ตั้งโต๊ะเจรจาปรองดอง 6 ข้อ แก้รธน.-โละผิดเหลืองแดงเอาปรองดองมาอ้าง
หลอกพวกโง่โลกสวยให้เห็นด้วยทำประชามติก่อนเข้าสภา
ยิ่งเป็นไพ่ใบสุดท้ายของมันถ้าเราไม่ให้ตามที่มันต้องการมันจะดิ้นพล่านขนาดไหน
http://www.matichon....lday=2011-12-12
ตั้งโต๊ะเจรจาปรองดอง6ข้อ ไอเดีย"แม้ว" แก้รธน.-โละผิดเหลืองแดง
ทำประชามติก่อนเข้าสภา ทนายปชป.ขู่ฟ้องกลับตร. ย้าย"อากง"ขังคุกหลักสี่
"นพดล"เปิดสาร"ทักษิณ "6 ประเด็นหวังเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อสร้างความปรองดอง มีทั้งแก้ รธน.-เลิกมาตรา 237-โละคดีเสื้อเหลือง/แดง-คดีอาญาที่ไม่เป็นธรรม พร้อมเชิญทุกฝ่าย ทหาร นักการเมือง นักธุรกิจ ร่วมหารือ ก่อนใช้กระบวนการรัฐสภาแก้ไข พร้อมทำประชาพิจารณ์-ประชามติโดยประชาชน
เปิดสาร"แม้ว"6ข้อเจรจา
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงต้องการเดินหน้าสร้างกระบวนการปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย พร้อมยกเงื่อนไข 6 ข้อในการเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเพื่อความสมัครสมานสามัคคีที่แท้จริง ขณะที่พรรคเพื่อไทย(พท.) เรียกประชุม ส.ส.ของพรรคในวันที่ 13 ธันวาคม เพื่อเตรียมเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม รวมถึงพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หลังมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยประชุมสามัญนิติ บัญญัติในวันที่ 21 ธันวาคม
นายนพดลให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชน" ถึงกระบวนการสร้างความปรองดองตามแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณว่าหากมองในภาพรวมๆ แนวทางการเปิดโต๊ะเจรจาคงประกอบด้วย 1.คดีทางการเมืองจะทำอย่างไร เช่น การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมืองของบ้านเลขที่ 111 และ 109 เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม นั่นคือมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ 2.คดีอาญาที่ต่อเนื่องหลายคดี ที่เริ่มด้วยการเอาคนที่เป็นปฏิปักษ์และมีอคติต่อ พ.ต.ท. ทักษิณมาสอบ คือคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน(คตส.) 3.เรื่องยึดทรัพย์ 4 หมื่นกว่าล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ยุติธรรมแล้วหรือ เพราะคำพิพากษายึดทรัพย์ตัดแบ่งนับตั้งแต่ทรัพย์ในวันที่เป็นนายกฯ ยึดหมด วันที่เป็นนายกฯหุ้นขึ้นโดยธรรมชาติ แล้วถูกยึดไปด้วย สมมุติว่า พ.ต.ท.ทักษิณโกง อย่างน้อยก็ควรให้ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องไว้
ใช้รัฐสภาเดิน-ทำประชามติ
4.การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม คิดว่ามีหลายคดีที่เห็นแล้วไม่สบายใจ ต้องมาคุยกัน 5.เป็นเรื่องคดีความของทั้งสองฝ่าย ทั้งคดีเสื้อเหลืองและเสื้อแดง จะทำอย่างไร และ 6.แก้ไขรัฐธรรมนูญ คิดว่าควรกลับไปสู่ฐานของรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือนำฉบับ 2540 มาใช้ก็จะปลดเงื่อนไขยุบพรรคตามมาตรา 237 ไปด้วย
"การดำเนินการทั้งหมดควรใช้กระบวน การรัฐสภา เพราะส.ส. ส.ว. เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย และรัฐสภาก็มีความสามารถออกกฎหมายต่างๆ ได้ จากนั้นก็ทำประชาพิจารณ์ และประชามติให้ประชาชนตัดสิน แล้วแต่จะยกทั้ง 6 ประเด็น หรือสังคมคิดว่าประเด็นไหนสำคัญเร่งด่วน แต่ทุกภาคส่วนต้องมาคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นทหาร ข้าราชการ นักการเมือง ประชาชน นักธุรกิจ วิชาชีพอิสระ ตัวแทนสาขาอาชีพ สื่อมวลชน ให้แต่ละฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น ว่าจะให้อยู่กันแบบทะเลาะกันไปเรื่อยๆ ดีหรือไม่ คิดว่าหลายคนที่เป็นผู้ใหญ่ก็คงอยากจะเห็นบ้านเมืองปรองดอง เพราะที่ผ่านมาสูญเสียพลัง เสียโอกาส สูญเสียอนาคตประเทศมามากแล้ว" นายนพดลกล่าว
พท.เร่งแก้รธน.-กม.นิรโทษฯ
ส่วนที่ พท. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท.แถลงว่า พรรคเพื่อไทยจะเรียกประชุมพรรคในวันที่ 13 ธันวาคม เพื่อหารือการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติในวันที่ 21 ธันวาคม โดยขอให้พิจารณาการเสนอกฎหมายต่างๆ และเตรียมความพร้อมในการประชุมสภา ทั้งนี้จะมีการเสนอให้ที่ประชุมพรรคพิจารณาการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม บางมาตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะที่ผ่านมาเป็นแค่ความเห็นของสมาชิกพรรคบางคน จึงต้องนำเข้าหารือในการประชุมพรรคอีกครั้งหนึ่ง
แจงเหตุยันส.ส.บินสิงคโปร์พบ"แม้ว"
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีแกนนำและ ส.ส.เพื่อไทยบินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประเทศสิงคโปร์ว่า การที่แกนนำและ ส.ส. ของพรรคเดินทางไปพบผู้ใหญ่ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคคลที่คนพรรคให้ความเคารพ นักธุรกิจและเพื่อนก็ไปพบ อีกทั้งใกล้ปีใหม่แล้ว จึงเดินทางไปอวยพรปีใหม่ การพบปะกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีนัยยะการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งจะมีแค่ ส.ส.บางคนเดินทางไปหลังการประชุมพรรค ยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซง พ.ต.ท.ทักษิณอาจถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่ความเป็นคนไทยยังมีอยู่ก็พบกันได้ไม่มีปัญหา
โต้ปชป.นายกฯปู ไม่ใช่หุ่นเชิด
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวตอบโต้กรณีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ระบุการที่แกนนำและ ส.ส.เพื่อไทยบินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประเทศสิงคโปร์ สะท้อนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นเพียงนายกฯหุ่นเชิด ว่า การพูดของนายชวนนท์ เป็นเพียงการจินตนาการไปเอง เนื่องจากรัฐธรรมนูญยืนยันชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ การบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯหุ่นเชิด และการจะปรับ ครม.เป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลขอปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว เพราะการปรับ ครม.เป็นเรื่องที่แกนนำเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องหารือกัน และยืนยันว่ายังไม่ได้มีการหารือกัน และเชื่อว่าการปรับ ครม.เป็นเรื่องปกติไม่น่าจะมีปัญหาจนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ
ยันไม่เขี่ยพรรคร่วมทิ้ง
"ในความเห็นส่วนตัวการปรับ ครม.น่าจะมีในปี 2555 ช่วงเดือนมกราคม ไม่อยากให้ ปชป.ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพื่อลดเครดิตหวังผลทางการเมือง การให้ข่าวของนายชวนนท์เหมือนแกว่งปากหาเรื่อง ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.อบรมสั่งสอนเรียกมาตบปากหน่อยก็ยังดี" นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีเสียง 300 เสียง เพื่อทำงานให้สภาราบรื่น จึงไม่ใช่เรื่องจริงที่มีข่าวว่าจะมีการปรับพรรคร่วมบางพรรคออกจากการร่วมรัฐบาล เพราะยังมีความจำเป็น เพื่อให้มีจำนวนเสียงถึง 300 เสียง
ปชป.ไม่ค้านแต่อย่าลุกลี้ลุกลน
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ปชป.ไม่เคยต่อต้านหรือขัดขวาง ไม่เคยพูดว่ารัฐธรรมนูญ 2550 แตะต้องไม่ได้ เพียงแต่ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกระบวนการโดยอิสระ ไม่มีวาระทางการเมือง รัฐธรรมนูญปี 2550 และ 2540 ต่าง มีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้มีการตั้ง ส.ส.ร.โดยผ่านการคัดเลือกของสมาชิกรัฐสภานั้น ถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ ควรให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยอิสระ สมาชิกรัฐสภาไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะอยู่ในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย จะมีข้อครหาการเล่นพรรคเล่นพวก สนับสนุนคนของตัวเองเข้าไปเป็น ส.ส.ร. ผลผลิตของรัฐธรรมนูญจะบิดเบี้ยวไม่เป็นตามเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่ อยากให้ทุกฝ่ายตั้งสติ เอาจุดอ่อนจุดแข็งของรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 มาศึกษาและปรับปรุงแก้ไขให้เป็นรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์
"ที่อ้างว่าฉบับ 2540 มาจากประชาชน อย่าลืมว่าฉบับ 2550 ก็ผ่านการลงประชามติจากประชาชน 14 ล้านเสียงเช่นกัน ฉะนั้น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ควรมาจาก ส.ส.ร. และเมื่อร่างเสร็จควรที่จะผ่านการทำประชามติด้วย อยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความรอบคอบ ไม่ควรรีบเร่งหรือลุกลี้ลุกลนเหมือนบางฝ่ายที่เคลื่อนไหวเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญไปรับใช้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถแก้ไขได้ จะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคมอีก" นายเทพไทกล่าว
ราชทัณฑ์แจงเกณฑ์นักโทษ
ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงหลักเกณฑ์การย้ายนักโทษคดีการเมืองมาคุมขังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้อภิสิทธิ์กลุ่มคนเสื้อแดงรวมถึงนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เพิ่งเข้ามมอบตัวในคดีก่อการร้าย มากเกินไปว่า กรมราชทัณฑ์ได้พิจารณาหลักเกณฑ์หรือคำจำกัดความคดีการเมือง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) 4 กลุ่ม คือ 1.ผู้ต้องขังคดีมั่วสุ่มตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป 2.ผู้ต้องขังที่กระทำผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน 3.ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกระทำผิดมาตรา 112 และ 4.ผู้ต้องคดีผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน สำหรับกลุ่มที่ 3 และ 4 เป็นผู้ต้องขังกลุ่มเดียวกัน ส่วนจำนวนกี่รายต้องตรวจสอบอีกครั้ง เพราะบางรายได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว ส่วนผู้ต้องขังต่างจังหวัดคงไม่จำเป็นต้องย้ายมายังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ เพราะญาติอาจไม่สะดวกในการเยี่ยม
ยันไม่มี"ฟิตเนส"หรูในคุก
พ.ต.อ.สุชาติยังกล่าวถึงความคืบหน้าการปรับปรุงสถานที่คุมขังพิเศษ หลักสี่ หรือเรือนจำชั่วคราว หลักสี่ อยู่ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์การควบคุม คืบหน้าไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ภายในมีการทาสีฝาผนังใหม่ จากโครงสร้างทั้งหมด 4 ชั้น ชั้น 1 จะเป็นสถานที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ สำหรับชั้น 2-4 เป็นห้องควบคุมผู้ต้องขังคล้ายกับในเรือนจำปกติ มีห้องน้ำก่อกำแพงประมาณ 1 เมตร ไม่มีประตู ส่วนกรณีที่ระบุว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเป็นพิเศษ หรือมีฟิตเนส หรูหรา ขอยืนยันว่าไม่มีอย่างแน่นอน และอาจเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะชั้น 4 ของอาคารจะเป็นลานกิจกรรม ให้นักโทษกลุ่มนี้ได้ผ่อนคลาย ทำกิจกรรรมตามปกติ เนื่องจากสถานที่คุมขังดังกล่าวไม่มีพื้นที่เป็นลานกว้างเหมือนเรือนจำทั่วไป ดังนั้น การมีลานกิจกรรม ลานกีฬา เป็นเพียงสถานที่ผ่อนคลายความเครียดเท่านั้น
ย้ายล็อตแรกก่อน28คน
"หลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันไปว่าหรูหรา วีไอพี ความจริงมันคงไม่สะดวกสบาย มาก มายอะไร ตามสภาพ เราต้องการแยกให้เห็นว่านักโทษการเมือง กับนักโทษอาชญากรรม ตามปกติ มีความแตกต่างกัน เพราะสาเหตุของการเกิดคดีก็ต่างกัน ทั้งนี้ ถ้าหากการปรับปรุงเสร็จสิ้นจะพาสื่อมวลชนไปเยี่ยมชมของจริง" พ.ต.อ.สุชาติกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนักโทษคดีทางการเมือง จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯที่เตรียมย้ายไปคุมขังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ กลุ่มแรกประมาณ 28 ราย เป็นกลุ่ม นปช.คดีความมั่นคง 18 ราย และคดีหมิ่นสถาบัน 10 ราย ในจำนวน 10 รายมีนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ 60 ปี แกนนำกลุ่มแดงสยาม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ นปช. นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ "อากง" อายุ 61 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี นางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด ทั้งนี้กรมราชทัณฑ์ได้สั่งการให้ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในฐานะผู้ดูแล แต่งตั้งผู้คุม 5 นายและผู้ช่วยผู้คุมที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล อีก 5 นาย เพื่อเตรียมพร้อมไปประจำการชั่วคราวหลักสี่ทันทีที่่รับมอบพื้นที่ และโอนย้ายผู้ต้องขังไปควบคุมในวันที่ 21 ธันวาคมนี้
เร่งสำนวนคดี16ศพส่งอัยการ
ส่วนความคืบหน้ากรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) สอบสวนคดีชันสูตรพลิกศพเหตุการณ์สลายการชุมนุมช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เพื่อสรุปว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตหรือไม่ โดยอ้างว่ามีพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่ง บช.น.มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดยมีสำนวนที่นำมาชันสูตรทั้งสิ้น 16 สำนวนนั้น เมื่อเวลา 13.30 น. พล.ต.ต.อนุชัย ได้เปิดเผยว่าได้เรียกประชุมหัวหน้าพนักงานสอบสวนแต่ละชุด เพื่อติดตามความคืบหน้าสำนวนทั้งหมดที่ สน.บางรัก และเน้นย้ำเรื่องรายละเอียดในสำนวนให้มีความรอบคอบรัดกุมมากที่สุด ซึ่งสำนวนที่รับทำทั้ง 16 สำนวน เสร็จไปแล้ว 5 สำนวน ส่วนคดีของนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่าวภาพชาวอิตาลีนั้นทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งไปยัง สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน เพราะเป็นพื้นที่เกิดเหตุ โดยยังไม่ได้รับสำนวนมาเพิ่มเติม เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานใหม่ว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งสำนวนอื่นที่ไม่มีเพิ่มเติมเพราะเรื่องนี้ต้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เซ็นคำสั่งอนุมัติ อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนเร่งทำงานเต็มที่ และเชื่อว่าวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันครบกำหนดจะสามารถส่งสำนวนให้ทางอัยการได้แน่นอน
ทนายยัน"มาร์ค"ทำตามกม.
นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ หัวหน้าสำนักกฎหมาย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในฐานะทีมทนายส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ ที่ร่วมฟังการให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนกรณีการเสียชีวิต 13 ศพ จากการกระชับพื้นที่วันที่ 10 เมษายน 2553 เปิดเผยว่า จาการร่วมฟังการซักปากคำของพนักงานสอบสวน รวมถึงการศึกษาประเด็นการให้ปากคำของนายสุเทพ น้ำหนักในการซักถามไม่มีอะไรเลย โดยนาย สุเทพในฐานะ ผอ.ศอฉ.ถือเป็นผู้สั่งการตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และได้ออกประกาศ คำสั่ง ในการปฏิบัติการครบถ้วน และทุกคำสั่งก็ไม่มีการสั่งให้ยิงประชาชนหรือให้ใช้ความรุนแรง ตรงข้ามกลับมีคำสั่งให้ปฏิบัติด้วยความละทุนละม่อม ไม่ใช่อาวุธ และหากจำเป็นต้องยิงเพราะมีสถานการณ์พิเศษ ก็มีคำสั่งเรื่องใช้อาวุธเป็นการเฉพาะ โดยให้ยิงในระดับต่ำในจุดไม่สำคัญ ส่วนนายอภิสิทธิ์ถือว่าต้องตัดตอนออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้เป็นคนสั่งในปฏิบัติการ เพียงแต่เป็นคนใช้อำนาจประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและตั้ง ศอฉ. ส่วนการประชุม ศอฉ.นานๆ ทีนายอภิสิทธิ์จะเข้าเพียงแค่รับฟัง
งัดหลักฐานภาพยิงมุมสูงสู้
นายบัณฑิตกล่าวว่า สำหรับปฏิบัติการวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่แยกคอกวัว ได้นำหลักฐานทั้งซีดี คลิปภาพและเสียงให้ตำรวจไปทั้งหมด ที่สำคัญคือผู้เสียชีวิตประกอบด้วยหลายส่วน ได้แก่ ประชาชน ทหาร และนักข่าวต่างประเทศ และยืนยันกับตำรวจว่า ผู้เสียชีวิตมาจากฝีมือของกองกำลังชุดดำที่เข้าแฝงตัวในผู้ชุมนุม ส่วนกำลังทหารที่ปฏิบัติการ มีเพียงโล่และกระบอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่คาดการณ์ด้วยซ้ำว่าจะมีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ ไม่นั้นคงเตรียมการมากกว่านี้ และเป็นการปฏิบัติการเพื่อขอคืนพื้นที่การจราจรจากฝั่ง กทม.-ธนบุรี เพราะผู้ชุมนุมปิดทางไว้หมด ถ้าเป็นการเข้าสลายการชุมนุมจริง กำลังที่ใช้ต้องเยอะกว่านี้มาก เมื่อทหารเคลื่อนตัวเข้าไป ชายชุดดำก็ตอบโต้ด้วยการยิงอาวุธสงครามเข้ามาทำให้ทหารแตกกระเจิงได้รับบาดเจ็บ จะยิงตอบโต้ก็ไม่ได้เพราะชายชุดดำเอาคนเสื้อแดงเป็นโล่กำบัง และคนเสื้อแดงที่ถูกยิงก็มาจากกระสุนของชายชุดดำดังภาพที่ชายชุดดำตั้งป้องยิงลงมาจากระเบียงอาคาร ข้อมูลเหล่านี้เราได้ให้กับตำรวจไว้ทั้งหมด
"ถามว่าประชาชนจะเอาอาวุธสงครามมาจากไหน แล้วถ้าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ แล้วทหารจะยิงกันเองทำไม ทหารจะยิง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ไม่มีอาวุธในมือทำไม ยังไม่รวมรองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ถูกยิงจนขาพิการอีก ขนาดทหารถอยร่นเพื่อไปขึ้นรถพยาบาลที่หน้าวัดบวรนิเวศฯ ยังตามไปกระทืบอีก และในคลิป ที่มอบให้ตำรวจ ก็มีบันทึกเสียงผู้ชุมนุมพูดชัดเจนหลายคนว่า กองกำลังมาช่วยแล้ว ไม่น่าเป็นพวกทหาร เพราะยิงทหาร และยังขอบคุณกองกำลังไม่ทราบฝ่ายนั้นด้วยซ้ำ เรื่องนี้ยืนยันกับตำรวจไปว่า มีความสอดคล้องกับคำปราศรัยของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช.เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2553 ที่ระบุจะมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมาร่วมต่อสู้กับทหาร และสอดคล้องกับช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 ที่เริ่มปรากฏกองกำลังชุดดำเคลื่อนไหวจริง และชัดเจนเข้าปฏิบัติการวันที่ 10 เมษายน 2553" นายบัณฑิตกล่าว
ชี้เลือก"ฮิโรยูกิ"จุดกระแสโลก
นายบัณฑิตกล่าวว่า ส่วนกรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นสำนักข่าวรอยเตอร์ ถูกยิงเสียชีวิตที่ถนนดินสอ มีความพยายามโยงเพื่อยกระดับขยายผลสู่ต่างประเทศ เหมือนกับเหตุจลาจลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกแล้วมีนักข่าวต่างประเทศเสียชีวิต ทางต้นสังกัดก็ไม่ยอมและเกิดเป็นเรื่องใหญ่โต แล้วทหารจะอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ ชัดเจนฝ่ายกองกำลังมีการเลือกเป้าหมายที่ชัดเจน
"มันมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง บิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิด ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ไปให้ปากคำในฐานะพยานในสำนวนคดีชันสูตรพลิกศพเท่านั้น และตำรวจก็ไม่มีสิทธิตั้งข้อกล่าวหาทั้งสองได้เลย เพราะไม่ใช่สำนวนคดีอาญา หากจะดำเนินการต้องเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ในการไต่สวนการใช้อำนาจ ดังนั้น ในวันที่ 17 ธันวาคม เมื่อครบกำหนดตำรวจส่งสำนวนให้อัยการ อัยการก็ฟ้องอาญาทั้งสองคนไม่ได้ อย่าลืมว่าที่อัยการส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพให้ตำรวจช่วยสอบสวน เพื่อประกอบสำนวน ซึ่งตำรวจระบุในหนังสือ เชิญชัดเจน เรื่องนี้มีการปั่นกระแสกันจนวันให้ปากคำมีนักข่าวไป บช.น.แทบเหยียบกันตาย ดังนั้น หากตำรวจตั้งข้อกล่าวหาก็ตั้งไป เพราะเราไม่กลัว ถ้าไม่กลัวถูกฟ้องกลับว่าฟ้องเท็จ ก็ตั้งเลย มีความพยายามที่จะลากเอานายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพไปเป็นตัวประกันเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมนั้นขอปฏิเสธ และขอสู้คดีถึงที่สุดทั้ง 3 ศาล" นายบัณฑิตกล่าว
พท.แขวะเสีย"เทพ"รักษา"มาร์ค"
ขณะที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีนายอภิสิทธิ์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรค ปชป. ในฐานะอดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เข้าให้ปากคำการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า รู้สึกแปลกที่สมาชิก ปชป.ออกมาปกป้องนายอภิสิทธิ์ โดยระบุว่านายสุเทพเป็นผู้ดำเนินการสั่งในฐานะ ผอ.ศอฉ. ทั้งที่ข้อเท็จจริงนายอภิสิทธิ์ในขณะนั้นเป็นนายกฯ เป็นผู้แต่งตั้ง ศอฉ. จึงมองได้ว่า ปชป.พยายามกันนายอภิสิทธิ์ออกมา ยอมเสียเบี้ยเพื่อรักษาขุนไว้ รักษานายอภิสิทธิ์เหมือนไข่ในหิน
นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อว่า ขณะที่การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2551 ซึ่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ใช้อำนาจโดยเอกสาร แต่สั่งด้วยวาจาทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนายสมชายในฐานะนายกฯ ซึ่งน่าจะมีส่วนรู้เห็น นี่คือมาตรฐาน เมื่อนายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งและมีการสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรโดยตั้ง ศอฉ. นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะปฏิเสธได้อย่างไร เชื่อว่าวันนี้ถ้าใช้มาตรฐานเดียวกันตัดสินนายสมชาย วันนี้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพหนีความรับผิดชอบไปไม่พ้น
ปูด"พล.อ."บึ้มกองสลาก
ด้านความคืบหน้ากลุ่มคนร้ายลอบวางระเบิดหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถนนราชดำเนิน เพื่อหวังก่อกวนก่อนเทศกาลปีใหม่ 2555 นั้น นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทยได้รับข้อมูลว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวเป็นกลุ่มอำนาจเก่า และเป็นกลุ่มเสียผลประโยชน์ พยายามเคลื่อนไหวเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล ซึ่งน่าห่วงว่าถ้าสร้างสถาน การณ์ช่วงเทศกาลปีใหม่ จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ส่งผลต่อภาพลักษณ์ในสายตานักท่องเที่ยวและนักลงทุนจึงอยากเรียกร้องขอให้เลิกสร้างสถานการณ์
"ขนาด พล.อ.สนธิ (บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคมาตุภูมิ) ซึ่งเคยเป็นผู้ยึดอำนาจยังบอกว่าการยึดอำนาจเสียเปล่า ฉะนั้นคนที่คิดอย่างนี้ควรเลิก เพื่อไม่สร้างตราบาปให้ประเทศไทย อยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานความั่นคง ดำเนินคดีและสาวถึงตัวบงการ จะได้รู้ว่าไอ้โม่งมีใครไม่กี่คน และจะได้รู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นกลุ่มคนมีสีนอกแถว แล้วมียศเป็นถึง พล.อ.คนเหล่านี้ผม มองว่าเป็นคนหนักแผ่นดิน" นายพร้อมพงศ์กล่าว
"เฉลิม"ปูดมีระเบิดอีก
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่าเป็นแค่การสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมือง โดยกลุ่มนี้เป็นพวกฝ่ายการเมืองมือสั่น มีความพยายามที่จะใส่ร้ายกลุ่ม นปช. เนื่องจากมีการนำเสื้อแดงไปยัดใส่ในกระเป๋าที่ซุกระเบิดแสวงเครื่อง และต้องการแย่งเนื้อที่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ "ไอ้กลุ่มพวกนี้เมื่อก่อนก็ชอบไปยุ่งกับคณะปฏิวัติ แต่เมื่อหลังการปฏิวัติแล้วได้เข้าไปทำงานในรัฐสภา แล้วก็กลับหันมาด่าคณะปฏิวัติ
ร.ต.อ.เฉลิมเปิดเผยอีกว่า กลุ่มนี้จะก่อเหตุอีก โดยจะเป็นการก่อเหตุลักษณะสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง อย่างมีเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นความตั้งใจจะทำให้เห็นว่ารัฐบาลไร้เสถียรภาพ หรือสั่นคลอนและไม่สามารถปกครองได้
"ผมถือว่ามันเป็นแก๊งอัปปรีย์ แก่ใกล้ตายแล้ว ถ้าเป็นผมเข้าวัดแล้ว จะมาทำอะไรอีก มาสร้างสถานการณ์พอมีเหตุการณ์รุนแรงตัวเองก็ไม่ได้อะไร" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ผบช.น.เผยบึ้มโยง3จุด
ขณะที่ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยว่า จากตรวจสอบเหตุระเบิดกับที่ผ่านมาพบว่ามีตรงกัน 3 จุด คือ 1.ซอยราชวิถี 24 ตอนค่ำ วันที่ 5 พฤษภาคม 2550 ท้องที่ สน.ดุสิต เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นช่วงเกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยึดอำนาจอดีตนายกฯทักษิณ ตรงข้ามพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 2.หน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) และ 3.เมเจอร์รัชโยธิน ซึ่งเป็นระเบิดดินดำ ในช่วงปีใหม่ตำรวจคงวางกำลังสายตรวจและตั้งจุดตรวจจุดสกัดให้เข้าที่ นอกจากนี้ยังเพิ่ม สน.ย่อย นำร่องไปก่อน 5 โรงพัก คือ 1 ตำรวจ 4 อาสา โดยหากทำแล้วได้ผลก็จะทำเพิ่ม เพราะสามารถเพิ่มจุดตรวจได้ 300-400 จุดโดยใช้กำลังตำรวจไม่มาก เมื่อถามว่า กลุ่มพวกนี้พอทราบหรือไม่ว่าเป็นพวกใด พล.ต.ท.วินัยกล่าวว่า เดี๋ยวนี้ระเบิดไม่ใช่พวกทหารตำรวจแล้ว แต่เป็นกลุ่มการเมืองที่วางเพื่อหวังผล แต่ก็ไม่ได้หวังผลในเรื่องชีวิตร่างกาย หวังผลเพื่อก่อความไม่สงบ