Jump to content


Photo
- - - - -

คติธรรม การเมืองต้องกลั่นกรอง


This topic has been archived. This means that you cannot reply to this topic.
ยังไม่มีผู้แสดงความเห็นในกระทู้นี้

#1 chanbaan

chanbaan

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,918 posts

ตอบ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554 - 12:30

การเมืองต้องกลั่นกรอง เป็นสิ่งหนึ่งที่อยากชวนให้สมาชิกทุกท่านได้ขบคิดกันว่า มันควรเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะในปัจจุบัน การเมืองกลายเป็นเรื่องของตัณหา แม้จะพูดด้วยภาษาหยาบคายดูจะผิดวิสัยของหลักธรรมก็ตาม แต่หากมองให้ดีแล้ว ก็น่าจะมองการเมืองในปัจจุบันไม่ผิดไปจากที่เป็นอยู่
.
สำหรับการเมืองต้องกลั่นกรองนั้น ก็มีความหมายตามแนวทางของการเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละ ยกตัวอย่างของเรื่องการเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละเช่น การที่เราเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีอำนาจแล้วเห็นข้อมูลของที่ทำงาน ในการประกาศขายทรัพย์สินทางราชการ ปรากฏว่า เราห้ามใจไม่อยู่ เราเอาข้อมูลลับไปบอกนักธุรกิจ เพื่อแสวงหาช่องทางในการเป็นนายหน้า พอวันที่มีการประมูลทรัพย์สิน นักธุรกิจคนดังกล่าวก็ได้ทรัพย์สินนั้นเพราะรู้ว่าควรประมูลในราคาเท่าไร ซึ่งถือเป็นการได้เปรียบในการที่มีข้อมูลทางราชการเอาไว้ในมือ
.
ดังนั้นวันนี้จึงขอเสนอคติธรรม การเมืองต้องกลั่นกรองให้สอดคล้องกับการเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละดังนี้คือ เราต้องกลั่นกรองทั้งการกระทำทางใจอันเป็นปฐมบทของการกระทำทางกาย ไม่ให้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องของผู้ที่อาศัยสรรพนามว่า "นักการเมือง" แต่การเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคน จะเป็นการเมืองที่มีรูปแบบก็ดี หรือไม่มีรูปแบบก็ดี ซึ่งก็คือสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับกฏกติกาที่คนเราได้ร่าง ได้ประกาศ ได้บังคับ รวมถึงความคิดเห็นที่ดีต่อการประชาสัมพันธ์ การรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันคิดร่วมกันทำ
.
สำหรับคำว่า "สังคม" อันนี้หากเราจะมองในมุมอีกมุมหนึ่งก็คือ สังคมเป็นเสมือนรากฐานของการเมือง แต่สังคมไม่ใช่การเมือง เพราะสังคมบริสุทธิ์เกินไปกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องการเมือง ดังนั้นหากเราทำสังคมไม่บริบูรณ์ การเมืองก็ต้องคล้อยตาม หากเราเห็นตรงกันดังนี้ ก็จะรู้ว่าทำไมการเมืองในปัจจุบันจึงกลายเป็นเรื่องของการแย่งชิงผลประโยชน์ ก็เพราะว่าสังคมล้มสลาย ในปัจจุบันคนเราในประเทศนี้ไม่มีสังคม
.
สำหรับการที่พูดว่าคนในประเทศนี้ไม่มีสังคมนั้นก็เพราะว่าคนเราไม่รวมกลุ่มกันเป็นสังคม แต่อาศัยอาชีพบ้าง กลุ่มเพื่อนฝูงบ้างเที่ยวจัดตั้งอาณาจักรของตน แต่ไม่เคยประสานความคิดความอ่านแล้วช่วยกันพัฒนาสังคม ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังแบ่งสังคมออกเป็นชนชั้นโดยไม่คำนึงถึงรากฐานของชนชั้นที่เคยมีมาก่อน สร้างชนชั้นยิบย่อยมากมายจนยากที่จะควบคุม
.
การที่เราไม่ช่วยกันกลั่นกรองตั้งแต่ใจของเราก็ดีหรือการกระทำที่เป็นไปโดยอัตโนมัติตามสมัยนิยมก็ดี เราก็เริ่มออกห่างจากสังคม เมื่อคนเราไม่มีสังคม แต่จัดฉากความรักจัดฉากความสามัคคี ซ้ำร้ายไปกว่านั้นจัดฉากความดีงามความถูกต้องความบริสุทธิ์ยุติธรรม สิ่งที่กระทำอยู่ในปัจจุบันจึงกลายเป็นเพียงการสร้างภาพของสังคม แต่ไม่สามารถฟื้นฟูสังคมให้มีอาณุภาพในการรักษาประชาชนให้อยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก ตามสภาพสังคมที่ควรจะเป็น
.
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันหน้ามาช่วยกันในการฟื้นฟูสังคม ด้วยความจริงใจต่อกัน กลั่นกรองกิเลสกลั่นกรองความเห็นแก่ตัว สังคมก็จะกลับคืนมาสู่ปกติ และเราก็จะเห็นชั้นบรรยากาศของธรรมะได้ชัดเจนขึ้น โดยที่การเมืองนั้นก็จะไม่เป็นพิษนำพาหายนะมาสู่พวกเราอีก
อุดมการณ์ไม่ใช่คลิก แต่ต้องคิด คิดไปเรื่อยเลยวุ่ยพุทธเจ้านำทาง ธรรมประคองใจ จิตใจวุ่นวาย ผิดพลาดพลั่งเผลอ มันเป็นสัจจะธรรมของคนที่ยังคน(เราเอง)"เกลียดปฏิวัติไทยคม ชื่นชมปฏิวัติสีขาว เกลียดนักการเมืองขี้ฉอ ชื่นชอบนักการเมืองยึดมั่นอุดมการณ์"