สลิ่มถูกหล่อหลอมด้วยกับดักทางความคิด หลีกเลี่ยงในการรับรู้และทำความเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริง คุณลักษณะเฉพาะตัวของสลิ่มคือการสร้าง"ศีลธรรมดัดจริต"
หรือศีลธรรมแบบปิดตาข้างหนึ่งอ้างอิงความดี ความเลว ความศรัทธา รวมไปถึงอ้างหลักการประชาธิปไตยแม้แต่หลักทางศาสนาก็ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้าง
เพื่อให้ผู้อื่นสยบยอมและยอมรับว่า"ความเชื่อ"สำคัญกว่า"ความจริง"
กับดักทางความคิดเกิดได้ทุกเมื่อ รวมถึงผู้เขียนบทความนี้ด้วยครับ ถ้าผู้เขียนบทความคิดว่า คนที่ยึดหลักศีลธรรม คนที่รู้จักแยกแยะความความดี ความเลว
และคนที่เป็นศาสนิกชนที่ดี ผู้ชอบพูดถึงหลักศาสนาบ่อยๆ เป็นคนที่ยอมรับ "ความเชื่อ" สำคัญกว่า "ความจริง" แล้วล่ะก็
ผู้เขียนบาทความนี้ คงมีเพื่อนน้อยมาก จึงไม่ค่อยพบตัวอย่างมากมายของผู้คนที่มีลักษณะที่ผมกล่าวมา
เขาเหล่านั้น ล้วนมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ ความจริง มากกว่า ความเชื่อ เช่น เป็นแพทย์ เป็นนักวิทยาศาสตร์
แต่เพราะเหตุไร เขาถึงยังต้องพึ่งศรัทธาในการดำเนินชีวิต เพราะเขาตระหนักว่า มนุษย์ไม่ใช่ผู้กำหนดทุกสิ่งในธรรมชาติ
มนุษย์เพียงค้นพบความจริงในธรรมชาติแล้วนำมาใช้ประโยชน์ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าผู้ค้นพบความจริงไม่มีศีลธรรม หรือศรัทธาในความดี
กับคนที่ไม่มีศรัทธาในความดี ความจริงเหล่านั้น ก็อาจถูกใช้ในทางทำลายมากกว่า
เช่น ตัวอย่างทักษิณเป็นต้น ทักษิณเป็นผู้ขาดศรัทธาในความดี และกฏแห่งกรรมทางศาสนาอย่างมาก
ถึงกับประกาศว่า "ผมแพ้ไม่ได้ จะให้สู้ถึงนรก สวรรค์ ก็ยอม" คือคนที่พูดแบบนี้ ขาดศรัทธา และ ติดกับดักทางความคิดอย่างรุนแรง
ผู้เขียนบทความนี้ ศรัทธาคนอย่างทักษิณ ท่านผู้อ่านทั้งหลาย คิดว่าเขาจะบทความนี้ก็ติดกับดักทางความคิดหรือไม่
บุคลิกภาพเฉพาะตัวของสลิ่มมักยอมรับระบบสังคมการเมืองแบบอำนาจนิยมอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาแต่อดีต
ที่ปลูกฝังอุดมการณ์ในคำตอบสำเร็จรูปทุกเรื่องจากผู้ปกครองที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วไป หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อสถานะและอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์
ตัดสินผู้อื่นด้วยศรัทธาคติระหว่างอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์กับนักการเมืองที่ประชาชนเลือก
ผมไม่เชื่อว่า ผู้เขียนบทความ จะปฏิเสธอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดชีวิต
ผมเชื่อว่า เมื่อท่านเจ็บป่วย หรือชราจนใกล้ตาย นาทีสุดท้าย ท่านจะนึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ท่านไม่สามารถจับต้องได้ อาจรวมสิ่งที่ท่านปฏิเสธว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ด้วย
และไม่ว่าจะเป็นสลิ่มหรือเสื้อแดง ก็ยอมรับระบบอำนาจนิยมอุปถัมภ์ทั้งนั้น เพราะเกิดมา เราก็มีพ่อแม่หรือ ผู้อุปถัมภ์ทุกคน ไม่งั้นเราคงตายตั้งแต่เล็กๆ
โตขึ้นมา เราก็ต้องมีผู้นำ หรืออย่างน้อยก็บุคคลตัวอย่างที่เราอยากเดินตาม
อย่าบอกนะครับ ว่าผู้เขียนบทความ ไม่ยอมรับอำนาจและการอุปถัมภ์จากทักษิณ
และผมเองก็ไม่ได้ตัดสินผู้อื่นด้วยศรัทธาคติของอำนาจอันศักดิ์สิทธ์ใดๆ ผมก็ดูว่า เขากระทำอะไรไว้ ตัดสินว่า ดี หรือ เลว
แต่คนเรา ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ ทุกคนดีเลวปนกัน เช่นปัจจุบัน ทักษิณ เลวขึ้นมาก ดีน้อยลงจนหาไม่เจอ ก็ตัดสินแบบนี้ครับ
สลิ่มก่อรูปขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 ช่วง 2516-2519 สลิ่มรุ่นแรกถูกสอนให้หวาดกลัวต่อการนัดหยุดงานของกรรมกร
ถูกสอนให้เบื่อหน่ายการประท้วงของนักศึกษา ถูกสอนให้กลัวคอมมิวนิสต์ และหวาดกลัวความเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน
จึงจัดตั้งขบวนการปลุกเร้าอุดมการณ์ชาตินิยม ปลุกเร้าอัตลักษณ์ของชาติ พร้อมกับการสร้างวาทกรรมใหม่กล่าวหาว่า
"คณะราษฎรคือคณะบุคคลที่ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์มา เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง"
ผู้เขียนบทความนี้ เข้าใจว่า คงศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนเข้าเส้นเลือด
อาจไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปลึกๆ จนถึงกำเนิดของเอกภพ ผู้เขียนบทความเลยติดกับดักแนวคิดของบุคคลในช่วงเวลาหนึ่ง
ยึดบรรยากาศช่วงเวลานั้นไว้เป็นอุดมการณ์ และเขียนเป็นบทความออกมาเปรียบเทียบกับปี2556
ใครจะกล้าไปฝากการเป็นผู้นำทางความคิดของผู้เขียนบทความได้ มีหวังพากันย้อนยุคหมด
ปัจจุบันสลิ่มอวตารอยู่ในร่างของเอ็นจีโอที่ทำงานในเครือข่ายทรัพยากร, นักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม, ผู้นำสหภาพแรงงาน,
คนที่ทำงานกับคนยากจนทั้งในเมืองและชนบท, คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้บริโภค, กลุ่มคนที่ต่อต้านจีเอ็มโอ, นักเขียน, นักหนังสือพิมพ์ฯลฯ
สลิ่มอวตารเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมขวาจัดที่มีฐานเศรษฐกิจและธุรกิจกว้างขวางมั่นคง
มีต้นทุนทางสังคมที่ไม่มีใครเทียบได้เพราะผูกกับความศักดิ์สิทธิ์ เป็นฐานการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมที่แข็งแกร่งด้วยพลังราชการและตุลาการ
เอ็นจีโอ , นักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม, ผู้นำสหภาพแรงงาน,
คนที่ทำงานกับคนยากจนทั้งในเมืองและชนบท, คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้บริโภค, กลุ่มคนที่ต่อต้านจีเอ็มโอ, นักเขียน, นักหนังสือพิมพ์ฯลฯ
คนพวกนี้เขาผิดตรงไหนครับ
หน้าที่การงานของเขา ก็เพื่อมวลชน ไม่เห็นเขาผิดตรงไหน
ผมว่าเขาคงผิดที่ดันไปขัดขวางการหาประโยชน์กับทรัพยากรของโลกจากนักการเมืองชั่วซะมากกว่า
การที่เขาได้รับทุน ไม่ว่าจากกลุ่มทุนอนุรักษ์ขวาจัด ซ้ายจัด ก็ไม่เห็นสำคัญ
สำคัญที่เขาเอาทุนไปทำอะไร ทำเพื่ออนุรักษ์ไว้ซึ่ง ธรรมชาติ ต้นน้ำ ที่ยังชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ของโลกนี้หรือเปล่า
และคนกลุ่มนี้ ก็ไม่ได้เป็นฐานการเมืองให้ใคร ไม่เหมือนผู้เขียนบทความ เป็นฐานการเมืองให้ทักษิณอย่างชัดเจน
กลุ่มสื่อคือกลุ่มที่น่ากลัวที่สุดโดยเฉพาะสื่อซาตานที่พยามกล่าวหาชาวบ้านว่าไปหลงซาตาน
สร้างวาทกรรมซ้ำๆ ว่าคุณทักษิณ คือซาตานที่จำเป็นต้องนำชาวบ้านออกมาจากซาตานเพื่อให้กลับมาเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดิม
ตามตำนานซาตานนั้นเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า จึงเป็นเรื่องแปลกพิลึกว่า "วันนี้ซาตานจับมือกับพระเจ้า" โอ้ว..ไม่อยากคิดต่อ
ผู้เขียนบทความนี้เชื่อเรื่องซาตานด้วยหรือครับ ปกติคนเราไม่เชื่อเรื่องไร มักไม่พูดถึงเรื่องนั้น
ทักษิณไม่ใช่ซาตานแน่นอนครับ ทักษิณเป็นเพียงคนกระทำความชั่วคนหนึ่ง
ถ้ามีสื่อค่ายไหน ตีแผ่ความชั่วของทักษิณ ผมว่าสื่อค่ายนั้น คงไม่ได้ทำเพื่อพระเจ้า คงทำเพื่อประเทศชาติมากกว่า
สลิ่ม แมลงสาบ พันธมิตรฯ กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนหล่อเลี้ยงสติปัญญาด้วย "ความเชื่อ" เมื่อ "ความจริง" มีเหตุและผลเหนือกว่าสามารถทำลาย "ความเชื่อ" ได้
กลุ่มคนเหล่านี้จะไม่แตะต้องและแกล้งมองไม่เห็นทั้งไม่สืบค้นศึกษาว่าอะไรจริง อะไรเท็จ
กลุ่มคนเหล่านี้พยายามบิดเบือน "ความจริง" เพื่อให้ตรงและเข้ากับ "ความเชื่อ" ที่ว่าพวกตนนั้นคือคนดีไม่มีความผิด โดยไม่สนใจความถูกต้องใด ๆ
สังคมสลิ่ม แมลงสาบ พันธมิตรฯ จึงเป็นสังคมที่ขาดเหตุผลอย่างสิ้นเชิง
กลุ่มคนที่ผู้เขียนบทความกล่าวมาทั้งหมด เขาค้นพบความจริงแล้วถึงมีความเชื่อครับ
ตัวอย่างผมเอง ผมเห็นว่า ทักษิณอินไซต์ข้อมูลเรื่องการลดค่าเงินบาท สมัยชวลิต
แล้วก็ไปเก็งซื้อดอลลาร์ เพื่อเอากำไรจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว หากำไรจากความเสียหายของประเทศ
อันนี้คือความจริง เมื่อได้ความจริงแล้ว ก็นำไปสู่ความเชื่อ คือเชื่ออย่างสนิทใจว่า ทักษิณคือคนเลว
ดังนั้น ผมก็ไม่เห็นว่า ผมจะเป็นคนขาดเหตุผลอย่างสิ้นเชิงอย่างไร
แต่ความจริงเรื่องความชั่วของทักษิณนี้ สังคมที่ผมอยู่ บางคนเขาก็ไม่แตะต้องและแกล้งมองไม่เห็นทั้งไม่สืบค้นศึกษาว่าอะไรจริง อะไรเท็จ
ผู้เขียนบทความอาจเขียนถูกต้อง ตรงที่ สังคมทุกวันนี้ เป็นสังคมที่ขาดเหตุผลอย่างสิ้นเชิง
พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย ผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยและชนะเลือกตั้งมาตลอด
แต่กลับถูกกระทำย่ำยีโดยไม่เคยเห็นหัวประชาชนที่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกพรรคที่เขารักเลือกคนที่เขาชอบให้มาบริหารบ้านเมือง
สลิ่มและพรรคพวกไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตยและพยามสร้างกระแสความเกลียดชังแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคม
สั่งสมปัญหาซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจพบทางออก แน่นอนว่าความรุนแรงนองเลือดคือผลที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ผมเป็นประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเลือกพรรคของทักษิณแม้แต่พรรคเดียว
ผมเห็นชนะเลือกตั้ง ผมก็ไม่คิดอะไร ก็อยากให้ทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ จะได้เป็นประโยชน์
แต่ทักษิณกับพวก ไม่ได้ทำแบบนั้นอ่ะสิครับ ดันใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ หาประโยชน์ใส่ตัว
ก็ภาษีของผม ผมจะยอมได้ไง ผมไม่ได้โง่ หรือ ยอมอยู่ใต้อำนาจอันไม่ชอบธรรมของใคร
ผมเป็นคนยอมรับกติกาประชาธิปไตยมาโดยตลอด แต่ทักษิณทำผิดกฏหมาย ผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องสร้างกระแส ผมก็เกลียดชัง
ปัญหาสังคมถึงแม้จะซับซ้อน แต่มีทางออกแน่นอน ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงนองเลือด เหมือนอย่างที่ผู้เขียนบทความชี้นำก็ได้
