เพราะผมเข้าใจว่า ...หมดไปแล้ว...
ประชาธิปไตย "พิลึก" โดย นงนุช สิงหเดชะ
23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
บทความพิเศษ(มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ17ข23 พ.ค.2556)
ในยุคที่คนกลุ่มหนึ่งของประเทศกำลังท่องคาถาประชาธิปไตยวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เราได้เห็นรูปแบบประชาธิปไตยที่พิลึกพิเรนทร์กว่าชาวโลกเขา
เพราะขณะที่ท่องประชาธิปไตยเจื้อยแจ้วนั้นดูเหมือนพวกเขาจะทำหลายอย่างตรงข้ามกับประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยเมืองไทยยุคนี้ แปลกตรงที่เมื่อรัฐบาลทำอะไรล้มเหลวก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะจะมีเครือข่ายมวลชนของรัฐบาลคอยสร้างข่าวโยนให้เป็นความผิดของอำมาตย์และการรัฐประหารเช่น น้ำท่วมก็เป็นฝีมืออำมาตย์ เมื่อถูกติงเตือนเรื่องจำนำข้าวก็หาว่าเป็นพวกอำมาตย์มาคอยขัดขวาง
แม้แต่เด็กสาวเต้นเปลือยอกตอนสงกรานต์ที่สีลมปีที่แล้ว คนพรรคเพื่อไทยบางคน (ผู้หญิง) ยังบอกว่าเป็นผลพวงจากรัฐประหาร (ตอนมีรัฐประหารทำให้เปลือยอกต่อหน้าสาธารณะไม่ได้ อะไรจะฮาได้ขนาดนั้น)ประชาธิปไตยพิลึก ยังทำให้เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ผู้นำประเทศไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการประชุมสำคัญของรัฐสภา เช่น เรื่องงบประมาณหรือเรื่องใหญ่อีกหลายเรื่อง จะเข้าไปฟังบ้างก็แค่พอเป็นพิธี ซึ่งคงหายากที่จะมีผู้นำประเทศไหนทำได้อย่างนี้ ยกเว้นประเทศไทย
ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่มวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลเห็นดีเห็นงามและยอมรับกับการที่ผู้นำประเทศไม่ให้ความสำคัญกับงานรัฐสภา ส่วนเรื่องตอบกระทู้ในสภานั้น ไม่ต้องพูดถึงเพราะผู้นำไม่เคยเข้าไปตอบเลยถ้าเป็นผู้นำประเทศอื่น ประชาชนอาจถือว่าขาดคุณสมบัติไปแล้วกับการที่ผู้นำไม่ค่อยประชุมสภา หรือไม่เคยไปตอบกระทู้
แต่ที่เมืองไทย กลับได้รับการสนับสนุนจากมวลชนที่เป็นฐานเสียงว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วพวกประชาธิปไตยพิลึกยังชอบใช้กำลังไปคุกคามข่มขู่ฝ่ายค้าน ปกติแล้วในประเทศประชาธิปไตยนั้นเรามักจะเห็นแต่ม็อบที่ไปประท้วงรัฐบาลในปัญหาต่างๆ เช่น เรียกร้องให้แก้ปัญหาค่าครองชีพ แต่ประเทศพิลึกนี้เราได้เห็นกองกำลังม็อบของรัฐบาลคอยไปคุกคามฝ่ายค้าน และก็ทำหน้าที่รักษาอำนาจรัฐบาล
การคุกคามฝ่ายค้านถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย และยังสะท้อนถึงการเป็นเผด็จการในตัวเอง ระบอบประชาธิปไตยที่ดี มวลชนและสังคมควรต้องสนับสนุนให้ฝ่ายค้านทำหน้าที่ถ่วงดุลรัฐบาล เพราะฝ่ายที่เป็นรัฐบาลนั้นมีอำนาจทุกอย่างในมือเหนือฝ่ายค้าน ทั้งอำนาจรัฐและอำนาจเงิน (มีอำนาจในการใช้จ่ายงบประมาณที่สามารถให้คุณกับฝ่ายตัวเองได้) เปรียบไปแล้ว กรณีประเทศไทยนั้นฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านก็เหมือนยักษ์กับคนแคระ เอาแค่เงินทุนฝ่ายค้านก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
แต่ที่ได้เห็นอยู่ทุกวันนี้คือม็อบของฝ่ายรัฐบาลคอยรังควานฝ่ายค้านทุกที่ทุกเวลา โดยอ้างเหตุผลซ้ำซากว่าเจ็บแค้นเรื่อง 91 ศพ แต่จะเห็นว่าแม้ฝ่ายค้านจะจัดกิจกรรมปกติ (เช่น งานสังสรรค์พรรคหรืองานระดมทุน) ไม่ได้จัดงานปราศรัยทางการเมือง ม็อบเหล่านี้ก็ยังคอยขัดขวางคุกคามความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าจิตเบื้องลึกของคนเหล่านี้มีความเป็นเผด็จการอยู่ในตัว (แต่ไม่รู้ตัว) อีกประการหนึ่งสะท้อนให้เห็นความหวั่นไหวไม่กล้าเผชิญกับข้อเท็จจริงของอีกฝ่าย จึงพยายามสกัดกั้นเต็มกำลัง
จะเห็นว่าเมื่อฝ่ายรัฐบาลปราศรัยหรือทำกิจกรรมทางการเมือง ไม่เคยมีมวลชนจากฝ่ายค้านหรือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลไปคุกคามก่อกวน เพราะหากฝ่ายนี้เขาจะอ้างว่าเจ็บแค้นคุณยิ่งลักษณ์และคุณทักษิณเพราะทำร้านค้าย่านราชประสงค์เจ๊งไปหลายแสนล้านบาท (แบบที่นางลีน่า จัง ออกมาพูด) แล้วนำม็อบไปรังควานคุณยิ่งลักษณ์บ้าง ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่พวกเขาไม่ทำเพราะมีอารยะมากกว่าเพียงแค่นี้ก็เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนว่า ใครเป็นประชาธิปไตยแต่ปาก ใครเป็นประชาธิปไตยด้วยจิตวิญญาณและความรู้ความเข้าใจ
อีกพฤติกรรมหนึ่งที่ใครๆ ก็ส่ายหน้า คือการใช้ม็อบไปกดดันศาลรัฐธรรมนูญให้ลาออก แล้วที่น่าตกใจก็คือนายกรัฐมนตรีดันไปกล่าวว่า การที่ม็อบปิดล้อมกดดันศาลรัฐธรรมนูญและประกาศจะจับกุมตุลาการเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ (เป็นการให้สัมภาษณ์ก่อนบินไปมองโกเลียเพื่อกล่าวสุนทรพจน์เรื่องประชาธิปไตยที่กลายมาเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวผสมเบนซินที่พร้อมติดไฟอยู่ในขณะนี้)
ถ้านายกฯ ของประเทศนี้บอกว่าประชาชนธรรมดาสามารถไปจับกุมตัวใครก็ได้ที่พวกเขาไม่พอใจ ก็แสดงว่าประเทศนี้ป่าเถื่อนอย่างยิ่ง คือไม่มีกฎหมาย ไม่มีขื่อแป และน่ากลัวยิ่งกว่ารัฐประหารอีกแล้วสมมุติว่ามีใครออกมาประกาศเชิญชวนให้ประชาชนที่ไม่พอใจคุณยิ่งลักษณ์ ไปจับกุมตัวคุณยิ่งลักษณ์บ้างล่ะ คุณยิ่งลักษณ์จะกล้าบอกว่าเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญไหม
กรณีของพรรคเพื่อไทยที่จะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การเมืองไทยร้อนฉ่าขึ้นมาอีก นั้นเฉพาะการแก้ไขมาตรา 68 โดยจะตัดสิทธิประชาชนไม่ให้สามารถยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงหากพบเห็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองนั้น ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะอ้างเหตุผลอะไร แต่การตัดสิทธิของประชาชน ก็เป็นการขัดกับหลักการประชาธิปไตยว่าด้วยสิทธิของประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยมักจะกล่าวอ้างเสมอเรื่องการให้ความสำคัญกับอำนาจของประชาชนที่ย้อนแย้งกว่านั้น ก็คือม็อบฝ่ายรัฐบาลที่ไปเย้วๆ หน้าศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อบีบไม่ให้ศาลรับวินิจฉัยคำร้องเรื่องมาตรา 68 ในประเด็นตัดสิทธิประชาชนที่มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งไปร้องไว้นั้น ก็เป็นการสวนทางประชาธิปไตยอย่างจัง คือเท่ากับว่าม็อบเหล่านี้สนับสนุนการตัดสิทธิของประชาชน
สมมุติว่าในตอนนี้ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และประชาธิปัตย์ขอแก้ไขมาตรา 68 โดยตัดสิทธิไม่ให้ประชาชนมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่าม็อบแดงจะยอมไหมที่พิลึกสุดๆ ก็คือเป็นม็อบของรัฐบาลเองที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจของบ้านเมือง ตลอดปีตลอดชาติ
ในพรรคเพื่อไทยเอง หากดูในเชิงโครงสร้าง มีสิ่งใดที่พรรคนี้มีคุณสมบัติเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยตามความหมายของสากล ดูจากพฤติการณ์แล้ว พรรคเพื่อไทยปัจจุบันมีสถานะเสมือนบริษัทเอกชนที่บริหารโดยเถ้าแก่ใหญ่เพียงคนเดียว มีคนเพียงคนเดียวผูกขาดอำนาจภายในพรรค สมาชิกพรรคดูไปคล้ายลูกจ้างที่ต้องทำตามคำสั่ง
หรือพิศดูอีกทีก็คล้ายกับค่ายทหาร คือสมาชิกส่วนใหญ่ต้องซ้ายหันขวาหันตามที่เจ้าของพรรคสั่งแบบ "ครับนายๆ"
เอาแค่คลิปในยูทูบที่คุณยิ่งลักษณ์ฟังคำถามนักข่าวฝรั่งไม่รู้เรื่อง ต้องเรียกล่ามมาสรุปให้ฟัง ตอนร่วมแถลงข่าวกับโอบามา กระทรวงไอซีทียังบล๊อกไม่ให้เข้าดูเลย อุแม่เจ้า! ประชาธิปไตยตรงไหน
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นมีโครงสร้างเป็นพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยในความหมายของสากลมากกว่า มีลักษณะเป็นสถาบันทางการเมืองมากกว่า เพราะไม่มีใครผูกขาดพรรค การดำเนินงานใช้ระบบคณะกรรมการบริหารพรรค คนในพรรคมีสิทธิมีเสียงและส่วนร่วมมากกว่าพรรคเพื่อไทยแม้จะมีคนบอกว่าประชาธิปัตย์เลือกตั้งทีไรก็แพ้พรรคเพื่อไทยซ้ำซาก แต่ประเด็นแพ้เลือกตั้ง ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นการเป็นประชาธิปไตย เพราะบางทีพรรคที่ชนะเลือกตั้งทุกครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นประชาธิปไตยมากกว่าพรรคที่แพ้เลือกตั้ง
http://www.matichon....atid=&subcatid=
บ่องตง...ผมจะซื้อหนังสืองานเขียนของอาจารย์
ก็ขัดเขินตรงที่ชื่อสำนักพิมพ์นั้นแหล่ะ ไม่อยากให้มัน
เจริญเติบโตซักเท่าไหร่.. อย่าว่ากันน่ะ...
Edited by Suraphan07, 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 14:19.