วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:30:49 น
คอลัมน์ จุดเปลี่ยน การเมือง มติชน 11 ธันวาคม 2554

หลาย ต่อหลายคน ต้องล้มเลิก "ความฝัน" ไว้กลางทาง เพราะระหว่างทางที่เดิน อาจต้องเผชิญกับขวากหนาม ที่เป็นอุปสรรคบั่นทอนให้หมด "แรงใจ" ที่จะก้าวเดินต่อ แต่ก็มีบางคน ที่ยังคงมีความเชื่อมั่นและศรัทธาใน "ความฝัน" ที่วาดหวังจะนำพาชีวิตของตัวเองให้ไปถึงยังปลายทางที่มุ่งหวังไว้ เฉกเช่น รังสิมา รอดรัศมี หรือ "เจ๊โอ๋" ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนางพยาบาล โรงพยาบาลอัมพวา
ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้เห็น "น้า" ผู้เป็นทหารเรือ ยืนสง่า โดดเด่นอยู่ในเครื่องแบบ สีขาว "ด.ญ.รังสิมา" ผู้หลงรักเสน่ห์ในเครื่องแบบสีขาว จึงเริ่มใฝ่ฝันอยากเป็นทหารเรือ ด้วยการสมัครสอบ แต่ก็ถอดใจเสียก่อนด้วยจำนวนผู้สมัครที่มีมากจนเกินไป และหวั่นใจกับการเป็น "เด็กในสวน" ที่เกรงว่าจะสู้ "เด็กเมือง" ไม่ได้
หลัง จากนั้น จึงเบนเข็มทิศชีวิตของตัวเอง ด้วยการจับมือกับเพื่อนสาว 3 คน เข้าสมัครสอบในโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัด หรือ โรงเรียนศรัทธาสมุทร ที่เริ่มจะเปิดรับผู้หญิงบ้างแล้ว เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่เน้น ด้านวิชาการ ผนวกกับการที่เธอชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์เป็นชีวิตจิตใจ จึงตัดสินใจเข้าเรียน ถึงแม้จะเดินทางมาเรียนด้วยความยากลำบาก เพราะถนนขณะนั้นเป็นทางลูกรัง ทำให้ในทุกวันเสื้อผ้าและผมของเธอจะเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดง แต่นั่น ก็ไม่ใช่เป็นอุปสรรคเดียวที่เธอต้องเผชิญ เนื่องจากครอบครัวเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ที่ไม่ค่อยสนับสนุนให้ลูกสาวได้รับการศึกษาเท่าผู้ชาย และประกอบกับการเป็น พี่สาวคนโต ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 9 คน ทำให้หน้าที่ในการดูแลน้องๆ จึงตกเป็นภาระของเธอในขณะนั้น
ด้วยการที่ถูกดูถูกไว้ว่าผู้หญิงเรียน ไปก็แต่งงาน ออกเรือน ส่งเรียนก็เท่ากับเสียเงินฟรี ถ้อยคำต่างๆ เหล่านั้น ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เธอต้องก้าวเดินต่อไป เพื่อลบคำสบประมาท ขณะ ที่เธอเรียนอยู่โรงเรียนประจำจังหวัด บังเอิญมีเพื่อนไปซื้อใบสมัครสอบผู้ช่วยพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี แต่ด้วยคุณสมบัติที่เพื่อนสาวของเธอมีไม่ครบ จึงได้นำใบสมัครมาขายต่อให้ในราคา 10 บาท

เธอ จึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสอบแข่งขัน ด้วยความที่เป็นคนรักในวิชาคณิตศาสตร์ เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าเธอจะสามารถสอบได้คะแนนในวิชานี้เต็ม วันประกาศผลสอบรับ 60 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 1,000 กว่าคน ปรากฏว่ามีชื่อของเธอติดเป็นอันดับที่ 14
หลังจากนั้น จึงได้ตัดสินใจเข้ามาเรียน ผู้ช่วยพยาบาล ที่ รพ.รามาธิบดี และได้รับเงินเดือนเดือนละ 1,250 บาท ผนวกกับการเข้าเวร เฝ้าไข้ตามบ้านเรือนต่างๆ ก็นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และในระหว่างนั้นก็ได้เรียนการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย จนจบ ม.ศ.5 เมื่อไม่ได้ใส่เครื่องแบบสี ขาวในชุดทหารเรือดั่งใจฝัน แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม เธอได้สอบชิงทุนเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยพยาบาล จังหวัดนราธิวาส 2 ปี และกลับมาใช้ทุนที่โรงพยาบาลอัมพวา ในชุดขาวของนางพยาบาล เธอบอกว่า ใจเธอรักไปในเครื่องแบบสีขาวแล้ว
โรงพยาบาลอัมพวาขณะนั้นเป็นสถานี อนามัยชั้นหนึ่ง ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่มีแพทย์ เวลาคนไข้หนักก็จะส่งไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดอย่างเดียว มีนางพยาบาลไม่กี่คน โทรศัพท์ไม่มีต้องใช้วิทยุสื่อสาร ไม่มีไฟฟ้า ใครอยู่เวรต้องปั่นไฟใช้เอง และต้องอาศัยข้าวจากบาตรพระ เธอเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ทำงานเป็นนางพยาบาล 16 ปี การที่เธอลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ดูแลชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ส่งผลดีจนเธอกลายมาเป็นผู้แทนราษฎร ในทุกวันนี้ ชาวบ้านในละแวกนั้นจะเรียกเธอว่า "หมอโอ๋" หลายครั้งเธอ เป็นผู้นำชาวบ้าน ในการร่วมกันคิด พัฒนา ปรับปรุง ถนนหนทาง ท่าเรือ หรือแม้แต่เปลี่ยนสถานีอนามัย เป็นโรงพยาบาล 30 เตียง ที่อาศัยงบหลวงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เธอจึงขอความร่วมมือร่วมใจจากชาวบ้านช่วยกันบริจาคสร้างอาคารขึ้นมา
หลังจากที่เธอใช้ทุนหมด เธอก็สอบชิงทุนต่อในทันที และเรียนจนจบคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขต หาดใหญ่ (มอ.) ใน ขณะนั้นปี 2535 เธอก็กลับมาใช้ทุนต่ออีก 4 ปีที่โรงพยาบาลอัมพวา เป็นช่วงเวลาที่กระแสพรรคพลังธรรมแรงมาก มีคนติดต่อไปลงสมัครเป็น ส.ส.พรรคพลังธรรม แต่ขณะนั้นเธอยังใช้ทุนไม่หมด พอเข้าสู่ปี 2539 ที่จังหวัดสมุทรสงคราม ส.ส.เก่า พรรคประชาธิปัตย์ อย่าง นายวิโรจน์ ณ บางช้าง นายปรีชา คงศรี เขาบอกว่าถ้าเขาแพ้ 3 สมัย เขาจะล้างมือ และจะบวช เลิกเล่นการเมือง เมื่อเขาแพ้ เขาก็บวชและก็เลิกเล่นการเมือง หลังจากนั้นใน จ.สมุทรสงคราม ก็ไม่มีคู่แข่ง มีเพียงคนเดียวคือ ลูกของ แคล้ว ธนิกุล ที่เป็น ส.ส.มาแล้ว 3 สมัย
และแล้ว "จุดเปลี่ยน" ของชีวิต ก็มาถึง เมื่อวันหนึ่งที่เธอไปงานรับปริญญารุ่นน้อง ก็เจอเพื่อนสมัยเรียนที่ มอ. ก็ชักชวนให้เข้าสู่เส้นทางการเมือง ด้วยความที่เขาเห็นภาพเธอเป็นพวกหัวแข็ง หัวรุนแรง เพราะสมัยก่อนจะเป็นผู้นำในการเดินขบวนทุกอย่าง "เจ๊โอ๋" เล่าว่า เราก็บอกว่าเราไม่เอา ไม่มีเงิน เราไม่มีญาติพี่น้องเป็นนักการเมืองเลย จะไปสู้ได้เหรอ เพื่อนก็บอก พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องใช้ตังคให้ใช้ใจสู้อย่างเดียว "เพื่อนก็พา ไปหานายชวน หลีกภัย ที่จังหวัดตรัง พอถึงบ้านนายชวน ประมาณ 1 ทุ่ม ก็เริ่มถามไล่ซักประวัติต่างๆ นานา ขณะนั้นเรามีเงินเพียงแค่ 1 แสน แต่ต้องลาออกจากราชการก่อน เพราะจะได้บำเหน็จ
"นายชวนก็ถามว่า เป็นผู้หญิงถ้าถูกโจมตีเรื่องชู้สาวจะทนได้ไหม ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะแพ้ เพราะการโจมตีเรื่องชู้สาวเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าหนูทนได้ก็เล่นได้ ถ้าหนูทนไม่ได้แพ้น่ะ
"เราก็บอกว่า ลูกปืนหนูยังไม่กลัวเลย นับประสาอะไรจะมากลัวเรื่องชู้สาว เท่านั้นแหละถูกใจแก แกก็บอกว่าถ้างั้นลงได้"
หลังจากนั้น นายชวนก็โทร.หา "อลงกรณ์ พลบุตร" ให้ช่วยดูแล
เธอ เล่าถึงแรงผลักดัน ที่ดลบันดาลใจเธอให้ตัดสินใจก้าวลงสมัครเป็นผู้แทนฯของประชาชน เนื่องจากเธอมองว่า นักการเมือง ขี้โกง ทุจริต มีอิทธิพล และเลวทุกคน เธอจึงได้ตั้งคำปฏิญาณไว้กับตนเองว่า หากเธอได้เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนฯ เธอจะไม่โกงแผ่นดินโดยเด็ดขาด "เวลา จัดปราศรัยใหญ่จะตั้งเวทีที่หน้าวัดหลวงพ่อบ้านแหลม และจะสาบานต่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีจริง สาบานเลยว่าถ้าโกงแผ่นดินขอให้มีอันเป็นไป รวมทั้งแม่และพี่น้อง ก็ขอให้มีอันเป็นไปด้วย"
ครั้งแรกในปีལ ได้ 33,000 คะแนน แพ้ไป 1,800 คะแนน หลังจากนั้นเธอก็ขยันลงพื้นที่ตลอดระยะเวลา 4 ปีเต็ม ครั้งที่สองได้ 51,000 คะแนน จนได้ก้าวเข้ามาเป็น ผู้แทนฯ ลงสมัครครั้งที่ 3 ได้ 55,000 คะแนน ครั้งที่ 4 ได้ 62,000 คะแนน ครั้งที่ 5 ได้ 68,000 คะแนน หลังจากที่เธอเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ แทนฯ ด้วยความที่เป็นคนตรงไปตรงมา ฝีปากกล้า ในปี 2548 ยุบสภา มีพรรคการเมืองขั้วตรงข้าม ชักชวนเธอย้ายพรรคถึง 4 หน ด้วยค่าตัว 10-40 ล้านบาท เธอจึงปฏิเสธกลับไปว่า
"ฉันไม่ใช่กะหรี่การเมืองน่ะ อย่ามาดูถูกฉัน จะให้เราไปยกมือให้โจรมาปกครองประเทศ เราไม่เอา เราเป็นเด็กนายชวน ถ้าเราย้ายพรรคเราไม่ใช่คนแล้ว เท่ากับเราเนรคุณ และไปยกมือให้โจรมาปล้นประเทศ เราไม่เอาหรอก"
หลังจากต่อสู้มาอย่าง หนัก ในเส้นทางสายการเมือง ถึงวันนี้เธอได้เป็น ส.ส. มาแล้ว 4 สมัย และด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่างไปจากผู้แทนฯ คนอื่น เราจะเห็นเธอไปไหนมาไหนโดยขาดคนติดตาม เธอบอกว่า "ไม่จำเป็นเลย ไม่ต้องมีคนขับรถให้ ขับเองได้ อย่าไปกลัว ฟ้าได้ขีดเส้นทางชีวิตมาแล้วว่าต้องตายแบบไหน"
ณ ตอนนี้ ภาพที่เธอเคยสร้างขึ้นในตัวนักการเมืองไทยได้เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยมองว่าผู้แทนฯส่วนใหญ่เลวทุกคน หาดียาก แต่พอได้เข้ามาในวงการนี้ เธอยืนยันได้ว่า ผู้แทนฯไม่ได้เลวไปทุกคน และเธอก็พร้อมจะทำในสิ่งตรงกันข้ามกับคนเลว