อาจเป็นเรื่องปกติของบรรดาส.ส.หรือรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่จะเดินทางไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่การเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮ่องกง ของ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กำหนดวันที่ 1 พฤษภาคม ที่แม้จะสังกัดพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อเป็น "ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ" คำถามถึงความเหมาะสมจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องสปริงนิวส์ยืนยันถึงเรื่องนี้ โดยบอกว่าจะตามไปสมทบพร้อมกับ เจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาอีกคนหนึ่ง... สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกไปพบนั้น วิสุทธิ์ สงสัยว่าจะเป็นเพราะในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย สมศักดิ์ ได้พยายามแสดงความเป็นตัวของตัวเองด้วยการบอกว่า ขอสงวนความเห็นไว้ว่าจะไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่...
ความเคลื่อนไหวของฝ่ายนิติบัญญัติในครั้งนี้ ดูเหมือนจะสอดรับกับความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญที่เรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ลาออกจากตำแหน่ง จนล่าสุดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ส่งตัวแทนไปร้องตำรวจกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีแกนนำเสื้อแดง แต่นั่นกลับทำให้ "แผนกดดันตุลาการ" พลิกผันไปสู่จุดแตกหัก...
ในจังหวะที่ดีกรีความร้อนกำลังไต่ระดับเช่นนี้... กำหนดนัดหมาย "ยกระดับการชุมนุม" จะมีขึ้นในวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองปราบปรามเดินทางมาเชิญแกนนำที่แจ้งความดำเนินคดีไปรับทราบข้อกล่าวหา... วันนั้นก็จะเป็นวันที่ผู้ชุมนุมประกาศให้ปฏิเสธอำนาจศาลอย่างสิ้นเชิง มีความเป็นไปได้ว่า จะมีคนสะกิดให้คนที่คิดเหมือนกันทำแบบเดียวกัน... นั่นก็คือ ใครอยู่อำเภอใด จังหวัดใด ก็ให้ไปยื่นหนังสือที่นั่น เพื่อแสดงให้เห็นการปฏิเสธอำนาจตุลาการ... เพราะเวลานี้ บรรดานักการเมืองทั้งหลาย ได้รับสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน หาไม่แล้ววันใดที่ยุบสภา ก็อย่าได้มาฟูมฟายในภายหลังว่า ไม่มีตั๋วให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง !
... เพราะประเมินกันในวันนี้ หรืออีก 3 เดือนข้างหน้า หากยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คงไม่มีใครสงสัยว่าพรรคใดจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง... คนที่ขวางทางก็เท่ากับฆ่าตัวตายทางการเมืองชัดๆ... 20 คนที่ไปยื่นเรื่องชี้แจงให้ศาลรัฐธรรมนูญกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วมีคนไปร้องให้ตรวจสอบว่าขัดกับ มาตรา 68 หรือไม่นั่น ว่ากันว่า เตรียมตัวหาสังกัดใหม่กันได้เลย...
... เมื่อโลกได้รับรู้แล้วว่ามีกลุ่มคนและตัวแทนประชาชนปฏิเสธอำนาจตุลาการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการยื่นรายชื่อถอดถอนตุลาการทั้ง 9 คน เพราะในเมื่อจะรุกแล้วมันก็ต้องรุกให้ถึงที่สุด นั่นก็ย่อมหมายความว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญจะยังคงยืดเยื้อต่อไป แม้ว่าจะมีกลุ่มองค์กรพิทักษ์ปกป้องมาตุภูมิและเครือข่ายนำโดย วิรัช รัตนชาติ, วันธงชัย ชำนาญกิจ อดีตผู้ร้องศาลรัฐธรรมนูญในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 กาญจนี วัลยะเสวี แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักสงบ จะเดินทางมาให้กำลังใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมประกาศจะต่อสู้เพื่อปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นเพียง "สะเก็ดไฟ" ที่วูบสว่างได้เพียงแค่กะพริบตา...
ขณะที่กองทัพเองก็ดูจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว ได้แต่ชะเง้อคอมองตาปริบๆ ขนาด สมช.ลากแขนลากขาไปเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น แล้วทำท่าจะเสียท่าโจร ก็เห็นทำเฉย จังหวะนี้จึงเป็นช่วงของการค่อยๆ นวดให้น่วม แล้วค่อยๆ เริ่มปลดล็อกทีละเปลาะๆ เพื่อให้อุปสรรคที่จะนำไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมและกฎหมายปรองดองอ่อนล้าที่สุด
... ในจังหวะที่สถานการณ์ในประเทศกำลังอยู่ในช่วงกดดัน ก็ใช้จังหวะการเดินทางไปมองโกเลียของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปสาธยายให้นานาชาติได้รับรู้ความเจ็บปวดของพี่ชาย ที่ต้องถูกยึดอำนาจ ประเทศไทยขาดประชาธิปไตยมานานหลายปี เพื่อให้ต่างชาติที่มาร่วมประชุมได้สะทกสะท้อนเห็นอกเห็นใจในโชคชะตา...
"...ดิฉันขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่า ดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับ ที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 คนในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ต้องเผชิญ จะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศไทย"
เรียกว่า เดินหมากทุกตัว ในทิศทางเดียวกันหมด !
... ยิ่งเมื่อกลุ่มต้านปลุกกระแสไม่ขึ้น การรุกอย่างไร้ขีดจำกัดจึงเกิดขึ้น ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติถูกเรียกไปคุยที่ฮ่องกง ประมุขฝ่ายบริหารก็ไปโอดครวญถึงความทุกข์ยากของพี่ชายถึงมองโกเลีย เหมือนอย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศได้ไปสัมภาษณ์แกนนำพรรคเพื่อไทยและได้รับคำยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ผู้บริหารตัวจริง ผ่านสไกป์... และนี่คือสิ่งที่ชัดเจนว่าอำนาจและบารมีของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีอยู่จริง...
การปฏิเสธอำนาจตุลาการจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดา เพียงแต่ว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นนั้นใช้วิธีที่ให้ประชาชนเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน และอาจจะต้องเผชิญกับอำนาจรัฐที่เลี่ยงไม่ได้กับการเข้ามาดำเนินการตามหน้าที่ ปัญหาก็คือว่า เมื่อมีการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ แกนนำจะมีชะตากรรมเดียวกับแกนนำเสื้อแดงที่ยังติดคุกอยู่จนถึงทุกวันนี้หรือไม่
มีคำพูดหรูๆ ฟังดูฮึกเหิมว่า ประชาธิปไตยไม่ได้มาจากการร้องขอ แต่มาจากการต่อสู้ แต่ความสูญเสีย ทั้งทรัพย์สิน เงินทอง ชีวิต หรือกระทั่งอิสรภาพเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้สั่งการเรียกว่า "ประชาธิปไตย" นั้น มันแทบไม่ต่างจากการค้า การลงทุน หรือการทำธุรกิจ ที่ต้องคิดถึงการแลกเปลี่ยน กำไร-ขาดทุน หลายคนเชื่อว่า เกมการเมืองครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า ท้ายสุดแล้วจะจบลงอย่างไร ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร...
ที่สำคัญ "สะเก็ดไฟ" จะมีโอกาสกลายเป็นกองไฟที่โชติช่วงกลางนครได้หรือไม่...ใกล้เข้ามาแล้ว !...
http://www.komchadlu...เข้ามาแล้ว.html
Edited by wat, 30 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10:12.