิจ ไปได้ ด้วยครอบครัว

 

อย่าหวัง พึ่ง คนอื่น ที่ไม่ใช่ คนรู้จัก

 

 

คุณทรงธรรม

คุณไปดูสิงคโปร์ เกาหลี  ไต้หวัน ค่าแรงเขาสูงกว่าเรามาก เขาเป็นอย่างที่คุณว่าหรือ?



#28 Siren

Siren

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,336 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:01

productivity มันพอหรือครับ

ถ้าสินค้าเหมือนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน

จะเอาอะไรไปสู้เขาครับ ถ้าค่าแรงสูงกว่า 2-3 เท่าแต่ผลิตภาพสูงกว่าเขานิดหน่อย

 

 

Productivity มันวัดจาก 1) ความสามารถในผลิตของแรงงานว่าผลิตสินค้าเป็นจำนวนชิ้นได้มากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละวัน 2) ราคาสินค้าที่ผลิตสูงขึ้น
 
ในส่วนข้อ 1) หากคุณไม่นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย คุณไม่มีทางทำให้แรงงานหนึ่งคนทำงานเพิ่มได้มากเป็น 2 เท่าของที่เขาทำได้ในปัจจุบันหรอก แรงงานฝรั่งเศสไม่มีทางทำงานด้วยมือได้มากกว่าแรงงานไทยหลายเท่าตัวได้ นายจ้างต้องลงทุนเพื่อเพิ่ม productivity ตรงนั้น ไม่ใช่ไปเค้นเอาจากแรงงานซึ่งเป็นมนุษย์ให้ผลิตสินค้าออกมาด้วยมือให้เพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผ่านมามันมีการกดค่าจ้างให้ต่ำเพื่อให้นายจ้างสามารถจ้างแรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องลงทุนเครื่องจักรมาเพิ่มผลผลิต ซึ่งมันผิด!!! คุณไม่เห็นรึ?นายจ้างต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิต จัดการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานในระดับที่สูงขึ้นได้ แต่นายจ้างไม่ยอมทำเพราะที่ผ่านมาเราไปกดค่าจ้างเอาไว้เพื่อช่วยนายจ้างตลอดเวลา นายจ้างก็เลยนิสัยเสีย exploit แรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในเครื่องจักร แล้วบอกว่า productivity ของแรงงานไม่สามารถเพิ่มเป็น 2 เท่าได้
 
ส่วนในข้อ 2) การที่จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง คิดค้นสินค้าใหม่ๆที่แข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาเราเน้นการส่งออกโดยแข่งขันด้านราคาโดยใช้แรงงานราคาถูก สินค้าในบางอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงสูงมากหากต้นทุนด้านค่าแรงเปลี่ยนไป เหตุผลที่ธุรกิจไม่ยอมขยับก็เพราะยังมีข้อได้เปรียบจากค่าแรงที่โดนกดจนต่ำ การเพิ่มค่าแรง และการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้สูงเพิ่มขึ้นมากๆ (คนในเมืองต้องกินอาหารแพงขึ้น) จะทำให้เงินหมุนลงไปที่ฐานแล้วหมุนกลับขึ้นมาเป็นกำลังซื้อที่สามารถซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นได้ ธุรกิจก็สามารถผลิตสินค้าที่แพงขึ้นมาขายในประเทศได้แทนที่จะเน้นการส่งออกสินค้าราคาถูก การปรับรายได้ของพนักงานที่ไม่ใช่แรงงานก็จะตามมาเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทั้งระบบมันจะปรับสูงขึ้นทั้งรายได้และค่าครองชีพ แต่มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่เราสมมุติขึ้น ซึ่งเมื่อรายได้สูงขึ้น ฐานของปิระมิดก็จะสามารถซื้อสิ่งของที่ผลิตจากต่างประเทศที่เมื่อก่อนมันราคาแพงสำหรับเขาได้ สามารถนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางได้ ธุรกิจในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างที่บอก เดิมคุณมีรายได้ 1,000 บาท ข้าวแกงจานละ 20 บาท รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ข้าวแกงเป็นจานละ 200 มันไม่ได้ทำให้คุณจนลงหากเป็นการเพิ่มที่สัดส่วนที่สอดคล้องกัน แต่มันทำให้คุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งราคาเพิ่มขึ้นจากเที่ยวละ 1,000 เป็นเทียวละ 2,000 บาทได้ ซึ่งทำให้คุณมีกำลังซื้อในสินค้าที่คุณไม่สามารถซื้อได้ในอดีต ทำให้คุณ "จน" น้อยลง
 
การเพิ่ม productivity ไม่ใช่หมายถึงการบังคับให้คนทำงานด้วยมือให้ได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่หมายถึงการที่นายจ้างต้องลงทุนในการนำเครื่องมือ/เครื่องจักรที่ช่วยเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย และทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นโดยการสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ
 
แต่นายจ้างไม่ยอมทำ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงและไม่ต้องการลงทุนครั้งแรกมาก แต่เลือกที่จะกดค่าจ้างให้ต่ำต่อไป ข้ออ้างเรื่อง productivity ของคุณมันจึงบัดซบมาก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

ถ้าการทำธุรกิจมันง่ายแบบนี้ วันนี้คงมีเถ้าแก่เต็มประเทศไทย


Now!  Restart Thailand  


#29 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:05

 

productivity มันพอหรือครับ

ถ้าสินค้าเหมือนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน

จะเอาอะไรไปสู้เขาครับ ถ้าค่าแรงสูงกว่า 2-3 เท่าแต่ผลิตภาพสูงกว่าเขานิดหน่อย

 

 

Productivity มันวัดจาก 1) ความสามารถในผลิตของแรงงานว่าผลิตสินค้าเป็นจำนวนชิ้นได้มากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละวัน 2) ราคาสินค้าที่ผลิตสูงขึ้น
 
ในส่วนข้อ 1) หากคุณไม่นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย คุณไม่มีทางทำให้แรงงานหนึ่งคนทำงานเพิ่มได้มากเป็น 2 เท่าของที่เขาทำได้ในปัจจุบันหรอก แรงงานฝรั่งเศสไม่มีทางทำงานด้วยมือได้มากกว่าแรงงานไทยหลายเท่าตัวได้ นายจ้างต้องลงทุนเพื่อเพิ่ม productivity ตรงนั้น ไม่ใช่ไปเค้นเอาจากแรงงานซึ่งเป็นมนุษย์ให้ผลิตสินค้าออกมาด้วยมือให้เพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผ่านมามันมีการกดค่าจ้างให้ต่ำเพื่อให้นายจ้างสามารถจ้างแรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องลงทุนเครื่องจักรมาเพิ่มผลผลิต ซึ่งมันผิด!!! คุณไม่เห็นรึ?นายจ้างต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิต จัดการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานในระดับที่สูงขึ้นได้ แต่นายจ้างไม่ยอมทำเพราะที่ผ่านมาเราไปกดค่าจ้างเอาไว้เพื่อช่วยนายจ้างตลอดเวลา นายจ้างก็เลยนิสัยเสีย exploit แรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในเครื่องจักร แล้วบอกว่า productivity ของแรงงานไม่สามารถเพิ่มเป็น 2 เท่าได้
 
ส่วนในข้อ 2) การที่จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง คิดค้นสินค้าใหม่ๆที่แข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาเราเน้นการส่งออกโดยแข่งขันด้านราคาโดยใช้แรงงานราคาถูก สินค้าในบางอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงสูงมากหากต้นทุนด้านค่าแรงเปลี่ยนไป เหตุผลที่ธุรกิจไม่ยอมขยับก็เพราะยังมีข้อได้เปรียบจากค่าแรงที่โดนกดจนต่ำ การเพิ่มค่าแรง และการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้สูงเพิ่มขึ้นมากๆ (คนในเมืองต้องกินอาหารแพงขึ้น) จะทำให้เงินหมุนลงไปที่ฐานแล้วหมุนกลับขึ้นมาเป็นกำลังซื้อที่สามารถซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นได้ ธุรกิจก็สามารถผลิตสินค้าที่แพงขึ้นมาขายในประเทศได้แทนที่จะเน้นการส่งออกสินค้าราคาถูก การปรับรายได้ของพนักงานที่ไม่ใช่แรงงานก็จะตามมาเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทั้งระบบมันจะปรับสูงขึ้นทั้งรายได้และค่าครองชีพ แต่มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่เราสมมุติขึ้น ซึ่งเมื่อรายได้สูงขึ้น ฐานของปิระมิดก็จะสามารถซื้อสิ่งของที่ผลิตจากต่างประเทศที่เมื่อก่อนมันราคาแพงสำหรับเขาได้ สามารถนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางได้ ธุรกิจในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างที่บอก เดิมคุณมีรายได้ 1,000 บาท ข้าวแกงจานละ 20 บาท รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ข้าวแกงเป็นจานละ 200 มันไม่ได้ทำให้คุณจนลงหากเป็นการเพิ่มที่สัดส่วนที่สอดคล้องกัน แต่มันทำให้คุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งราคาเพิ่มขึ้นจากเที่ยวละ 1,000 เป็นเทียวละ 2,000 บาทได้ ซึ่งทำให้คุณมีกำลังซื้อในสินค้าที่คุณไม่สามารถซื้อได้ในอดีต ทำให้คุณ "จน" น้อยลง
 
การเพิ่ม productivity ไม่ใช่หมายถึงการบังคับให้คนทำงานด้วยมือให้ได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่หมายถึงการที่นายจ้างต้องลงทุนในการนำเครื่องมือ/เครื่องจักรที่ช่วยเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย และทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นโดยการสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ
 
แต่นายจ้างไม่ยอมทำ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงและไม่ต้องการลงทุนครั้งแรกมาก แต่เลือกที่จะกดค่าจ้างให้ต่ำต่อไป ข้ออ้างเรื่อง productivity ของคุณมันจึงบัดซบมาก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

ถ้าการทำธุรกิจมันง่ายแบบนี้ วันนี้คงมีเถ้าแก่เต็มประเทศไทย

 

 

มันไม่ง่ายสิครับ การทำนาบนหลังคนมันง่ายกว่า เมืองไทยวันนี้จึงมีแต่คนทำนาบนหลังคนเต็มประเทศ



#30 พอล คุง

พอล คุง

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 11,014 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:07

 

 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

โอเค ครับ ผมพอเข้าใจ ความคิดของ คุณลี แล้ว

 

ถ้า ไม่อยากให้ นายจ้าง เอาเปรียบ

 

งั้น ก็ควร ทำการค้าเอง หรือไม่ ก็ทำงาน รับจ้าง อิสระ

 

เช่น พวกงาน คล้าย ๆ ฟรีแลนซ์ แบบนี้ ใช่ไหมครับ

 

พวก SME ก็จะจ้าง เฉพาะ บุคคล ในครอบครัว

 

ซึ่ง จะแบ่ง เปอร์เซนต์ กำไร กันอยู่แล้ว

 

 

ส่วนคนที่คิดจะทำการค้า ที่ใหญ่กว่านี้ แต่ทุน ไม่มากพอ

 

ก็หมดสิทธิ เพราะเวลา จะจ้างคน

 

ต้องคำนึง ถึง ลูกน้อง มากกว่า กำไร ของบริษัท

 

บริษัท มันก็จะเติบโตยาก เพราะกำไรน้อย

 

การจะนำกำไร มาต่อขยาย กิจการ ก็ทำได้ยาก

 

 

ก็ เข้าทำนอง ธุรกิจ ไปได้ ด้วยครอบครัว

 

อย่าหวัง พึ่ง คนอื่น ที่ไม่ใช่ คนรู้จัก

 

 

คุณทรงธรรม

คุณไปดูสิงคโปร์ เกาหลี  ไต้หวัน ค่าแรงเขาสูงกว่าเรามาก เขาเป็นอย่างที่คุณว่าหรือ?

 

โอ้ย ๆ ๆ คุณลี 

 

ค่าครองชีพ เค้าเหมือนบ้านเราเหรอ

 

ถ้าค่าครองชีพเค้าถูกเหมือนบ้านเราก้อดีสิ

 

เฮ้อ


ถึงตรูจะเลวยังไง ตรูก้อไม่ได้ขายชาติ เหมือนเสื้อแดงว่ะ เข้าใจนะ

 


#31 พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,450 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:09

 

อ่านยังไงความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้าง

นายจ้างต้องทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่สถานสงเคราะห์

ขาดทุนก็ปิดกิจการ นี่คือความจริง

 

ไม่ต้องถึงกับขาดทุนหรอกครับ ... เอาแค่กำไรไม่คุ้มค่าเหนื่อย ค่าลงทุน ก็ปิดกันแล้ว 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

 

คือ ... คุณลีหมายความว่า ถ้าลูกจ้างค่าแรงไม่ดีก็ลาออก หางานใหม่เลยใช่ไหมครับ ... ???


อยากรู้ว่าประชาธิปไตยไทยเป็นแบบไหน ให้ดูการใช้รถใช้ถนนรู้จักกันแต่สิทธิ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้

#32 3x3eyes

3x3eyes

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 338 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:12

 

 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

โอเค ครับ ผมพอเข้าใจ ความคิดของ คุณลี แล้ว

 

ถ้า ไม่อยากให้ นายจ้าง เอาเปรียบ

 

งั้น ก็ควร ทำการค้าเอง หรือไม่ ก็ทำงาน รับจ้าง อิสระ

 

เช่น พวกงาน คล้าย ๆ ฟรีแลนซ์ แบบนี้ ใช่ไหมครับ

 

พวก SME ก็จะจ้าง เฉพาะ บุคคล ในครอบครัว

 

ซึ่ง จะแบ่ง เปอร์เซนต์ กำไร กันอยู่แล้ว

 

 

ส่วนคนที่คิดจะทำการค้า ที่ใหญ่กว่านี้ แต่ทุน ไม่มากพอ

 

ก็หมดสิทธิ เพราะเวลา จะจ้างคน

 

ต้องคำนึง ถึง ลูกน้อง มากกว่า กำไร ของบริษัท

 

บริษัท มันก็จะเติบโตยาก เพราะกำไรน้อย

 

การจะนำกำไร มาต่อขยาย กิจการ ก็ทำได้ยาก

 

 

ก็ เข้าทำนอง ธุรกิจ ไปได้ ด้วยครอบครัว

 

อย่าหวัง พึ่ง คนอื่น ที่ไม่ใช่ คนรู้จัก

 

 

คุณทรงธรรม

คุณไปดูสิงคโปร์ เกาหลี  ไต้หวัน ค่าแรงเขาสูงกว่าเรามาก เขาเป็นอย่างที่คุณว่าหรือ?

แนะนำให้ไปดูที่ดาว M78 ใน Andromeda Galaxy ครับ

ที่นั่นเค้าใช้พลังจิตกันแล้ว ไม่ต้องใช้แรงงาน :D


“The hottest places in hell are reserved for those who in times of great moral crisis maintain their neutrality”

 

"ผู้ใดรักษาความเป็นกลางในท่ามกลางวิกฤตศีลธรรม ผู้นั้นย่อมตกนรกอเวจี"

-Dante Alighieri-


#33 ไอโอดีนแมน

ไอโอดีนแมน

    มันเป็นศาสตร์ของความฮา!

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,014 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:15

ดีมากครับคุณลี ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

 

ให้พวก SME ล้มหายตายจากไปหมด พวกรากหญ้าจะได้กลับคืนสู่ขนบทซักที

 

อำมาตย์อย่างผมสบายๆอยู่แล้ว ธุรกิจใหญ่ๆเค้ายิ้มกันทั้งนั้น คู่แข่งทางธุรกิจล้มหายไปเอง

 

ส่วนรากหญ้า ... ก็แดรกมาม่าห่อละ 20 -30 บาทไปละกัน 555+


"If you tell the truth, you don’t have to remember anything."

#34 idolation

idolation

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,996 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:17

อ่านยังไงความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้าง
นายจ้างต้องทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่สถานสงเคราะห์
ขาดทุนก็ปิดกิจการ นี่คือความจริง

 
ไม่ต้องถึงกับขาดทุนหรอกครับ ... เอาแค่กำไรไม่คุ้มค่าเหนื่อย ค่าลงทุน ก็ปิดกันแล้ว

 
ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก
ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ
แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี
ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ
เพิ่งรู้ว่าธุรกิจพวกนั้นของลีไปบังคับแรงงานล่ามโซ่ให้ทำงาน 555
รักในหลวง ห่วงลูกหลาน ร่วมกันต้าน ตระกูลชินวัตร

#35 sanskrit_shower

sanskrit_shower

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,741 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:23

 

 

อ่านยังไงความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้าง

นายจ้างต้องทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่สถานสงเคราะห์

ขาดทุนก็ปิดกิจการ นี่คือความจริง

 

ไม่ต้องถึงกับขาดทุนหรอกครับ ... เอาแค่กำไรไม่คุ้มค่าเหนื่อย ค่าลงทุน ก็ปิดกันแล้ว 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

 

คือ ... คุณลีหมายความว่า ถ้าลูกจ้างค่าแรงไม่ดีก็ลาออก หางานใหม่เลยใช่ไหมครับ ... ???

ใช่ครับ  กระทู้โน้นเค้ายังแนะนำอย่างนี้เลย :lol:  :lol:



#36 อาตี๋

อาตี๋

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,267 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:28

ผมรู้แต่ว่าเจ้าสัวเจ้าของทฤษฎี มันยังทำในบริษัทไม่ได้ ๑๐๐% เลย 

 

แถมได้ข่าวว่าเริ่มหนีไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้วด้วยนี่


สิทธิตามระบอบประชาติปไตยมีไว้สำหรับให้เสื้อแดงผู้เรียกร้องประชาติปไตยเท่านั้น


ผู้อื่นห้ามใช้มิเช่นนั้นจะโดนประชาติปไตยลงโทษ


#37 Siren

Siren

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,336 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:37

 

 

productivity มันพอหรือครับ

ถ้าสินค้าเหมือนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน

จะเอาอะไรไปสู้เขาครับ ถ้าค่าแรงสูงกว่า 2-3 เท่าแต่ผลิตภาพสูงกว่าเขานิดหน่อย

 

 

Productivity มันวัดจาก 1) ความสามารถในผลิตของแรงงานว่าผลิตสินค้าเป็นจำนวนชิ้นได้มากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละวัน 2) ราคาสินค้าที่ผลิตสูงขึ้น
 
ในส่วนข้อ 1) หากคุณไม่นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย คุณไม่มีทางทำให้แรงงานหนึ่งคนทำงานเพิ่มได้มากเป็น 2 เท่าของที่เขาทำได้ในปัจจุบันหรอก แรงงานฝรั่งเศสไม่มีทางทำงานด้วยมือได้มากกว่าแรงงานไทยหลายเท่าตัวได้ นายจ้างต้องลงทุนเพื่อเพิ่ม productivity ตรงนั้น ไม่ใช่ไปเค้นเอาจากแรงงานซึ่งเป็นมนุษย์ให้ผลิตสินค้าออกมาด้วยมือให้เพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผ่านมามันมีการกดค่าจ้างให้ต่ำเพื่อให้นายจ้างสามารถจ้างแรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องลงทุนเครื่องจักรมาเพิ่มผลผลิต ซึ่งมันผิด!!! คุณไม่เห็นรึ?นายจ้างต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิต จัดการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานในระดับที่สูงขึ้นได้ แต่นายจ้างไม่ยอมทำเพราะที่ผ่านมาเราไปกดค่าจ้างเอาไว้เพื่อช่วยนายจ้างตลอดเวลา นายจ้างก็เลยนิสัยเสีย exploit แรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในเครื่องจักร แล้วบอกว่า productivity ของแรงงานไม่สามารถเพิ่มเป็น 2 เท่าได้
 
ส่วนในข้อ 2) การที่จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง คิดค้นสินค้าใหม่ๆที่แข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาเราเน้นการส่งออกโดยแข่งขันด้านราคาโดยใช้แรงงานราคาถูก สินค้าในบางอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงสูงมากหากต้นทุนด้านค่าแรงเปลี่ยนไป เหตุผลที่ธุรกิจไม่ยอมขยับก็เพราะยังมีข้อได้เปรียบจากค่าแรงที่โดนกดจนต่ำ การเพิ่มค่าแรง และการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้สูงเพิ่มขึ้นมากๆ (คนในเมืองต้องกินอาหารแพงขึ้น) จะทำให้เงินหมุนลงไปที่ฐานแล้วหมุนกลับขึ้นมาเป็นกำลังซื้อที่สามารถซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นได้ ธุรกิจก็สามารถผลิตสินค้าที่แพงขึ้นมาขายในประเทศได้แทนที่จะเน้นการส่งออกสินค้าราคาถูก การปรับรายได้ของพนักงานที่ไม่ใช่แรงงานก็จะตามมาเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทั้งระบบมันจะปรับสูงขึ้นทั้งรายได้และค่าครองชีพ แต่มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่เราสมมุติขึ้น ซึ่งเมื่อรายได้สูงขึ้น ฐานของปิระมิดก็จะสามารถซื้อสิ่งของที่ผลิตจากต่างประเทศที่เมื่อก่อนมันราคาแพงสำหรับเขาได้ สามารถนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางได้ ธุรกิจในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างที่บอก เดิมคุณมีรายได้ 1,000 บาท ข้าวแกงจานละ 20 บาท รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ข้าวแกงเป็นจานละ 200 มันไม่ได้ทำให้คุณจนลงหากเป็นการเพิ่มที่สัดส่วนที่สอดคล้องกัน แต่มันทำให้คุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งราคาเพิ่มขึ้นจากเที่ยวละ 1,000 เป็นเทียวละ 2,000 บาทได้ ซึ่งทำให้คุณมีกำลังซื้อในสินค้าที่คุณไม่สามารถซื้อได้ในอดีต ทำให้คุณ "จน" น้อยลง
 
การเพิ่ม productivity ไม่ใช่หมายถึงการบังคับให้คนทำงานด้วยมือให้ได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่หมายถึงการที่นายจ้างต้องลงทุนในการนำเครื่องมือ/เครื่องจักรที่ช่วยเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย และทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นโดยการสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ
 
แต่นายจ้างไม่ยอมทำ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงและไม่ต้องการลงทุนครั้งแรกมาก แต่เลือกที่จะกดค่าจ้างให้ต่ำต่อไป ข้ออ้างเรื่อง productivity ของคุณมันจึงบัดซบมาก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

ถ้าการทำธุรกิจมันง่ายแบบนี้ วันนี้คงมีเถ้าแก่เต็มประเทศไทย

 

 

มันไม่ง่ายสิครับ การทำนาบนหลังคนมันง่ายกว่า เมืองไทยวันนี้จึงมีแต่คนทำนาบนหลังคนเต็มประเทศ

คิดง่ายไปมั้งคะ

แล้วก็ไม่รู้ว่าคุณลี เข้าข้างผู้ประกอบการหรือผู้ใช้แรงงานกันแน่

 

ให้ผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องจักร แล้วลอยแพผู้ใช้แรงงานหรือไร ถ้าหันไปใช้เครื่องจักรผลิต คนงานก็ต้องถูกเลิกจ้างไม่มากก็น้อย

ผลิตมาก ต้นทุนสูง ขายไม่ออก โรงงานก็เจ๊ง ลอยแพคนงานอีก

 

ผู้ประกอบการก็ต้องการต้นทุนถูกที่สุดอยู่แล้ว เพราะเขาทำธุรกิจต้องหวังผลกำไร

ผู้ใช้แรงงานก็ต้องการค่าแรงแพงที่สุดอยู่แล้ว เพื่อให้มีชีวิตที่ดี

 

ถ้าต่างกำหนดกันตามใจ ก็ไม่มีทางยุติ

 

ที่ผ่านมาเขาถึงใช้คณะกรรมการไตรภาคี ประกอบไปด้วย ลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล เพื่อให้ได้ อัตราที่เหมาะสม นายจ้างอยู่ได้ ลูกจ้างอยู่ได้ เศรษฐกิจของชาติไปได้ - เรื่องทำนาบนหลังคนมันหมดไปนานแล้ว

 

จนรัฐบาลนี้เข้ามา กำหนดอัตราตามใจชอบ - ขายฝันให้แรงงาน เพื่อให้เลือกตัวเอง โดยไม่ต้องควักกระเป๋า - ให้นายจ้างเป็นคนออกให้

 

ทำลายระบบที่่สมดุลให้มันบิดเีบี้ยว


Now!  Restart Thailand  


#38 Leeporter ขี้แพ้

Leeporter ขี้แพ้

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 1,493 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:46

 

 

 

productivity มันพอหรือครับ

ถ้าสินค้าเหมือนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน

จะเอาอะไรไปสู้เขาครับ ถ้าค่าแรงสูงกว่า 2-3 เท่าแต่ผลิตภาพสูงกว่าเขานิดหน่อย

 

 

Productivity มันวัดจาก 1) ความสามารถในผลิตของแรงงานว่าผลิตสินค้าเป็นจำนวนชิ้นได้มากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละวัน 2) ราคาสินค้าที่ผลิตสูงขึ้น
 
ในส่วนข้อ 1) หากคุณไม่นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย คุณไม่มีทางทำให้แรงงานหนึ่งคนทำงานเพิ่มได้มากเป็น 2 เท่าของที่เขาทำได้ในปัจจุบันหรอก แรงงานฝรั่งเศสไม่มีทางทำงานด้วยมือได้มากกว่าแรงงานไทยหลายเท่าตัวได้ นายจ้างต้องลงทุนเพื่อเพิ่ม productivity ตรงนั้น ไม่ใช่ไปเค้นเอาจากแรงงานซึ่งเป็นมนุษย์ให้ผลิตสินค้าออกมาด้วยมือให้เพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผ่านมามันมีการกดค่าจ้างให้ต่ำเพื่อให้นายจ้างสามารถจ้างแรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องลงทุนเครื่องจักรมาเพิ่มผลผลิต ซึ่งมันผิด!!! คุณไม่เห็นรึ?นายจ้างต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิต จัดการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานในระดับที่สูงขึ้นได้ แต่นายจ้างไม่ยอมทำเพราะที่ผ่านมาเราไปกดค่าจ้างเอาไว้เพื่อช่วยนายจ้างตลอดเวลา นายจ้างก็เลยนิสัยเสีย exploit แรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในเครื่องจักร แล้วบอกว่า productivity ของแรงงานไม่สามารถเพิ่มเป็น 2 เท่าได้
 
ส่วนในข้อ 2) การที่จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง คิดค้นสินค้าใหม่ๆที่แข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาเราเน้นการส่งออกโดยแข่งขันด้านราคาโดยใช้แรงงานราคาถูก สินค้าในบางอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงสูงมากหากต้นทุนด้านค่าแรงเปลี่ยนไป เหตุผลที่ธุรกิจไม่ยอมขยับก็เพราะยังมีข้อได้เปรียบจากค่าแรงที่โดนกดจนต่ำ การเพิ่มค่าแรง และการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้สูงเพิ่มขึ้นมากๆ (คนในเมืองต้องกินอาหารแพงขึ้น) จะทำให้เงินหมุนลงไปที่ฐานแล้วหมุนกลับขึ้นมาเป็นกำลังซื้อที่สามารถซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นได้ ธุรกิจก็สามารถผลิตสินค้าที่แพงขึ้นมาขายในประเทศได้แทนที่จะเน้นการส่งออกสินค้าราคาถูก การปรับรายได้ของพนักงานที่ไม่ใช่แรงงานก็จะตามมาเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทั้งระบบมันจะปรับสูงขึ้นทั้งรายได้และค่าครองชีพ แต่มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่เราสมมุติขึ้น ซึ่งเมื่อรายได้สูงขึ้น ฐานของปิระมิดก็จะสามารถซื้อสิ่งของที่ผลิตจากต่างประเทศที่เมื่อก่อนมันราคาแพงสำหรับเขาได้ สามารถนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางได้ ธุรกิจในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างที่บอก เดิมคุณมีรายได้ 1,000 บาท ข้าวแกงจานละ 20 บาท รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ข้าวแกงเป็นจานละ 200 มันไม่ได้ทำให้คุณจนลงหากเป็นการเพิ่มที่สัดส่วนที่สอดคล้องกัน แต่มันทำให้คุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งราคาเพิ่มขึ้นจากเที่ยวละ 1,000 เป็นเทียวละ 2,000 บาทได้ ซึ่งทำให้คุณมีกำลังซื้อในสินค้าที่คุณไม่สามารถซื้อได้ในอดีต ทำให้คุณ "จน" น้อยลง
 
การเพิ่ม productivity ไม่ใช่หมายถึงการบังคับให้คนทำงานด้วยมือให้ได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่หมายถึงการที่นายจ้างต้องลงทุนในการนำเครื่องมือ/เครื่องจักรที่ช่วยเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย และทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นโดยการสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ
 
แต่นายจ้างไม่ยอมทำ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงและไม่ต้องการลงทุนครั้งแรกมาก แต่เลือกที่จะกดค่าจ้างให้ต่ำต่อไป ข้ออ้างเรื่อง productivity ของคุณมันจึงบัดซบมาก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

ถ้าการทำธุรกิจมันง่ายแบบนี้ วันนี้คงมีเถ้าแก่เต็มประเทศไทย

 

 

มันไม่ง่ายสิครับ การทำนาบนหลังคนมันง่ายกว่า เมืองไทยวันนี้จึงมีแต่คนทำนาบนหลังคนเต็มประเทศ

คิดง่ายไปมั้งคะ

แล้วก็ไม่รู้ว่าคุณลี เข้าข้างผู้ประกอบการหรือผู้ใช้แรงงานกันแน่

 

ให้ผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องจักร แล้วลอยแพผู้ใช้แรงงานหรือไร ถ้าหันไปใช้เครื่องจักรผลิต คนงานก็ต้องถูกเลิกจ้างไม่มากก็น้อย

ผลิตมาก ต้นทุนสูง ขายไม่ออก โรงงานก็เจ๊ง ลอยแพคนงานอีก

 

ผู้ประกอบการก็ต้องการต้นทุนถูกที่สุดอยู่แล้ว เพราะเขาทำธุรกิจต้องหวังผลกำไร

ผู้ใช้แรงงานก็ต้องการค่าแรงแพงที่สุดอยู่แล้ว เพื่อให้มีชีวิตที่ดี

 

ถ้าต่างกำหนดกันตามใจ ก็ไม่มีทางยุติ

 

ที่ผ่านมาเขาถึงใช้คณะกรรมการไตรภาคี ประกอบไปด้วย ลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล เพื่อให้ได้ อัตราที่เหมาะสม นายจ้างอยู่ได้ ลูกจ้างอยู่ได้ เศรษฐกิจของชาติไปได้ - เรื่องทำนาบนหลังคนมันหมดไปนานแล้ว

 

จนรัฐบาลนี้เข้ามา กำหนดอัตราตามใจชอบ - ขายฝันให้แรงงาน เพื่อให้เลือกตัวเอง โดยไม่ต้องควักกระเป๋า - ให้นายจ้างเป็นคนออกให้

 

ทำลายระบบที่่สมดุลให้มันบิดเีบี้ยว

 

คุณนั่นแหล่ะคิดง่ายไป

คุณพูดเหมือนประเทศไทยจำกัดจำนวนปู้ประกอบการให้คงที่

สินค้าราคาสูงขึ้น รายได้เกษตรกรสูงขึ้น รายได้แรงงานสูงขึ้น รายได้พนักงานเงินเดือนสูงขึ้นเศรษฐกิจโตขึ้น ก็มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

มันลดในที่หนึ่งแต่ไปเพิ่มในอีกที่หนึ่ง จำนวนแรงงานเท่าเดิม productivity สูงขึ้น

นั่นคือการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

ส่วนการควบคุมค่าแรงให้ต่ำเพื่อให้ผลิตรองเท้าคู่ละ 120 บาทมาแข่งกับเมืองจีน อันนั้นมันเป็นการทำให้เศรษฐกิจเมืองไทยมันหยุดชะงักมาหลายปี

 

คุณไม่เข้าใจหรือ? กลับไปนั่งคิดให้ละเอียดๆ ว่าทำไมการเพิ่มของ productivity ในเมืองจีนมันจึงสูงกว่าเราทั้งๆ ที่คนจีนมี 2 มือและไม่ได้ทำงานเร็วกว่าคนไทย

 

4paisee-0.png


Edited by Leeporter ขี้แพ้, 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:46.


#39 ควันหลง

ควันหลง

    I am Royalist

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,696 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:48

 

อ่านยังไงความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้าง

นายจ้างต้องทำเพื่อผลกำไร ไม่ใช่สถานสงเคราะห์

ขาดทุนก็ปิดกิจการ นี่คือความจริง

 

ไม่ต้องถึงกับขาดทุนหรอกครับ ... เอาแค่กำไรไม่คุ้มค่าเหนื่อย ค่าลงทุน ก็ปิดกันแล้ว 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

 

ไม่ได้ดูถูกคุณนะ แต่คิดอะไรโง่ๆวะ 

 

ธุรกิจปิดแรงงานก็ตกงานซิวะ ไม่ม่ธุรกิจ ไม่มีผลิต ไม่มีงาน คิดว่าแรงงานตกงาน แล้วจะให้ไปหางานที่ไหนทำวะ 

 

ค่าแรงมันสะท้อน อุปสงค์ อุปทานอยู่แล้ว เข้าใจไหมกฎเศรษฐศาสตร์โคตรจะพื้นฐาน เด็กม.ปลายที่ไหนก็เรียนมาาา

 

ถ้าธุรกิจมีน้อย อุปสงค์แรงงานก็ตํ่า แต่อุปทานแรงงานมีสูง จะส่งค่าตอบแรงงานก็ตํ่าด้วย (ไม่ใช่เฉพาะตัวเงินอย่างเดียว รวมไปถึงสวัสดิการด้วย) และอุปทานแรงงานไม่มีวันลดได้ เพราะปชช.ไม่ได้หายไปไหน แล้วทุกคนก็ต้องการมีงานทำเหมือนกันทุกคน

 

ก่อนหน้านี้ค่าตอบแทนแรงงานมันอยู่ในจุดที่สมดุลอยู่แล้ว เข้าใจไหม ถ้าคุณจ้างแพงเกินไปธุจกิจก็ขาดทุน และถ้าตํ่าเกินไปมันก็ไม่จูงใจแรงงานให้ทำงานกับคุณ ธุรกิจคุณก็เจ๊งไปเหมือนกัน รู้จักมั้ยราคาตลาดหน่ะ

 

อย่ายิ่งผยองว่าตัวเป็นแรงงานทำงานสร้างผลผลิต แล้วต้องได้รับการตอบแทน ในกำไรเท่าๆกับนายจ้าง ผมต่อให้เลย คุณเอาคนทุกคนในบริษัทยกเว้นนายจ้าง ไปในตั้งบริษัทใหม่ ไม่ทางที่คุณจะทำได้อย่างที่นายจ้างเคยทำ 

 

เป้าหมายของทุกระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะด้วยวิถีใด มันต้องทำให้ทุกคนมีงานทำ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ให้มีอะไรแดก คนหลายคนไม่ค่อยมีกิน ดีกว่าคนบางคนมีกิน แต่อีกหลายคนไม่กินนะ  -_-


Edited by ควันหลง, 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:55.


#40 ทรงธรรม

ทรงธรรม

    ต่อให้ต้องเรียนจนแก่ ก็จะเรียนต่อไป คนเราพัฒนาได้ทุกคน

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,157 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:51

คุณทรงธรรม

คุณไปดูสิงคโปร์ เกาหลี  ไต้หวัน ค่าแรงเขาสูงกว่าเรามาก เขาเป็นอย่างที่คุณว่าหรือ?

คุณลี อะ ไม่รู้ อะไร

 

ตอนเจ้านาย ให้ผม ไปทำงาน บริษัท เหล็ก ให้อะ

 

คุณลี รู้หรือเปล่า บริษัท ที่เป็นคู่ค้า กับ บริษัทผม อะ

 

เค้าเป็นบริษัท ลูก ของบริษัท ที่สิงคโปร์

 

บริษัท ทั้งสอง อะ ทั้งลูก ทั้งแม่ อะ

 

เอาเปรียบ บริษัท ของผม กับ บริษัท คู่ค้า ที่อินโด ที่ตก อยู่ สภาพเดียว กับบริษัทผมอะ

 

รวมถึง บริษัท เพื่อนของเจ้านาย ผมด้วย

 

รวม โดนเอาเปรียบ 3 บริษัท

 

ไอ้สิงคโปร์ นั่น อะ เข้าข่ายขูดเลือด กันเลยทีเดียว

 

เจ้านาย ผม เสียรู้ เพื่อนเขา ที่ทำงาน กับบริษัทลูก ที่สิงคโปร์ รู้เปล่าครับ

 

 

เห็นเจ้านาย ผมบอก พวกสิงคโปร์ มันมีตลาดกว้าง กว่าเรา

 

แต่มันไม่ต้องลงทุน ผลิต สินค้า มันจ้างพวกเรา ที่เป็นโรงงาน ผลิต

 

แล้ว มันก็มากดราคา เราต่ออีกที โดยบอกว่า เราได้ BOI เพราะ ติดต่อ กับบริษัท มันที่สิงคโปร์

 

 

สิงคโปร์ เค้า ไม่เอาเปรียบลูกจ้าง กันเอง แต่

 

มาเอาเปรียบ คนไทย กับ คนอินโด แทน ไงครับ


ขอให้พวกเรา ชาวหลากสี และพันธมิตร จงมีชีวิตรอด จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝีมือปูนา ไปตลอดรอดฝั่งด้วยครับ

 

PEMDAS ย่อมาจาก ลำดับการคำนวณ Parentheses , Exponentials , Multiply , Divide , Add , Subtract

 

FWGHSO ย่อมาจาก ลำดับการประเมินผลของ query  FROM, WHERE, GROUP BY, HAVING, SELECT, ORDER BY


#41 พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,450 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 11:51

 

 

 

 

ธุรกิจปิดทุกวันครับไม่เห็นแปลก

ธุรกิจพวกนั้นควรจะตายไปตั้งหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขาเอาหยาดเหงื่อราคาถูกของแรงงานมาเปลี่ยนเป็นกำไรจนอยู่มาได้หลายปี

ได้เวลาปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติได้แล้วครับ

 

ไม่ได้ดูถูกคุณนะ แต่คิดอะไรโง่ๆวะ 

 

ธุรกิจปิดแรงงานก็ตกงานซิวะ ไม่ม่ธุรกิจ ไม่มีผลิต ไม่มีงาน คิดว่าแรงงานตกงาน แล้วจะให้ไปหางานที่ไหนทำวะ 

 

ค่าแรงมันสะท้อนความอุปสงค์ อุปทานอยู่แล้ว เข้าใจไหมกฎเศรษฐศาสตร์โคตรจะพื้นฐาน เด็กม.ปลายที่ไหนก็เรียนมาาา

 

ถ้าธุรกิจมีน้อย อุปสงค์แรงงานก็ตํ่า แต่อุปทานแรงงานมีสูง จะส่งค่าตอบแรงงานก็ตํ่าด้วย (ไม่ใช่เฉพาะตัวเงินอย่างเดียว รวมไปถึงสวัสดิการด้วย) และอุปทานแรงงานไม่มีวันลดได้ เพราะปชช.ไม่ได้หายไปไหน แล้วทุกคนก็ต้องการมีงานทำเหมือนกันทุกคน

 

ก่อนหน้านี้ค่าตอบแทนแรงงานมันอยู่ในจุดที่สมดุลอยู่แล้ว เข้าใจไหม ถ้าคุณจ้างแพงเกินไปธุจกิจก็ค่าทุน และถ้าตํ่าเกินไปมันก็ไม่จูงใจแรงงานให้ทำงานกับคุณ ธุรกิจคุณก็เจ๊งไปเหมือนกัน รู้จักมั้ยราคาตลาดหน่ะ

 

อย่ายิ่งผยองว่าตัวเป็นแรงงานทำงานสร้างผลผลิต แล้วต้องได้รับการตอบแทน ในกำไรเท่าๆกับนายจ้าง ผมต่อให้เลย คุณเอาคนทุกคนในบริษัทยกเว้นนายจ้าง ไปในตั้งบริษัทใหม่ ไม่ทางที่คุณจะทำได้อย่างที่นายจ้างเคยทำ 

 

เป้าหมายของทุกระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะด้วยวิถีใด มันต้องทำให้ทุกคนมีงานทำ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ให้มีอะไรแดก คนหลายคนไม่ค่อยมีกิน ดีกว่าคนบางคนมีกิน แต่อีกหลายคนไม่กินนะ  -_-

 

นึกถึง สุนัขมองชิ้นเนื้อสะท้อนผิวน้ำ ... อยากได้เพิ่ม อยากได้ที่ดีกว่า สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย  :(


อยากรู้ว่าประชาธิปไตยไทยเป็นแบบไหน ให้ดูการใช้รถใช้ถนนรู้จักกันแต่สิทธิ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้

#42 คนทุกที่

คนทุกที่

    ชนชั้นกลาง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,480 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 12:00

คุณลีนี่หลายรอบละ แกเป็นพวกโลกสวยชนิดไม่แคร์ความเป็นจริงเลย



#43 ทัชชี่

ทัชชี่

    ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,784 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 12:13

คนไม่เคยทำธุรกิจไม่รู้หรอกว่า รายจ่ายกับรายรับ ของธุรกิจมันมีอะไรบ้าง


ประชาธิปไตยแบบแดง: 1. ไม่ใช่แดง เป็นประชาธิปไตยไม่ได้ 2. เสียงส่วนใหญ่ คือเสียงถูกต้อง 3. กฎพวกพ้องต้องเหนือกฎหมาย 4. เบื้องสูงมีไว้เหยียบย่ำ 5. ใครทำก็ผิด แต่แดงต้องไม่ผิด 6. คิดร้ายต่อทักษิณย่อมชั่ว 7. มั่วบิดเบือนหลอกพวกเดียวกัน 8. ปั้นน้ำเป็นตัวแล้วแถ


#44 พอล คุง

พอล คุง

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 11,014 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 12:14

คุณลีนี่หลายรอบละ แกเป็นพวกโลกสวยชนิดไม่แคร์ความเป็นจริงเลย

 

ต้องเข้าใจครับ แกเกิดมาแต่ให้ห้องสี่เหลี่ยมครับ 

 

ไม่เคยออกโลกกว้าง

 

ห้าาาาาาาาาาาาาาา


ถึงตรูจะเลวยังไง ตรูก้อไม่ได้ขายชาติ เหมือนเสื้อแดงว่ะ เข้าใจนะ

 


#45 RiDKuN_user

RiDKuN_user

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,167 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 12:31

*
POPULAR

ผมประหลาดใจมาก จากที่อ่านของคุณลี ก็ถือว่ามีความรู้พอสมควร

แต่ทำไมถึงมีทัศนคติว่า การเปิดโรงงานแล้วจ้างแรงงานราคาถูกคือการกดขี่

 

ถามว่าถ้าวันนี้โรงงานปิดหมด ใครตายครับ ลูกจ้างหรือนายจ้าง

 

ไม่ต้องคิดมากคิดยากครับ คิดง่ายๆ นายจ้างเขามีเงินมีทุนมีหนทาง

แรงงานไทยจ้างไม่ได้ หนีไปจ้างประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ครับ

ที่จะตายห่านกันหมดก็คือลูกจ้างนั่นแหละ อ่านข่าวบ้างนะครับ

เคยอ่านข่าว โรงงานปิดแล้วคนงานประท้วงมั้ยครับ นั่นแหละครับคนที่เดือดร้อนจริง

 

แล้ว เคยเห็นเจ้าของโรงงานมาก่อม็อบประท้วงเพราะค่าแรงสูงจนต้องปิดกิจการมั้ยครับ

ไม่มีหรอกครับ เจ้าของกิจการทำไม่ไหวเขาก็ปิด ไปหาอย่างอื่นทำ แค่นั้น

แต่แรงงานที่ตกงานละครับ ทำไงครับ ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน ไม่มีฝีมือ

ใครรับผิดชอบครับ คุณลีจะไปช่วยรับผิดชอบเขารึเปล่า

 

นโยบายการเมืองและเศรษฐกิจ ต้องดูรอบด้าน ต้องสนใจที่สุดคือความเป็นจริง

เรื่องชนชั้นหรือการกดขี่ มันหมดไปนานแล้วครับ อย่าไปอ่านหนังสือหลงยุคอยู่เลย

 

ยกตัวอย่าง การออกกฎหมาย ก็จะต้องดูรอบด้าน

เคยมีคนบอกว่า โทษข่มขืนสมควรประหาร ถามว่าเขาดูแค่ผิดมากผิดน้อยจึงกำหนดโทษจะถูกหรือไม่

ในความเป็นจริงถ้ากำหนดโทษข่มขืนให้ประหาร คนที่โดนข่มขืนก็จะโดนฆ่าตายหมด

เพราะข่มขืนกับฆ่า โทษเท่ากัน เกิดพวกหื่นไปข่มขืนใคร มันคงไม่ปล่อยให้ไปแจ้งตำรวจ ฆ่าปิดปากซะดีกว่า

 

กรณีนี้ก็เหมือนกันเลยครับ คุณลีทำเหมือนว่าจะช่วยแรงงาน ด้วยการเพิ่มค่าแรง

แต่ในความเป็นจริงถ้าทำแบบนั้น แรงงานไร้ฝีมือตายห่านเป็นเบือแน่นอนครับ

แถมไปโทษเจ้าของกิจการก็ไม่ได้ครับ เพราะเขามีสิทธิดำเนินธุรกิจตามที่เขาเห็นสมควรเพื่อให้มีกำไร  -_-


" ชีวิตผมไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น ผมกลัวอย่างเดียว...กลัวจะถูกมองว่า 'ขายชาติ' " - The Last Tycoon

~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~

#46 ถั่งเช่า ตรา ควายธนูแดง

ถั่งเช่า ตรา ควายธนูแดง

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,683 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 12:58

การขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดดก็ส่งผลเสียอย่างงี้แหละ ค่าครองชีพสูงแบบก้าวกระโดดตาม แถมมีรัฐบวย ร่วมมือกับพลังงานอีก ประชาชนมีแต่ชีช้ำ
ถ้าขึ้นค่าแรงแบบขึ้นไปเรื่อยๆ เจ้าของก็ค่อยๆ ปรับตัวอยู่ได้ ค่าครองชีพก็ค่อย ๆขึ้น 

ไม่รู้ว่าควายแดงจะโง่ไปถึงไหน



#47 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 13:06

เท่าที่อ่าน คนเสนอไม่เคยคิดเลยว่า ของแพงเพราะค่าแรงขึ้น  มองขาเดียวแบบแดงเลย

 

มองโดยไม่รู้ว่าถ้าขึ้นค่าแรง ของจะไปอีกเท่าไหร่

 

ไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการสมดุลเองครับ

 

คุณไม่สามารถขึ้นค่าแรงกับราคาสินค้าไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ

 

มันมีจุดที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สมดุล

 

แต่ปัจจุบันมันเป็นกลไกที่เพี้ยนทั้งค่าแรงและราคาสินค้าทางการเกษตรทำให้คนไทยจนมากกว่าที่ควรทั้งๆ ที่ productivity ของประเทศก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย 

 

คุณต้องเลิกกด แล้วปล่อยให้มันสูงขึ้น เพื่อให้คนจนน้อยลง 

 

มันมี overshoot บ้างแน่นอน แต่สักพักมันก็จะกลับเข้าสมดุลของมันเอง

รู้ไปหมดทุกเรื่อง เว้นเรื่องที่ตัวเองพูด


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#48 ม่านน้ำ

ม่านน้ำ

    ผมเพิ่งมาครับ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,373 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 13:18

อ่านแล้วขำดี

นายลียังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องเดิมที่เคยถกกันมาแล้วได้เลย

อย่าพยายามกันเลยครับ

Posted Image


#49 แฟนคลับจ่า

แฟนคลับจ่า

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 399 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 13:26

นั่นหน่ะสิครับ ผมถึงบอกว่ามันควรจะจ่ายให้เขา 500/วันด้วยซ้ำ จึงจะพออยู่รอดได้

 

เล่นไปกดมันเอาไว้ตั้งหลายปี แล้วอยู่ๆ จะมาเปลี่ยนแล้วจะไม่ให้มันกระทบ เป็นไปไม่ได้หรอก คุณต้องกัดฟันยอมรับความจริง ต้องมีคนเจ็บบ้าง ไม่งั้นเศรษฐกิจไทยก็โตน้อยกว่าที่มันควรจะเป็นเพราะฐานข้างล่างมันโดนอัดเอาไว้ ไม่มีกำลังซื้อ มันพิกลพิการ

 

สงสัยจะไม่เคยศึกษา  Model การสร้างเศรษฐกิจของญี่ปุ่น กับ เกาหลี (แล้วตอนนี้จีนกำลังทำตาม)  :lol:  :lol:  :lol:

 

คร่าวๆ คือ เริ่มแรกด้วยการกดค่าแรงในประเทศให้ต่ำเพื่อลดต้นทุน  ทำสินค้าแบบ Mass  ทำให้กระตุ้นการส่งออก  แล้วพอสินค้าติดตลาดแล้ว  ค่อยปรับมาเป็นผู้สร้างแบรนด์เอง

 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อ 30 ปีก่อน  สินค้ายี่ห้อ  ลักกี้ โกลสตาร์  ตอนนั้นให้ฟรียังมีเคืองเลย  แต่หลังจากเริ่มติดตลาด  มีการสร้างแบรนด์เองได้ระดับหนึ่ง  ตอนนี้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก

 

ช่วงนี้ยุ่ง  ไม่งั้นคงตั้งกระทู้ออกมาถกกันต่างหาก  เอาเป็นว่าพี่ลีไปหาข้อมูลเพิ่มเองก่อนละกันครับ



#50 Siren

Siren

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,336 posts

ตอบ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 - 14:20

 

 

 

 

productivity มันพอหรือครับ

ถ้าสินค้าเหมือนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน

จะเอาอะไรไปสู้เขาครับ ถ้าค่าแรงสูงกว่า 2-3 เท่าแต่ผลิตภาพสูงกว่าเขานิดหน่อย

 

 

Productivity มันวัดจาก 1) ความสามารถในผลิตของแรงงานว่าผลิตสินค้าเป็นจำนวนชิ้นได้มากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละวัน 2) ราคาสินค้าที่ผลิตสูงขึ้น
 
ในส่วนข้อ 1) หากคุณไม่นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย คุณไม่มีทางทำให้แรงงานหนึ่งคนทำงานเพิ่มได้มากเป็น 2 เท่าของที่เขาทำได้ในปัจจุบันหรอก แรงงานฝรั่งเศสไม่มีทางทำงานด้วยมือได้มากกว่าแรงงานไทยหลายเท่าตัวได้ นายจ้างต้องลงทุนเพื่อเพิ่ม productivity ตรงนั้น ไม่ใช่ไปเค้นเอาจากแรงงานซึ่งเป็นมนุษย์ให้ผลิตสินค้าออกมาด้วยมือให้เพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผ่านมามันมีการกดค่าจ้างให้ต่ำเพื่อให้นายจ้างสามารถจ้างแรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องลงทุนเครื่องจักรมาเพิ่มผลผลิต ซึ่งมันผิด!!! คุณไม่เห็นรึ?นายจ้างต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิต จัดการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานในระดับที่สูงขึ้นได้ แต่นายจ้างไม่ยอมทำเพราะที่ผ่านมาเราไปกดค่าจ้างเอาไว้เพื่อช่วยนายจ้างตลอดเวลา นายจ้างก็เลยนิสัยเสีย exploit แรงงานราคาถูกโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในเครื่องจักร แล้วบอกว่า productivity ของแรงงานไม่สามารถเพิ่มเป็น 2 เท่าได้
 
ส่วนในข้อ 2) การที่จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง คิดค้นสินค้าใหม่ๆที่แข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาเราเน้นการส่งออกโดยแข่งขันด้านราคาโดยใช้แรงงานราคาถูก สินค้าในบางอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงสูงมากหากต้นทุนด้านค่าแรงเปลี่ยนไป เหตุผลที่ธุรกิจไม่ยอมขยับก็เพราะยังมีข้อได้เปรียบจากค่าแรงที่โดนกดจนต่ำ การเพิ่มค่าแรง และการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้สูงเพิ่มขึ้นมากๆ (คนในเมืองต้องกินอาหารแพงขึ้น) จะทำให้เงินหมุนลงไปที่ฐานแล้วหมุนกลับขึ้นมาเป็นกำลังซื้อที่สามารถซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นได้ ธุรกิจก็สามารถผลิตสินค้าที่แพงขึ้นมาขายในประเทศได้แทนที่จะเน้นการส่งออกสินค้าราคาถูก การปรับรายได้ของพนักงานที่ไม่ใช่แรงงานก็จะตามมาเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทั้งระบบมันจะปรับสูงขึ้นทั้งรายได้และค่าครองชีพ แต่มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่เราสมมุติขึ้น ซึ่งเมื่อรายได้สูงขึ้น ฐานของปิระมิดก็จะสามารถซื้อสิ่งของที่ผลิตจากต่างประเทศที่เมื่อก่อนมันราคาแพงสำหรับเขาได้ สามารถนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางได้ ธุรกิจในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างที่บอก เดิมคุณมีรายได้ 1,000 บาท ข้าวแกงจานละ 20 บาท รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ข้าวแกงเป็นจานละ 200 มันไม่ได้ทำให้คุณจนลงหากเป็นการเพิ่มที่สัดส่วนที่สอดคล้องกัน แต่มันทำให้คุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งราคาเพิ่มขึ้นจากเที่ยวละ 1,000 เป็นเทียวละ 2,000 บาทได้ ซึ่งทำให้คุณมีกำลังซื้อในสินค้าที่คุณไม่สามารถซื้อได้ในอดีต ทำให้คุณ "จน" น้อยลง
 
การเพิ่ม productivity ไม่ใช่หมายถึงการบังคับให้คนทำงานด้วยมือให้ได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่หมายถึงการที่นายจ้างต้องลงทุนในการนำเครื่องมือ/เครื่องจักรที่ช่วยเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย และทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มขึ้นโดยการสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ
 
แต่นายจ้างไม่ยอมทำ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงและไม่ต้องการลงทุนครั้งแรกมาก แต่เลือกที่จะกดค่าจ้างให้ต่ำต่อไป ข้ออ้างเรื่อง productivity ของคุณมันจึงบัดซบมาก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

ถ้าการทำธุรกิจมันง่ายแบบนี้ วันนี้คงมีเถ้าแก่เต็มประเทศไทย

 

 

มันไม่ง่ายสิครับ การทำนาบนหลังคนมันง่ายกว่า เมืองไทยวันนี้จึงมีแต่คนทำนาบนหลังคนเต็มประเทศ

คิดง่ายไปมั้งคะ

แล้วก็ไม่รู้ว่าคุณลี เข้าข้างผู้ประกอบการหรือผู้ใช้แรงงานกันแน่

 

ให้ผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องจักร แล้วลอยแพผู้ใช้แรงงานหรือไร ถ้าหันไปใช้เครื่องจักรผลิต คนงานก็ต้องถูกเลิกจ้างไม่มากก็น้อย

ผลิตมาก ต้นทุนสูง ขายไม่ออก โรงงานก็เจ๊ง ลอยแพคนงานอีก

 

ผู้ประกอบการก็ต้องการต้นทุนถูกที่สุดอยู่แล้ว เพราะเขาทำธุรกิจต้องหวังผลกำไร

ผู้ใช้แรงงานก็ต้องการค่าแรงแพงที่สุดอยู่แล้ว เพื่อให้มีชีวิตที่ดี

 

ถ้าต่างกำหนดกันตามใจ ก็ไม่มีทางยุติ

 

ที่ผ่านมาเขาถึงใช้คณะกรรมการไตรภาคี ประกอบไปด้วย ลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล เพื่อให้ได้ อัตราที่เหมาะสม นายจ้างอยู่ได้ ลูกจ้างอยู่ได้ เศรษฐกิจของชาติไปได้ - เรื่องทำนาบนหลังคนมันหมดไปนานแล้ว

 

จนรัฐบาลนี้เข้ามา กำหนดอัตราตามใจชอบ - ขายฝันให้แรงงาน เพื่อให้เลือกตัวเอง โดยไม่ต้องควักกระเป๋า - ให้นายจ้างเป็นคนออกให้

 

ทำลายระบบที่่สมดุลให้มันบิดเีบี้ยว

 

คุณนั่นแหล่ะคิดง่ายไป

คุณพูดเหมือนประเทศไทยจำกัดจำนวนปู้ประกอบการให้คงที่

สินค้าราคาสูงขึ้น รายได้เกษตรกรสูงขึ้น รายได้แรงงานสูงขึ้น รายได้พนักงานเงินเดือนสูงขึ้นเศรษฐกิจโตขึ้น ก็มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

มันลดในที่หนึ่งแต่ไปเพิ่มในอีกที่หนึ่ง จำนวนแรงงานเท่าเดิม productivity สูงขึ้น

นั่นคือการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

ส่วนการควบคุมค่าแรงให้ต่ำเพื่อให้ผลิตรองเท้าคู่ละ 120 บาทมาแข่งกับเมืองจีน อันนั้นมันเป็นการทำให้เศรษฐกิจเมืองไทยมันหยุดชะงักมาหลายปี

 

คุณไม่เข้าใจหรือ? กลับไปนั่งคิดให้ละเอียดๆ ว่าทำไมการเพิ่มของ productivity ในเมืองจีนมันจึงสูงกว่าเราทั้งๆ ที่คนจีนมี 2 มือและไม่ได้ทำงานเร็วกว่าคนไทย

 

4paisee-0.png

คำตอบของเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่การยกระดับฝีมือ ทักษะ แรงงานไทย มากกว่านะ

 

การปรับขึ้นค่าแรงนั้นจำเป็น แต่ควรทำอย่างเหมาะสม และค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะฝีมือของแรงงาน และการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อที่ไทยจะไม่ต้องเอาแต่ผลิตรองเท้า เสื้อผ้า แข่งกับเวียดนาม กัมพูชา ด้วยค่าแรงทีสูงกว่า

 

อีกอย่างไม่เคยพบ เคยเห็น ปรับขึ้นมาเป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ - อันนี้ปัญญาอ่อนที่สุด - อีกหน่อยโรงงานผลิตก็จะเข้ามากระจุกตัวแถวกรุงเทพฯ หรือจังหวัดที่เป็นตลาดสินค้า หรือจุดขนส่งสินค้าไปยังตลาด เพราะความได้เปรียบด้านอัตราจ้างในจังหวัดที่ห่างไกล มีสาธารณูปโภคน้อยกว่า มันหมดไปแล้ว


Now!  Restart Thailand  





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน