“เปลว สีเงิน” ถลกหนังแฉกำพืด “ทักษิณ ชินวัตร” อย่างเจ็บแสบ ชี้เสแสร้งอ้างตัวเป็น “นักต่อต้านรัฐประหาร” จอมปลอม ทั้งที่เป็นแค่ “นักฉวยโอกาสประชาธิปไตย” เพื่อหาเรื่องปลุกระดมตั้งกองกำลัง “เสื้อแดง” พิทักษ์ตัวเอง ขณะที่เบื้องหลังเคยกราบกราน “เป็นเห็นเกาะไข่รัฐประหาร รสช.” จนได้สัมปทานดาวเทียมไทยคม ทำมาหากินจนเป็นเศรษฐีแสนล้านจนทุกวันนี้
วันนี้ (7 พ.ย.) ในคอลัมน์ “คนปลายซอย” หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันศุกร์ที่ 7 พ.ย.โดย “เปลว สีเงิน” ได้กระชากหน้ากากถลกกำพืด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เสแสร้งอ้างตัวเป็นนักต่อต้านเกลียดชังรัฐประหารนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นแค่นักฉวยโอกาสประชาธิปไตย เพราะตลอดเวลาที่สร้างตัวจนเป็นเศรษฐีแสนล้านมาจนทุกวันนี้ ล้วนมาจากการกราบกราน “หิ้วรองเท้า-เกาไข่” ให้บิ๊ก รสช.ในอดีตทั้งสิ้น
เปลว สีเงิน ย้อนอดีตเปิดโปงให้เห็นภาพอย่างเจ็บแสบว่า ในยุครัฐประหาร รสช.เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ที่มี “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าใหญ่ ก็มี พ.ต.ท.ทักษิณ คนนี้แหละที่ไปพินอบพิเทาเกาะแข้งเกาะขาวิ่งขอสัมปทานดาวเทียมไทยคม พร้อมกับเปรียบเทียบให้เห็นว่า “งาช้างย่อมไม่งอกจากปากสุนัข” และชี้ให้เห็นว่าการที่บรรดาข้าทาสบริวารอย่าง นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยกเอาเรื่องต่อต้านรัฐประหารมาอ้างก็แค่ต้องการสร้าง “กองกำลังทักษิณ” ให้แนบเนียนเท่านั้น
คอลัมน์นิสต์ผู้นี้ยังตั้งคำถามและยกคำสนทนาของบางคนที่เอ่ยกับ พล.อ.สุนทร ในวันที่ส่งดาวเทียมไทยคมขึ้นสู่อวกาศที่เฟรนช์เกียนา เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2536 ที่กล่าวว่า “ถ้าไม่มีพี่ชายผมคนนี้ ก็ไม่มีวันนี้”
เปลว สีเงิน ยังสื่อไปถึงบรรดาข้าทาสบริวารของทักษิณ ไม่ว่าจะเป็น วีระ-จาตุรนต์-จตุพร-ณัฐวุฒิ เพื่อให้จดจำและรู้ธาตุแท้ของทักษิณว่า แท้ที่จริงแล้วการยกเรื่องต้านรัฐประหารขึ้นมาเพื่อหลอกลวง-ปลุกระดมคนเสื้อแดงเท่านั้น เพราะเจ้านายทักษิณมันแค่นักฉวยโอกาสประชาธิปไตย หลังฉากที่แท้จริง ฝังรากอยู่กับระบบรัฐประหาร คลานกราบยก “บิ๊กจ๊อด” เป็นพี่ชาย ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องมาแต่ชาติปางไหน ทราบแต่ว่า...
“โครงการดาวเทียมสื่อสาร เริ่มมาตั้งแต่ปี 2526 และเริ่มดำเนินการในปี 2528 โดยมีบริษัทเอกชนเสนอตัวมาหลายราย แต่ไม่สามารถทำข้อตกลงให้เป็นที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย กระทั่งปี 2533 จึงมีการประกาศเชิญชวนอีกครั้ง ผลปรากฎว่าบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้ชัยชนะเหนือคู่แข่ โดยมีการลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2534 ในยุคที่ รสช.เรืองอำนา หลังก่อรัฐประหาร 7 เดือน”
เปลว สีเงิน ยังถลกหนังต่อไปอีกว่า ถ้ายังไม่เชื่อว่าทักษิณเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้เพราะเป็น “เห็บเกาะไข่ระบบรัฐประหาร” ไอ้พวกบริวารที่เห่า “ต่อต้านรัฐประหาร” แทนนาย ก็ลองไปถาม เสธ.อ้วน “พลเอกสัมพันธ์ บุญญานันต์” อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ในรัฐบาลทักษิณปี 2547 ดูก็ได้
เพราะเสธ.อ้วน คือนายทหารผู้เป็น “เงาบิ๊กจ๊อด” ในยุคนั้น ก่อนจะตายบิ๊กจ๊อดยังให้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมในนามของน้องยุ้ย “อัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร” ผู้สานตำนานรักชายเสื้อคับจนโลกร้อนฉ่า
ทักษิณจะดีก็ตรงนี้แหละ ใครเคยช่วยเขา ถึงคราวเขาก็ช่วยตอบ พลเอกสัมพันธ์ช่วยให้ “พ่อค้าทักษิณ” เข้าถึงตัวประธาน รสช.จ๊อด จนได้นับญาติเป็นพี่-เป็นน้องท้องไม่ติดกัน โดยมีสัมปทานดาวเทียมเป็นสักขีพยาน
ต่อมา-ทักษิณไม่ลืมคุณ ยังยกเก้าอี้รัฐมนตรีสมนาคุณให้กับ เสธ.อ้วน!
เปลว สีเงิน ยังได้ยกตัวอย่างข้อความในเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่าง “หัวหน้ารัฐประหารจ๊อด” กับ “พ่อค้าทักษิณ” เสียดายที่เขาไม่ระบุชื่อว่าใครเขียนไว้ แต่สรุป “ประวัติศาสตร์สันถวะ” ระหว่าง 2 คนนี้ไว้ดีมาก และนำ “ส่วนหนึ่ง” มาขยายต่อ ดังนี้
...ในยุคของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณต้องการได้สัมปทานธุรกิจทางด้านการสื่อสาร พ.ต.ท.ทักษิณจึงไปนั่งเฝ้า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น
ด้วยความที่รักเพื่อน...
ร.ต.อ.เฉลิมก็วิ่งเต้นเอาสัมปทานให้โดยไม่มีการประมูล แต่ภายหลัง ทั้งสองเกิดความขัดแย้งในเรื่องสัมปทานขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิมไปให้สัมปทานกับคู่แข่ง
แต่ระหว่างที่จะกำลังดำเนินการให้สัมปทานนั้น จปร.รุ่น 5 ออกมาขู่ เป็นเหตุให้พลเอกชาติชายถึงกับต้องเรียกนายมนตรี พงษ์พานิช มาหารือ เพื่อเปิดสัมปทานโทรศัพท์ขั้นพื้นฐานให้กับพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่มีความสนิทสนมกับ ซี.พี. เนื่องจากต้องการลดความขัดแย้งกับ จปร.รุ่น ๕
แต่เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่พัฒนาต่อมาคือ การที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ไปปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง ร.ต.อ.เฉลิมได้ออกมาตอบโต้ จนผลสุดท้าย พลเอกชวลิตได้ลาออกจากตำแหน่งทางการเมือง ทำให้เกิดช่องว่างทางการเมืองขึ้น
พลเอกชาติชาย ได้ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย และต่อมาได้เชิญหัวหน้าพรรคปวงชนชาวไทย “พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก” มาดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง
ความสัมพันธ์ระหว่างนายทหารแห่งกองทัพบก จปร.รุ่น ๕ และรัฐบาลตึงเครียดขึ้นทันที การพบปะรับประทานอาหารเช้าในวันพุธเป็นประจำระหว่างนายทหารและนายกรัฐมนตรีเริ่มขาดตอน สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดยิ่งขึ้น
ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐ คือ การที่พลเอกชาติชาย ตัดสินใจแต่งตั้งพลเอกอาทิตย์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกลาโหม โดยอ้างว่าเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของตน
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 พลเอกชาติชาย และพลเอกอาทิตย์ มีกำหนดการเดินทางด้วยเครื่องบินเพื่อไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เชียงใหม่
แต่ก็กลายเป็นกับดักตกอับที่สนามบินกองทัพอากาศ โดยเป็นการปฏิวัติของคณะปฏิวัติที่เรียกตนเองว่า “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)” โดยมี พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ รสช. พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก เป็นรองหัวหน้าคณะ
พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นรองหัวหน้าคณะ และมีพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นเลขานุการ
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็วิ่งไปเกาะพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ โดยมีหน้าห้องที่ชื่อ “พลเอกสัมพันธ์ บุญญานันต์” ที่มาได้ดีในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ
ทักษิณกลายเป็นผู้ผูกตัวเองเกาะไว้กับ “เผด็จการทหาร รสช.” ถึงได้เติบใหญ่ ร่ำรวยมาถึงทุกวันนี้.
ครับ..ย้อนไปถึง รสช.ก็ครึ้มดีเหมือนกัน เพราะช่วงนั้นผมเป็น “หัวหน้าข่าว” หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอยู่ และเรื่องโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านเลขหมายนั้น เบื้องหลังการ “แอบ” เปิดซองดูราคาคู่แข่ง
คอลัมน์ “คนปลายซอย” เปลว สีเงิน ได้ตบท้ายอย่างเจ็บแสบอีกว่า สาเหตุที่หยิบเรื่องเก่าขึ้นมาระลึกชาติ ก็ต้องการชี้ให้เห็นว่า โดยเนื้อแท้แล้ว ทักษิณไม่ใช่เป็นคนเทิดทูนประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร อย่างที่ตัวเองและสมุนยกเป็นทองปิดหน้าผาก เพื่อหลอกผู้คนให้เข้าใจผิดสวมเสื้อแดงมาเป็นกองกำลัง หนุนหลังให้แล้วก็เบ่งกล้ามในสนามราชมังคลาฯ ไปถึงสถาบันเบื้องสูง ก็ให้ “รู้ทัน” สันดานทักษิณกันเอาไว้..เน้อ.