เอาข่าวมาฝาก ล่าสุดครับ
http://www.manager.c...D=9560000045686
ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรง ทุบสถิติในรอบ 30 ปี ผวาข่าว ธ.กลางยุโรป เทขายทองสำรองเพื่อล้างหนี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2556 13:21 น.
ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรงมากที่สุดในรอบ 30 ปี หลังมีข่าวธนาคารกลางหลายประเทศในยุโรปเตรียมนำทองคำสำรองในมือ 13 ตัน ออกขายในตลาด เพื่อระดมทุนแก้ปัญหาหนี้สิน
น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ กล่าวว่า ราคาทองคำช่วงสงกรานต์ในตลาดโลกลดลงอย่างรุนแรง จากราคาเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,580 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมาอยู่ที่ 1,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือลดลงถึง 260 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นการปรับลดลงแรงที่สุดตั้งแต่ปี 2526 หรือในรอบ 30 ปี แต่เนื่องจากสมาคมค้าทองคำและตลาดอนุพันธ์ ปิดทำการ ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ และจะเปิดอีกครั้งวันพรุ่งนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนบางส่วนอาจจะอยู่ในสถานการณ์ตื่นตระหนก คาดว่าสมาคมค้าทองคำจะประกาศราคาทองต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท โดยอาจจะลงมาถึง 18,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ขอให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน โดยให้แนวรับของราคาทองไว้ที่ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากยืนอยู่ได้ ก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ แต่หากรับไม่อยู่ก็จะไปที่แนวรับ 1,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับสาเหุตที่ราคาทองคำลดลงแรงในช่วงนี้ เนื่องจากมีข่าวว่า ธนาคารกลางของไซปรัส เตรียมขายทองคำที่ถืออยู่ 13 ตัน เพื่อระดมทุน 400 ล้านยูโร เพื่อแก้วิกฤตหนี้ ทำให้เกิดความวิตกว่า ธนาคารกลางของอิตาลีที่ถือทองคำอยู่ 2,000 ตัน, กรีซและโปรตุเกสที่ถือทองคำรวมกัน 300 ตัน อาจจะเทขายทองคำออกมาเช่นกัน ประกอบกับกองทุนต่างๆ ได้เทขายทองคำออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมทำให้ราคาทองคำลดลงต่อเนื่อง
*เข้ามาเพิ่มครับ มีข่าวล่าสุดกว่า
http://www.manager.c...D=9560000045829
“ทอง” ในตลาดโลก “คลาน” กลับขึ้นมาได้บ้าง หลังดำดิ่งเหวลึกสุดรอบ 30 ปี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
16 เมษายน 2556
18:29 น.
เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ราคาทองคำในตลาดโลกดีดตัวกระเตื้องกลับขึ้นมาเล็กน้อยทางแถบเอเชียในวันอังคาร (16) ภายหลังดำดิ่งทรุดฮวบลงต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี ด้วยเหตุผลข้ออ้างเรื่องตัวเลขอัตราเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังคงอ่อนแอ และรายงานข่าวไซปรัสกำลังวางแผนการขายทองคำสำรองของตนเพือหาเงินชดใช้ภาระหนี้สิน
พวกนักวิเคราะห์บอกว่า มูลค่าของทองคำที่หล่นหายไปถึง 13% ในช่วงระหว่างตอนเปิดตลาดวันศุกร์ (12) จนกระทั่งถึงตอนปิดตลาดวันจันทร์ (15) แสดงให้เห็นว่าการวิ่งตะบึงแบบกระทิงเปลี่ยวของราคาทองคำซึ่งดำเนินมาได้ 12 ปีนั้นได้ยุติลงแล้ว โดยที่พวกนักลงทุนกำลังหันเหออกจากการถือโลหะชนิดนี้ ซึ่งเห็นกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะแก่การประกันความเสี่ยงเมื่อเกิดความวิตกกันว่าอัตราเงินเฟ้อจะขยับสูง
ณ เวลา 10.45 น.ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (ตรงกับ 17.45 น.เวลาเมืองไทย) ราคาทองคำที่ซื้อขายกันในแถบเอเชีย ยืนอยู่ที่ 1,391.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขยับเพิ่มขึ้นมาได้บ้างหลังจากจมดิ่งลงไปจนแตะจุดต่ำสุดที่ 1,338.00 ดอลลาร์ ในการซื้อขายช่วงหนึ่งที่นิวยอร์กเมื่อวันจันทร์ --ซึ่งเท่ากับหัวคะมำลงไป 10.9% เมื่อเทียบกับตอนปิดตลาดวันศุกร์ และถือเป็นการตกแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1983 เป็นต้นมาทีเดียว
การที่ราคาทองคำดิ่งถลาอย่างแรงเช่นนี้ นักวิเคราะห์หาเหตุผลมาอธิบายว่า เนื่องจากนักลงทุนพากันตื่นกลัวหลังจากจีนเผยแพร่ข้อมูลตัวเลขในวันจันทร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจแดนมังกรในไตรมาสแรกปีนี้ชะลอตัวลงอีก มาอยู่ที่ระดับ 7.7% ต่ำกว่าที่พยากรณ์กันไว้และบ่งชี้ให้เห็นว่าการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจจีนในระยะหลังๆ นี้ยังคงอยู่ในภาวะอ่อนเปราะไม่มั่นคง
ข่าวนี้ยังส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่นกัน โดยที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิด “เบรนต์” ในทะเลเหนือ เพื่อการส่งมอบในเดือนพฤษภาคม หล่นลงมาต่ำกว่าขีด 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ทั้งนี้ จีนมีฐานะเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายยักษ์ใหญ่ เพื่อใช้ในการขับดันเศรษฐกิจอันมหึมาของตน
ทางด้าน เคลลี เตียว นักยุทธศาสตร์ตลาดของ ไอจี มาร์เก็ตส์ ในสิงคโปร์ บอกกับเอเอฟพีว่า ราคาทองวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นเวลา 12 ปีแล้ว ดังนั้นเมื่อนักลงทุนที่ถือทองอยู่มองเห็นว่าเวลานี้พวกเขาสามารถทำกำไรได้มากกว่าในตลาดเงินสด ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องเทขาย
ทั้งนี้เป็นที่คาดหมายกันว่า อัตราเงินเฟ้อจะไม่ขยับสูงอะไรแม้ในระยะยาวไกลออกไป ดังที่ตัวเลขทั้งของสหรัฐฯและของจีนก็บ่งชี้ให้เห็น ดังนั้นพวกที่ซื้อทองไว้ในฐานะเป็นเครื่องประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ จึงมีแรงขับดันที่จะปล่อยทองออกไป
อย่างไรก็ตาม เตียวกล่าวว่า ในขณะที่ราคาทองลดต่ำลงเป็นสิ่งที่คาดการณ์กันอยู่แล้ว แต่ความรวดเร็วและขนาดของการกระหน่ำขายคราวนี้ก็ยังทำให้ทุกคนในตลาดพากันตกตะลึง และตลอดช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ตลาดทองยังจะอยู่ในภาวะซึมเซา
นอกเหนือจากเรื่องภาวะเศรษฐกิจแดนมังกรแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตลาดเกิดความไม่สบายใจอย่างแรง ได้แก่รายงานข่าวในสัปดาห์ที่แล้วที่ว่า ธนาคารกลางของไซปรัสกำลังมองหาทางขายทองคำสำรองที่มีอยู่ 14 ตันออกไปสักส่วนหนึ่ง เพื่อหาเงินมาใช้ช่วยการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงรับเงินกู้จากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
จอยซ์ หลิว นักวิเคราะห์การลงทุนแห่งฟิลลิป ฟิวเจอร์ส ในสิงคโปร์ บอกว่ารายงานข่าวนี้สร้างความกังวลขึ้นมาว่า พวกประเทศที่ประสบความลำบากทางการเงินรายอื่นๆ ก็อาจจะเดินตามอย่างไซปรัสก็ได้
หลิวยังกล่าวด้วยว่า ในตอนนี้พวกเทรดเดอร์น่าที่จะถอยออกมาจากการถือโลหะมีค่าชนิดนี้ ซึ่งถูกมองว่ามีความปลอดภัยเหมาะแก่การถือเอาไว้ในเวลาที่เศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน ทว่ามาถึงตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯแสดงอาการฟื้นตัวแล้ว ส่วนวิกฤตยูโรโซนก็คลี่คลายไปได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม จูเลียน เจสซอป หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกของ แคปิตอล อีโคโนมิกส์ ในสิงคโปร์ ให้ความเห็นเอาไว้ในบทวิจารณ์ความเป็นไปของตลาดชิ้นหนึ่งว่า ราคาทองทรุดฮวบคราวนี้มีชนวนมาจาก “พวกเทรดเดอร์ที่เก็งกำไร ไม่ใช่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวหรือพวกเทรดเดอร์ที่อิงปัจจัยพื้นฐานใดๆ ทั้งสิ้น”
แต่เขาก็ชี้ด้วยว่า ราคาทองยังทรุดตัวลง เพราะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรม ต่างก็อยู่ในสภาพอ่อนตัว สืบเนื่องจากข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯและของจีนต่างก็ปวกเปียกลงมา เขาคาดหมายว่า ในทันทีที่ตลาดหายจากความแตกตื่น ราคาทองก็อยู่ในสภาพที่จะกระเตื้องกลับขึ้นไปได้อย่างน้อยก็บางส่วน
เมื่อเป็นเช่นนี้ นักลงทุนควรรีบกลับเข้าไปช้อนซื้อทองคำที่ถูกลงมากแล้วหรือไม่ เอมี ลี แห่งบริษัทอัญมณีและทองคำ ปัก คง จิวเวลเลอรี แอนด์ โกลด์สมิธ ในฮ่องกงบอกว่า พวกผู้ซื้อที่เคยรีบวิ่งเข้าไปซื้อทองหลังจากราคาหล่นวันแรกในวันศุกร์นั้น มาถึงวันอังคารต่างก็ใจเย็นลงมากแล้ว และหันมาเฝ้ารอให้ราคาตกลงไปอีก
ทางด้าน จิม โรเจอร์ส กูรูด้านการลงทุนที่ตั้งฐานอยู่ในสิงคโปร์ บอกว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่จะยังไม่เข้าไปซื้อทอง เพราะเห็นว่าราคายังน่าจะตกลงไปอีก
“ถ้ามันลงมาต่ำพอแล้ว ผมจึงจะเริ่มซื้ออีกครั้งหนึ่ง” โรเจอร์ส กล่าว
Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 17 เมษายน พ.ศ. 2556 - 02:56.