Jump to content


Photo
- - - - -

ขอแนะนำตัว ดร.โสภณ พรโชคชัย (ผมเองครับ)


  • Please log in to reply
333 ความเห็นในกระทู้นี้

#301 MuuSang

MuuSang

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,604 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 18:13

 

 

ผมก็รำคาญ ที่แกชอบโพสต์กระทู้ถี่ยิบ จนดันของคนอื่นๆ ตกไปอยู่หน้าสอง

และก็คิดว่า การที่คนเราโปรโมทตัวเองจนเป็นบ้าเป็นหลังนั้น แท้จริงแล้วในเชิงจิตวิทยา ลึกๆ เขาเป็นคนอย่างไร

มอดเองก็บอกว่า เขาเป็นนักการเมือง ละเสนอตัวเข้ารับการพิสูจน์ ย่อมเป็นธรรมดา ที่เราจะพิสูจน์ได้

 

บ่องตง ไม่เข้าใจว่าคุณจะโพสต์เพื่ออะไร

เพื่อให้หยุดกระบวนพิสูจน์ (ลากไส้) อย่างนั้นรึ


Edited by MOD_01, 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 19:25.

แม้นใครรัก รักมั่ง ชัง ชังตอบ

#302 เด็กปากเกร็ด

เด็กปากเกร็ด

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,363 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 19:16

น่าเสียดายนะครับที่ไม่ได้เป็นผู้ว่า ผลงานหมาศาลขนาดนี้ ไม่งั้นกรุงเทพฯเจริญไปนานแล้ววว

#303 เด็กปากเกร็ด

เด็กปากเกร็ด

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,363 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 19:41

ไม่ทราบว่าสมัยหน้าท่านด๊อกเตอร์จะลงสมัครผู้ว่าอีกไหมครับ ผมเชื่อว่าท่านได้รับชัยชนะแน่นวลครับท่าน สู้ๆ

#304 mongdoodee

mongdoodee

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 667 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 19:52

 

ชาตินี้จะได้คำตอบจากด๊อกมั้ยเนี่ย :D


 

25560506_documants.jpgรางวัล

    1.   รางวัลชนะเลิศ

  • นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลพระราชทาน
  • นักศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลพระราชทาน
  • ประชาชนทั่วไป รางวัลเงินสด 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัลพระราชทาน

 

 

ทรงพระราชทานมาจำนวน 2โล่ ทำไมมี3ราวัล?????

 

 

 

 

 

ดร. ครับ  ผมก็รอคำตอบอยู่นะครับ

  ช่วยตอบหน่อยนะครับ



#305 dr_m

dr_m

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 800 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 20:04

ท่านด๊อกครับไหนๆก็เปิดหน้าคุยแล้ว

ช่วยถ่ายรูปตัวเองแล้วเขียนป้ายตัวโตๆว่า

"เสรีไทย"ให้ดูหน่อยสิครับ

(เอาลายมือตัวเองนะครับ)


Edited by dr_m, 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 20:09.

ผมคนกลางเอียงข้างความถูกต้อง


#306 Somebody

Somebody

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,938 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 20:24

ไม่ให้ราคาครับ ไม่อยากรู้จัก -_-

#307 ฉันรักประเทศไทย

ฉันรักประเทศไทย

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 43 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 20:35

มีใครอยากรู้อัตชีวประวัติของเขาหรือครับ ?........บ่องตงตง งง....... มาเขียนบรรยายอยู่ได้?

#308 ตำรวจบ้าน

ตำรวจบ้าน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 964 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:20

  ผมนึกแล้วขำ ไอ้พวกลิ่วล้อที่เข้ามาดูถูกท่านแล้วก็ด่าท่านต่างๆนานา    ไอ้คนพวกนี้ชอบยกตัวเองว่าฉลาดแต่สุดท้ายไปๆมาๆ พวกนี้กับมีความรู้ความสามารถน้อยกว่าท่านมากมาย  ไอ้พวกชอบดูถูกคนเนี่ยมันต้องเจอของจริงซะบ้าง

 

  งงกับพวกนี้เหมือนกัน พอท่านมีความเห็นไม่ตรงกับมันเท่านั้น พวกมันเข้ามารุมมาด่ากัน

 

 **แต่ทีไอ้ด็อกเจิมศักดิ์มันเป็นระดับอาจารย์สอนคน มันเอาบุพการีที่ล่วงลับของคนอื่นมาพาดพิงพูดอย่างคึกคะนอง  ไอ้คนพวกนี้มันกลับเชียร์อย่างชื่นชม**

   ไอ้ด็อกเจิมมันทำแบบนี้หลายครั้งแล้ว  ผมยังนึกสมน้ำหน้ามันเลยที่เจอเด็กสาวถอนหงอกแถมโดนฟ้องด้วย  สะใจจริงๆ
   

     ผมว่าจริยธรรมของไอ้เจิมและคนพวกนี้มันน่าจะมีปัญหา   555  



#309 Gop

Gop

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,450 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:20

 

ขนาด ดร. ระดับโลกอย่างผม ยังถูกดูถูกได้ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ยิ่งไม่จมดินหรือครับ ทำไมเป็นคนอย่างนี้หนอ มาให้กำลังใจนะครับ

 

 


 

 

โอ้ววว แม่เจ้าโว๊ย ด็อกเตอร์ระดับโลก!!!!?????


หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.

 


#310 Ballbk

Ballbk

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,783 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:20

คืนนี้ขอให้ ด๊อกฯ หลับฝันดีนะครับ

อย่าหลับฝันเปียกคิดถึง สรท. นะครับ <_<


Edited by Ballbk, 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:21.

"ความดี กับ ความเลว

ความจริง กับ คำโกหก

ความถูกต้อง กับ การทำผิดกฎหมาย"

ถ้าเกิดเป็น คน ไม่ได้เกิดเป็น ควาย มันไม่ต้องให้ทายหรอก ว่าจะเลือกอย่างไหน

 


#311 ตำรวจบ้าน

ตำรวจบ้าน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 964 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:26

 มีใครอยากรู้อัตชีวประวัติของเขาหรือครับ ?........บ่องตงตง งง....... มาเขียนบรรยายอยู่ได้?
 

 

  ที่จขกท.เค้าบอกประวัติของเขาเพื่อให้ไอ้พวกที่คิดว่าตัวเองฉลาดเก่งกว่าคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียวได้สำนึกไง  เข้าใจรึยังไอ้พวกกบในกะลา  555



#312 หนุ่มเมืองทอง

หนุ่มเมืองทอง

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 27 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:28

เห็นรูปแล้วหน้าตาเหมือนคนโรคจิต


แล้วอย่างนี้ จะได้รับคำตอบเรื่องรางวัลพระราชทานเหรอ


เห็นเขาถามกันไม่รู้กี่ความเห็น


ก็ไม่ยอมตอบเขาสักความเห็น


เอาแต่โพสท์อวยตัวเองอยู่นั่นแหละ


แบบนี้แหละคนโรคจิตชัดเจน

#313 Gop

Gop

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,450 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:31

 

ลองอ่านดูนะครับ
 

 

ความเข้าใจที่ผิดเรื่องผังเมือง... หนาแน่น และ แออัด


ดร.โสภณ พรโชคชัย

          ผังเมืองรวมของกรุงเทพมหานครพยายามทำให้กรุงเทพมหานคร ไม่หนาแน่นแต่กลับสร้างความแออัดเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าในใจกลางเมืองก็พยายามให้สร้างได้อย่างจำกัด เขตนอกเมืองก็เช่นกัน

          ในเรื่องความแออัด (overcrowded) ได้แก่กรณีชุมชนแออัดที่ก่อสร้างติดต่อกันจนเรียกได้ว่านกบินไม่ตกถึงพื้น ตามนิยามชุมชนนั้นบนที่ดิน 1 ไร่ (40 X 40 เมตร) หากมีบ้านปลูกรวมกันรวมกันถึง 15 หลัง ก็จะเรียกว่าเป็นชุมชนแออัด เพราะหากในกรณีปกติบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งตามกฎหมายมีขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ดังนั้นบนที่ดิน 1 ไร่ จะปลูกบ้านได้ไม่เกิน 8 หลัง และหากให้บ้านทุกหลังติดถนนจะสามารถปลูกบ้านเดี่ยวได้เพียง 9 เท่านั้น

          ในเรื่องความหนาแน่น (high density) คือการที่สามารถสร้างอาคารได้มากแต่ไม่แออัด เช่นในกรณีที่ดิน 1 ไร่เท่ากันหากสามารถสร้างได้ 10 เท่าก็จะก่อสร้างอาคารได้ 16,000 ตารางเมตร หาก 60% ของพื้นที่ก่อสร้างสามารถใช้เพื่อการอยู่อาศัย (ที่เหลือเป็นพื้นที่ส่วนกลาง เช่น โถงโล่ง บันได เป็นต้น) ก็จะสามารถขายพื้นที่ได้ 9,600 ตารางเมตร หากห้องชุดหรือห้องพักหนึ่งมีขนาด 100 ตารางเมตร ก็จะเป็น 96 หน่วย ยิ่งหากห้องชุดหรือห้องพักมีขนาดเล็กลงเป็น 30 ตารางเมตร ก็อาจแบ่งได้ถึง 320 หน่วย

          จะเห็นได้ว่าหากอนุญาตสามารถก่อสร้างได้สูงก็จะสามารถเพิ่มความหนาแน่นทำให้เมืองไม่ขยายออกไปรุกที่ชนบท สาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่าง ๆ ก็จะไม่ต้องขยายออกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในเขตจังหวัดปริมณฑลซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ชนบทโดยรอบ

          การสร้างความหนาแน่นให้กับเมืองกลับไม่เป็นการสร้างความแออัด เพราะจะสามารถเว้นพื้นที่โดยรอบให้เป็นพื้นที่สีเขียวจากการอนุญาตให้ก่อสร้างตึกในแนวสูง ในการนี้จะสร้างพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองได้มากมาย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวด เพราะในใจกลางเมืองมีพื้นที่สีเขียวจำกัด หากกระตุ้นให้มีความหนาแน่นแต่ลดความแออัด จะลดความตึงเครียดให้กับคนทำงานและคนอยู่อาศัยในเมือง จึงนับเป็นคุณูปการอย่างมหาศาล ในการใช้วิชาผังเมืองเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม

          ในผังเมืองกทม.ปี 2556 ได้กล่าวถึงการส่งเสริมศูนย์ธุรกิจชานเมือง แต่กลับไม่อนุญาตให้สร้างสูงหรือสร้างพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งเท่ากับทำให้ศูนย์ธุรกิจไม่เกิดขึ้นจริง ใครจะสร้างศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ต้องสร้างขนาดเล็ก ๆ และกระจัดกระจายไปทั่ว หากนำแนวคิดหนาแน่นแต่ไม่แออัดมาใช้ ก็ควรจะพัฒนาแบบหนาแน่นในพื้นที่จำกัดที่วางแผนไว้ในผังเมือง เพื่อให้การใช้ที่ดินมีประสิทธิภาพและให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ธุรกิจชานเมืองทั้งหลายกับศูนย์ธุรกิจใจกลางเมืองด้วยรถไฟฟ้า และทางด่วน ทำให้การพัฒนามีการวางแผน ไม่สะเปะ สะปะ กระจัดกระจาย ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ของการขาดการวางแผนตามเจตนารมณ์ของผังเมืองที่แท้จริง

 

เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ท่าน ดร.ช่วยอธิบายทีครับว่า ทำไมกรุงเทพ ถึงต้องขยายในแนวสูง ไม่ใช่ในแนวราบครับ เพราะ?

 

 

ผมคิดว่าถ้าคุณ pornchokchai ตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องผังเมืองและลงรายละเอียดแบบนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านมากๆ น่าเสียดายว่าที่ผ่านมาคุณ pornchokchai มักไม่ได้ตอบกระทู้ แต่จะมาเป็นพักๆ ข้อสงสัยหลายอย่างเลยไม่กระจ่าง หลายเรื่องผมสนใจ และเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณ ผมเคยโพสต์สนับสนุนแนวคิดของคุณในกระทู้คุณเองด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่า ผมกลับเป็นผู้ถกเถียงกับสมาชิกท่านอื่น โดยที่ท่านเจ้าของกระทู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ได้กลับมาตอบคำถาม ซึ่งน่าเสียดายมากครับ

 

ผมคิดว่าคุณ pornchokchai ก็แนะนำตัวมาพอสมควรแล้ว น่าจะเริ่มต้นสร้างสรรค์ผลงาน เอาความรู้ที่เชี่ยวชาญมานำเสนอได้แล้วนะครับ


หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.

 


#314 MuuSang

MuuSang

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,604 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 22:12

  ผมนึกแล้วขำ ไอ้พวกลิ่วล้อที่เข้ามาดูถูกท่านแล้วก็ด่าท่านต่างๆนานา    ไอ้คนพวกนี้ชอบยกตัวเองว่าฉลาดแต่สุดท้ายไปๆมาๆ พวกนี้กับมีความรู้ความสามารถน้อยกว่าท่านมากมาย  ไอ้พวกชอบดูถูกคนเนี่ยมันต้องเจอของจริงซะบ้าง

 

  งงกับพวกนี้เหมือนกัน พอท่านมีความเห็นไม่ตรงกับมันเท่านั้น พวกมันเข้ามารุมมาด่ากัน

 

 **แต่ทีไอ้ด็อกเจิมศักดิ์มันเป็นระดับอาจารย์สอนคน มันเอาบุพการีที่ล่วงลับของคนอื่นมาพาดพิงพูดอย่างคึกคะนอง  ไอ้คนพวกนี้มันกลับเชียร์อย่างชื่นชม**

   ไอ้ด็อกเจิมมันทำแบบนี้หลายครั้งแล้ว  ผมยังนึกสมน้ำหน้ามันเลยที่เจอเด็กสาวถอนหงอกแถมโดนฟ้องด้วย  สะใจจริงๆ
   

     ผมว่าจริยธรรมของไอ้เจิมและคนพวกนี้มันน่าจะมีปัญหา   555  

ที่ผมขำกว่าคือ  ดร. ทักษิณ ชินวัตร

ขำที่ ดร. แม้ว ด่าไอ้พวกลิ่วล้อในเฟสบุค จนรายการเรื่องเน่าๆ เช้าเมื่อวาน เอาไปเล่า เป็นวรรค เป็นเวร ฮ่าๆๆๆ

 

 

ดร. เสื้อแดงนี่ สงสัยเหมือนกันหมด

 

พาลไปออก ดร.เจิมฯ แล้วเว้ยเฮ้ย  เอากะเค้าสิ ฮ่าๆๆๆ


Edited by เสรีไทยใจดี, 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 22:13.

แม้นใครรัก รักมั่ง ชัง ชังตอบ

#315 IAMDA

IAMDA

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,073 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 22:37

นี่ผมหลงเข้ามาใน face book ดร. เหรอเนี้ย. ???????

#316 ฟังทั้งสองฝ่าย

ฟังทั้งสองฝ่าย

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,261 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 23:27

 

 

ลองอ่านดูนะครับ
 

 

ความเข้าใจที่ผิดเรื่องผังเมือง... หนาแน่น และ แออัด


ดร.โสภณ พรโชคชัย

          ผังเมืองรวมของกรุงเทพมหานครพยายามทำให้กรุงเทพมหานคร ไม่หนาแน่นแต่กลับสร้างความแออัดเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าในใจกลางเมืองก็พยายามให้สร้างได้อย่างจำกัด เขตนอกเมืองก็เช่นกัน

          ในเรื่องความแออัด (overcrowded) ได้แก่กรณีชุมชนแออัดที่ก่อสร้างติดต่อกันจนเรียกได้ว่านกบินไม่ตกถึงพื้น ตามนิยามชุมชนนั้นบนที่ดิน 1 ไร่ (40 X 40 เมตร) หากมีบ้านปลูกรวมกันรวมกันถึง 15 หลัง ก็จะเรียกว่าเป็นชุมชนแออัด เพราะหากในกรณีปกติบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งตามกฎหมายมีขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ดังนั้นบนที่ดิน 1 ไร่ จะปลูกบ้านได้ไม่เกิน 8 หลัง และหากให้บ้านทุกหลังติดถนนจะสามารถปลูกบ้านเดี่ยวได้เพียง 9 เท่านั้น

          ในเรื่องความหนาแน่น (high density) คือการที่สามารถสร้างอาคารได้มากแต่ไม่แออัด เช่นในกรณีที่ดิน 1 ไร่เท่ากันหากสามารถสร้างได้ 10 เท่าก็จะก่อสร้างอาคารได้ 16,000 ตารางเมตร หาก 60% ของพื้นที่ก่อสร้างสามารถใช้เพื่อการอยู่อาศัย (ที่เหลือเป็นพื้นที่ส่วนกลาง เช่น โถงโล่ง บันได เป็นต้น) ก็จะสามารถขายพื้นที่ได้ 9,600 ตารางเมตร หากห้องชุดหรือห้องพักหนึ่งมีขนาด 100 ตารางเมตร ก็จะเป็น 96 หน่วย ยิ่งหากห้องชุดหรือห้องพักมีขนาดเล็กลงเป็น 30 ตารางเมตร ก็อาจแบ่งได้ถึง 320 หน่วย

          จะเห็นได้ว่าหากอนุญาตสามารถก่อสร้างได้สูงก็จะสามารถเพิ่มความหนาแน่นทำให้เมืองไม่ขยายออกไปรุกที่ชนบท สาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่าง ๆ ก็จะไม่ต้องขยายออกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในเขตจังหวัดปริมณฑลซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ชนบทโดยรอบ

          การสร้างความหนาแน่นให้กับเมืองกลับไม่เป็นการสร้างความแออัด เพราะจะสามารถเว้นพื้นที่โดยรอบให้เป็นพื้นที่สีเขียวจากการอนุญาตให้ก่อสร้างตึกในแนวสูง ในการนี้จะสร้างพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองได้มากมาย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวด เพราะในใจกลางเมืองมีพื้นที่สีเขียวจำกัด หากกระตุ้นให้มีความหนาแน่นแต่ลดความแออัด จะลดความตึงเครียดให้กับคนทำงานและคนอยู่อาศัยในเมือง จึงนับเป็นคุณูปการอย่างมหาศาล ในการใช้วิชาผังเมืองเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม

          ในผังเมืองกทม.ปี 2556 ได้กล่าวถึงการส่งเสริมศูนย์ธุรกิจชานเมือง แต่กลับไม่อนุญาตให้สร้างสูงหรือสร้างพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งเท่ากับทำให้ศูนย์ธุรกิจไม่เกิดขึ้นจริง ใครจะสร้างศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ต้องสร้างขนาดเล็ก ๆ และกระจัดกระจายไปทั่ว หากนำแนวคิดหนาแน่นแต่ไม่แออัดมาใช้ ก็ควรจะพัฒนาแบบหนาแน่นในพื้นที่จำกัดที่วางแผนไว้ในผังเมือง เพื่อให้การใช้ที่ดินมีประสิทธิภาพและให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ธุรกิจชานเมืองทั้งหลายกับศูนย์ธุรกิจใจกลางเมืองด้วยรถไฟฟ้า และทางด่วน ทำให้การพัฒนามีการวางแผน ไม่สะเปะ สะปะ กระจัดกระจาย ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ของการขาดการวางแผนตามเจตนารมณ์ของผังเมืองที่แท้จริง

 

เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ท่าน ดร.ช่วยอธิบายทีครับว่า ทำไมกรุงเทพ ถึงต้องขยายในแนวสูง ไม่ใช่ในแนวราบครับ เพราะ?

 

 

ผมคิดว่าถ้าคุณ pornchokchai ตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องผังเมืองและลงรายละเอียดแบบนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านมากๆ น่าเสียดายว่าที่ผ่านมาคุณ pornchokchai มักไม่ได้ตอบกระทู้ แต่จะมาเป็นพักๆ ข้อสงสัยหลายอย่างเลยไม่กระจ่าง หลายเรื่องผมสนใจ และเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณ ผมเคยโพสต์สนับสนุนแนวคิดของคุณในกระทู้คุณเองด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่า ผมกลับเป็นผู้ถกเถียงกับสมาชิกท่านอื่น โดยที่ท่านเจ้าของกระทู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ได้กลับมาตอบคำถาม ซึ่งน่าเสียดายมากครับ

 

ผมคิดว่าคุณ pornchokchai ก็แนะนำตัวมาพอสมควรแล้ว น่าจะเริ่มต้นสร้างสรรค์ผลงาน เอาความรู้ที่เชี่ยวชาญมานำเสนอได้แล้วนะครับ

 

ท่าน ดร.มีความสามารถด้านไหนครับ วิเคราะห์ (ใครๆก็ทำได้ครับ ถูกผิดว่ากันไป) วิเคราะห์แล้วต้อง แก้ปัญหาได้ด้วยซิครับ
อย่างในเรื่องที่ผมสงสัย ก็คือ แล้วมันจะแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ที่แออัดของคนกรุงเทพยังไง ถ้าจะขยายขึ้นทางสูง ซึ่งมันก็จะยังคงแออัดอยู่ดี เพราะคนเราไม่ได้เดินลอยฟ้าได้นิครับ ทำอะไรยังไงสุดท้าย ก็ต้องลงมายืนสู่พื้นดิน ก็แออัดเหมือนเดิม ดูตัวอย่างง่ายๆ สร้างทางด่วน รถข้างล่างติดมาก แก้ปัญหาด้วยการสร้างทางด่วน(ขยายทางสูง) สุดท้าย ก็ยังติดอยู่ดี โดยมีคนไปร่วมรถติดจำนวนมากขึ้นในกรุงเทพ แค่นั้นเอง 
วิเคราะห์ว่าต้องขยายทางสุง โดยมีข้อจำกัดทางราบด้วยกฏหมาย ยิ่งไปกันใหญ่ กฏหมาย แก้ไขได้นิครับ
ปล.แต่ ข้อมูลของท่าน ดร. ก็ถูกนะครับไม่ได้ผิด แต่ ..........ปัญหามันก็ยังคงมีตามมาให้แก้ต่อไป 

 



#317 Tam-mic-ra.

Tam-mic-ra.

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,948 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 23:35

แรกๆล๊อคอิน TFEX มาเปิดตัวใหม่ๆ   มันก็โดนรุมด่าแบบนี้แหล่ะ  

 

    ผมว่าคุณ  pornchokchai ไปตั้งกระทู้ด่าเสื้อแดงที่พันทิป  แบบที่ TFEX มันเคยทำสิ่

คนที่นี่จะชื่มชมท่านแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย    :lol:  :lol:     

  แต่ว่าอย่าทำจริงหล่ะ 


"คนพาลไร้สติ มักสร้างเรื่องและหลักฐานเท็จโกหก เพื่อคอยใส่ร้ายอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ" :unsure:

 

นาย ''Starเก๋ง'' ฟันธง!  รถเก๋งขับมายิงเสื้อแดง :lol:      http://webboard.seri...แค/#entry842224   ;      http://webboard.seri...-25#entry408954


#318 UncleSam

UncleSam

    เด็กชายชุดฟ้า ผู้น่ารัก

  • Members
  • PipPipPip
  • 738 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 23:47

แรกๆล๊อคอิน TFEX มาเปิดตัวใหม่ๆ   มันก็โดนรุมด่าแบบนี้แหล่ะ  

 

    ผมว่าคุณ  pornchokchai ไปตั้งกระทู้ด่าเสื้อแดงที่พันทิป  แบบที่ TFEX มันเคยทำสิ่

คนที่นี่จะชื่มชมท่านแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย    :lol:  :lol:     

  แต่ว่าอย่าทำจริงหล่ะ 

 

 จริงฮะ จะต่างกันตรงที่หน้าตาคุณ TFEX กับ ด๊อก ต่างกันหยั่งกับ

 

 หน้ามือกับหลังบาทาเลยฮะ  :D  



#319 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 23:53

แรกๆล๊อคอิน TFEX มาเปิดตัวใหม่ๆ   มันก็โดนรุมด่าแบบนี้แหล่ะ  

 

    ผมว่าคุณ  pornchokchai ไปตั้งกระทู้ด่าเสื้อแดงที่พันทิป  แบบที่ TFEX มันเคยทำสิ่

คนที่นี่จะชื่มชมท่านแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย    :lol:  :lol:     

  แต่ว่าอย่าทำจริงหล่ะ 

 

 

แต๋มมันโง่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย

ดร.โชว์โง่มาหลายรอบแล้ว

ไม่รู้อะไร ก็หุบปากเสียมั่ง ทำเป็นสู่รู้ไปได้



#320 farmers.

farmers.

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 130 posts

ตอบ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 23:58

คนจบสูงๆ ไม่ได้หมายความว่าคุณเหนือกว่าคนอื่นๆนะครับ คนที่ชอบคุยโวโอ้อวดตัวเอง ความน่านับถือมันติดลบตั้งแต่คุณอ้าปากจะพูดแล้วครับ



#321 หงส์แดง

หงส์แดง

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,755 posts

ตอบ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 00:00

คนเราอาจเก่งคนละอย่าง จบ ด๊อกในสาขาตัวเองถนัดก็ไม่ว่ากัน แต่การแสดงออกความคิดทางการเมืองเหมือนเด็กน้อยอยากได้ของเล่นมากเลย และประเภทเป็นด๊อกระดับไหน ไม่ต้องมาบอก ผมว่าคุณชอบคุยขี้อวด เหมือนด๊อกคนนึงที่ชอบกินไวน์ เข้าสภานะ ^_^


ถ้าแยกเสียงส่วนใหญ่ กับความถูกต้องไม่ออก ก็อย่ามาอ้างว่ามาจากประชาธิปไตยเลย


#322 P.K.

P.K.

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 38 posts

ตอบ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 00:45

คุณดร.อย่าเอาชาวบ้านธรรมดาไปเปรียบกับคุณเลยจิตใจคนละชั้นกัน

 

ดิฉันเป็นชาวบ้านธรรมดาบ้านนอกความรู้น้อยเทียบกับคุณดร.ไม่ได้

 

แต่จิตใจของชาวบ้านธรรมดาสูงกว่าคุณเยอะ

 

ดิฉันเข้ามาเป็นสมาชิกเสรีไทยเพราะที่นี่เขามีเหตุมีผลที่นำมาพูดคุยให้ความรู้แก่กัน

 

ไม่เห็นมีใครเขายกหางตัวเองอวดอ้างอย่างคุณเลย

 

เอาความคิดดีๆที่มีต่อประเทศชาติในหัวสมองของคุณน่ะมีไหม

 

คุยอย่างมีเหตุผลน่ะเป็นไหมคุณด๊อก....



#323 ฟังทั้งสองฝ่าย

ฟังทั้งสองฝ่าย

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,261 posts

ตอบ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 02:45

 

 

ขนาด ดร. ระดับโลกอย่างผม ยังถูกดูถูกได้ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ยิ่งไม่จมดินหรือครับ ทำไมเป็นคนอย่างนี้หนอ มาให้กำลังใจนะครับ

 

 


 

 

โอ้ววว แม่เจ้าโว๊ย ด็อกเตอร์ระดับโลก!!!!?????

 

ท่าน Gopครับ จิตหลุดครับ กลับสู่สภาวะปรกติด่วน 5555+
เจอแค่นี้หลุดซะดังเลย 5555+


  • Gop likes this

#324 ฟังทั้งสองฝ่าย

ฟังทั้งสองฝ่าย

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,261 posts

ตอบ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 02:53

 

 

ชาตินี้จะได้คำตอบจากด๊อกมั้ยเนี่ย :D


 

25560506_documants.jpgรางวัล

    1.   รางวัลชนะเลิศ

  • นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลพระราชทาน
  • นักศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลพระราชทาน
  • ประชาชนทั่วไป รางวัลเงินสด 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัลพระราชทาน

 

 

ทรงพระราชทานมาจำนวน 2โล่ ทำไมมี3ราวัล?????

 

 

 

 

 

ดร. ครับ  ผมก็รอคำตอบอยู่นะครับ

  ช่วยตอบหน่อยนะครับ

 

ผมตอบแทนให้ท่าน ดร. ได้ไหมครับ ผมก็แถเก่งพอตัว 555+
ทุกอย่างถูกหมดแล้ว 
เพราะ ในระดับมัธยม กับอุดมศึกษา ครองโล่พระราชทาน ร่วมกัน 
พอได้ไหมครับ เหนื่อยนะเนี้ยยยยยยยยย!! กว่าจะคิดออกมาได้  :D


Edited by ฟังทั้งสองฝ่าย, 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 02:53.


#325 redfrog53

redfrog53

    เกิดที่รัสเซีย มาโตที่ สรท.

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 25,221 posts

ตอบ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 06:44

ด้อกฯ ว่าไม่น่าเล่นที่นี้เลย ที่นี้โหดจิงรัยจิง คงมึนตึบ ตีลังกาหาคำตอบอยู่

ไม่แน่นจิง เล่นยาก งานนี้โชว์สื่อไปเลยด้วย แถ-ลงอย่างไรดี 

เป็นประธานมูลนิธิฯ เอามาโชว์เองสะด้วย (ตามอ้างฯ)


Posted Image

#326 มานพ มานพ บุญมี

มานพ มานพ บุญมี

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 25 posts

ตอบ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 08:04

เทสๆ


Edited by มานพ มานพ บุญมี, 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 08:15.


#327 pornchokchai

pornchokchai

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,526 posts

ตอบ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 16:25

ขาดเสรีภาพ จะตอบก็ไม่ให้ตอบครับ เขาบอกว่าต่อไปนี้ถ้าตอบ ต้องให้เขา screen ก่อน ผมก็ส่งมา แต่ไม่ยอม screen ให้ เลยไม่ได้คำตอบครับ


คนเราต้องเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปมีอคติหรือความหลงแต่แรกว่าพวกเขา พวกเรา ไม่เช่นนั้น ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ และที่สำคัญ เราควรมีความรัก ปรารถนาดีและเมตตาคู่สนทนาแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม นี่จึงเป็นกุศลแท้ครับ

#328 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 20:54

^

^

ก็ตอบไป แล้วให้คุณม็อดสกรีนก่อน  ใจเย็นๆดิ

 

 

 

ใจร้อนก็ไปคุยไลน์หรือเอ็มเอสเอ็น


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#329 คนสับปะหลี้

คนสับปะหลี้

    สูงสุดแดนสยาม

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,262 posts

ตอบ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 01:33

ยินดีต้อนรับนะครับ ผมเข้าไปดูเฟสของท่านแล้ว ดูเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงนะครับ เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ได้ประสบการณ์มานั้นถูกต้องแท้แน่นอน ผมก็อยากให้ท่านเปิดใจบ้างนะครับ ถ้าโพสอะไรมาแล้วก็ช่วยรับฟังความคิดเห็นของคนในบอร์ดนี้บ้าง อีกอย่างเรื่องบางเรื่องที่ท่านใช้หลักวิทยาศาสตร์มาเป็นเหตุเป็นผลนั้นนะ บางสิ่งวิทยาศาสตร์ก็เข้าไม่ถึงสิ่งที่เหนือธรรมชาตินะครับ ถ้าท่านเคยบวชหรือศึกษาและปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาคงจะเห็นได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าอ่านอย่างเดียวผมยืนยันด้วยตัวผมเองเลยว่าชาตินี้ท่านไม่มีทางรู้สิ่งที่ท่านอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย ที่ผมกล่าวมาเยอะ เพราะดูแล้วท่านก็คงหวังให้คนในเสรีไทยมองความคิดต่าง รอบด้านบ้าง ก็เข้าใจอยู่ครับ แต่ท่านต้องทราบอีกอย่างหนึ่งว่า ในนี้ใช่มีแต่คนที่เห็นด้วยกับความคิดของท่านอย่างเดียว คนเห็นต่าง คนที่เฉยๆ(ไม่แน่ใจ) หรือคนที่เกลียดก็ดี ดังนั้นถ้าจะเสนออะไรก็ขอให้ตรงไปตรงมา เป็นสิ่งที่เป็นความจริงด้วย ผมเองก็ไม่ใช่คนที่รู้อะไรทั้งหมด อาศัยก็จากการศึกษารอบด้านแล้วเอามาวิเคราะห์เอง ดังนั้นก็อยากให้ท่านช่วยตอบหลายๆสิ่งที่เพื่อนสมาชิกถามบ้าง จะได้เป็นการพิสูจน์ตัวท่านเองด้วย

 

 

ขอบคุณครับ


"ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ" - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

"คนเราสามารถเปลี่ยนต้นไม้ประหลาด ให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนคนผิดให้เป็นพระเจ้า เปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำ เพียงเพราะความเชื่อของตัวเองเพียงเท่านั้น"


#330 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 15:15

ขาดเสรีภาพ จะตอบก็ไม่ให้ตอบครับ เขาบอกว่าต่อไปนี้ถ้าตอบ ต้องให้เขา screen ก่อน ผมก็ส่งมา แต่ไม่ยอม screen ให้ เลยไม่ได้คำตอบครับ

 

ช่วยชี้แจงเรื่องนี้ด้วยครับ

 I

 I

V

 

 

275994_100004563583283_205470165_q.jpg


 


Foryour Eyeonly ติดต่อเวปเสรีไทยด่วนค่ะ fbถามหาตรึม
ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว · 1

อ้าวแล้วทำไมมา block ไม่ให้ผม post ใน Face book คุณด้วยล่ะ มันเกี่ยวอะไรกัน  แถมยังลบกระทู้ที่โพสต์ใน เสรีไทย ออกไปด้วย หมายความว่า Post ซี้ซั้วที่อื่นได้ ใน Facebook ตัวเองอาย ไม่กล้าให้โพสต์ งั้นหรือ 
 
 

 

https://www.facebook...isal.Foundation
 
ถ้าที่นี่ ผมโดนลบข้อความทวงถาม และถูกบล็อคไปแล้วครับ

 
เอากระทู้และคห.ที่เขาและสมาชิกโพสต์ในเสรีไทย ไปโพสต์ ใน Face Book ของเขา เมื่อวาน โดนลบหมด พร้อมโดนบล๊อค เช่นกัน
 
https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

 


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#331 pornchokchai

pornchokchai

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,526 posts

ตอบ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 07:47

ตอนนี้ post อะไรไม่ค่อยได้ เลยเอามาให้อ่านเล่นไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ

อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์
 

ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>

          ช่วงนี้ในเมืองไทยมีอาจารย์ใหญ่ๆ ออกมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้กันมากมายหลายทาง ทำให้งุนงงไม่รู้ว่าเราจะเชื่อใครดี แต่ก็วางใจเถอะครับ อาจารย์มหาวิทยาลัยมีตั้ง 53,971 คน <2> ที่ออกมาเย้วๆ จึงเป็นเพียงอาจารย์ส่วนน้อย

          วันก่อนผมกระเทาะเปลือกอาจารย์มาทีหนึ่งด้วยบทความ “ว่าด้วย “ดร. ผศ. รศ. อาจม อาจารย์” <3> พร้อมบทวิพากษ์อาจารย์มหาวิทยาลัยของแดง ไบเล่ <4> วันนี้ผมจึงมองต่างมุมในด้าน “จุดอับ” หรือ “จุดดับ” ของอาจารย์บ้าง เผื่อประเทศไทยจะเกิดบรรยากาศสังคมอุดมปัญญา ต่างคนต่างคิดได้เองโดยไม่ถูกอาจารย์ครอบงำ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ฟังคำชี้แนะ ทักทายของอาจารย์เลย

          ผมเองไม่เคยเป็นอาจารย์ประจำ ไม่เคยขโมยเวลานักศึกษาไปทำธุรกิจ แต่ไปบรรยายในสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2523 รวมทั้งโรงเรียนนายร้อย จปร. หรือสถาบันพระปกเกล้า (ยังขาดแต่โรงเรียนพาณิชย์เท่านั้น!)

          ผมเคยได้ยินว่าอาจารย์บางคนบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองสอน แต่ที่ต้องทนสอนเพราะทำตามหน้าที่! ผมฟังแล้วสังเวชใจ และเชื่อว่าเขาคงพูดไม่จริง ที่เขาทนอยู่เพราะเขาได้อภิสิทธิ์ทั้งเงินทั้งกล่องของการเป็นอาจารย์ต่างหาก

 

ชอบแสดงภูมิ
          ผมอยากบอกว่า คนเป็นอาจารย์มักชอบแสดงภูมิ ผมจำนิทานเรื่องหนึ่งที่ยายผมซึ่งเป็นคนจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่งเดินไปด้วยกันตามทาง ระหว่างทางลูกศิษย์เห็นกองอะไรดูคล้ายงูอยู่เบื้องหน้า จึงบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ ข้างหน้ามีงู” อาจารย์รีบตอบสวนกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์จึงได้ยินเสียงมันเลื้อย”

          ต่อมาลูกศิษย์เดินไปดูใกล้ๆ และใช้ไม้เขี่ยดู เห็นไม่ไหวติง จึงตะโกนมาบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ งูมันตายแล้ว” อาจารย์ก็หลับหูหลับตาตอบกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์ถึงได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ”

          และเมื่อลูกศิษย์ได้ตรวจดูอย่างละเอียดกลับพบว่าเป็นแค่เชือกขดหนึ่ง จึงบอกความจริงแก่อาจารย์ อาจารย์กลับตอบหน้าตาเรียบเฉยว่า “อาจารย์ว่าแล้วไหมล่ะว่ามันไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนี้ เธอ (ลูกศิษย์) เข้าใจผิดไปเอง”

          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อาจารย์หลายคนชอบทำตัว “แสนรู้” ให้สมฐานะอยู่เสมอๆ แต่ความจริงอาจารย์จำนวนมาก “กร่างแต่กลวง” ไม่รู้จริง

          นอกจากนี้อาจารย์ยังชอบให้คนแสดงความนับถือ ไม่ต่างจากผู้ทรงอำนาจ เพราะสามารถชี้ชะตานักศึกษาด้วยเกรด จึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง มีอัตตาสูง และขาดความคิดที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ จนบางคนถึงขนาดก่ออาชญากรรมทางเพศ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรืออาชญากรรมทางการเมือง เป็นต้น

 

มีวงจรอุบาทว์
          ยังมีนิทานอีกเรื่องหนึ่งเป็นของนิกายเซ็น เรื่องมีอยู่ว่า มีวัดแห่งหนึ่งเจ้าอาวาสเป็นคนเฉลียวฉลาด ส่วนพระลูกวัดซึ่งเป็นพี่ชายเจ้าอาวาสไม่ฉลาดและตาบอดข้างหนึ่ง

          ครั้งหนึ่งมีพระอาคันตุกะประสงค์จะมาค้างแรมในวัด แต่ธรรมเนียมในสมัยนั้นมีว่า ถ้าพระอาคันตุกะตอบปัญหาธรรมะไม่ได้ ก็จะไม่ได้นอน ต้องไปอยู่กลางป่า ข้อนี้ก็แปลกว่าทำไมต้องมีธรรมเนียมเช่นนี้ก็ไม่รู้

          ปกติเจ้าอาวาสมักออกงานเอง และไม่เคยมีพระอาคันตุกะไหนชนะท่านเลย แต่คราวนี้ท่านคงจะใจดีเลยส่งพระพี่ชายตาบอดไปแทน พระพี่ชายกับพระอาคันตุกะจึงเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง โดยพระพี่ชายนั่งติดผนังด้านใน ส่วนพระอาคันตุกะนั่งติดทางออก

          พระอาคันตุกะก็ถามพระพี่ชายว่า “เราจะตอบปัญหาธรรมะแบบไหนดี” พระพี่ชายก็ตอบไปว่า “แบบไหนก็ได้” พระอาคันตุกะจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเรามาใช้ภาษาท่าทางกัน”

          พระอาคันตุกะจึงชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว พระพี่ชายเห็นเข้าจึงผายยิ้มและชูขึ้นมาสองนิ้ว พระอาคันตุกะจึงเบิกยิ้มกว้างและชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว พระพี่ชายจึงทำหน้าขึงขังและชูกำปั้น เท่านั้นแหละครับพระอาคันตุกะทำหน้าซีดเผือดแล้วโค้งคำนับลาออกจากห้องมา

          พอออกมาพบเจ้าอาวาสในบริเวณลานวัดก็บอกว่าตนแพ้แล้ว เจ้าอาวาสงงว่าพระอาคันตุกะแพ้ได้อย่างไร ในใจเจ้าอาวาสคงคิดว่าตนส่ง “หมู” ไปให้แล้ว ไฉนท่านจึงแพ้อีก

          พระอาคันตุกะจึงเล่าให้ฟังว่า “พออาตมาเริ่มแข่งก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วในความหมายว่าศาสนาพุทธของเรามีพระพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่ง  พระพี่ชายท่านก็ชูขึ้นมาสองนิ้ว แปลว่ามีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมคู่กัน อาตมาจึงชูสามนิ้ว แปลว่า ต้องมีพระสงฆ์ด้วย อาตมาเชื่อว่าชนะแน่แล้ว แต่พระพี่ชายของท่านเก่งมากเลยครับ ท่านชูกำปั้น ซึ่งตีความได้ว่า ทั้งสามสิ่งรวมกันเป็นพระรัตนตรัย อาตมาจึงจนด้วยเกล้าแล้วล่ะครับ”

          เจ้าอาวาสฟังได้ด้งนี้จึงเข้าใจพร้อมกับรับคำลาของพระอาคันตุกะที่กำลังจากไป พร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ ว่าทำไมวันนี้พระพี่ชายของตนจึงเก่งอย่างนี้ พอพระอาคันตุกะคล้อยหลังไปสักพักเดียว พระพี่ชายรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาถามหาพระอาคันตุกะด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว

          เจ้าอาวาสก็ยิ่งงงใหญ่ ถามพระพี่ชายว่า “พี่ชนะแล้ว พี่มีปัญหาอะไรหรือ” พระพี่ชายรีบตอบไปว่า “ชนะกะผีอะไร พวกเรายังไม่ทันแข่งกันเลย” เจ้าอาวาสเลยยิ่งงงไปใหญ่

          พระพี่ชายเล่าให้ฟังว่า “พอเข้าไปถึงในห้อง ยังไม่ทันไร พระนั่นก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว มันดูถูกว่าพี่มีตาเดียว พี่ก็ใจเย็น ยิ้มและชูสองนิ้วยินดีกับเขาที่มีสองตา มันยังไม่หนำใจ มันชูสามนิ้วอีกล้อเลียนต่อว่า แต่เราสองคนรวมกันมีสามตา”
พระพี่ชายเล่าต่อด้วยความแค้นว่า “พี่เลยชูกำปั้นกะจะชกหน้ามัน แต่อารามรีบร้อนลุกเลยสะดุดจีวรหัวน็อกพื้นไปเสียก่อน พอหายมึนจึงรีบวิ่งออกมาหมายชำระแค้นมันสักหน่อย!”

          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าในวงการต่างๆ มักมีพิธีกรรมเฉพาะหรือมีคำพูดเฉพาะ (jargon) ซึ่งในแง่หนึ่งก็อาจทำให้ดูขลัง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ทำให้ห่างเร้นไปจากความเป็นจริง แข็งทื่อ โง่งม ดังนั้นพออาจารย์ผู้ทรงความน่าเชื่อจูงจมูกหรือชี้นิ้วไปในทางใด ลูกศิษย์ก็จะเฮตามไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ก่อความวิบัติ “เน่าใน” ไปในที่สุด

 

เราต้องกล้ากบฏ
          เพื่อสังคมอุดมปัญญา ปัญญาชนต้องกล้ากบฏ (ทางความรู้ ความคิด) เพื่อใฝ่หาความรู้ใหม่ ไม่ย่ำอยู่กับที่ จึงจะเกิดปรากฏการณ์ “คลื่นลูกหลังไล่ทันคลื่นลูกหน้า” ไม่ใช่สักแต่ไปอยู่ใต้อิทธิพลของอาจารย์ที่นานวันจะทำตัวเป็น “เจ้ากู” มากขึ้นทุกที

          เพื่อให้เห็นภาพชัด ผมจึงขอเล่านิทานเซ็นอีกเรื่องให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งพระสองรูปเดินอยู่ รูปหนึ่งเป็นพระอาจารย์ อีกรูปเป็นพระลูกศิษย์หนุ่ม พอเดินไปได้สักพัก ก็พบหญิงสาวในชุดกิโมโนสวยงามยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ นางจะข้ามถนน แต่ข้ามไม่ได้เพราะถนนเป็นโคลนไปหมด ชุดของเธออาจเปรอะเปื้อนได้

          พระอาจารย์ก็เลยอาสาแบกนางข้ามไปส่งอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็เดินต่อไปอย่างหน้าตาเฉย พระลูกศิษย์อ้าปากค้าง แต่ไม่กล้าขัด (ลาภ) พระอาจารย์

          ทั้งสองเดินจนเกือบถึงวัดอยู่แล้ว พระลูกศิษย์อดรนทนต่อไปไม่ไหว จึงโพล่งถามพระอาจารย์ “อาจารย์แตะต้องตัวสตรีเช่นนี้ ไม่อาบัติหรือครับ”

          พระอาจารย์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “อาตมาวางนางลงไปตั้งนานแล้ว เจ้ายังไม่วางนางลงไปอีกหรือ” (ฮา)
นิทานเซ็นเรื่องนี้ตีความได้ว่า ศีลนั้นมีไว้สำหรับคนที่ใจยังไม่บรรลุธรรม (แต่ก็ต้องระวัง ซาตานก็มักอ้างเช่นนี้) ถ้าใจเที่ยงก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกรอบ การคิดออกนอกกรอบจะทำให้เราเกิดปัญญาและเกิดการพัฒนาในที่สุด ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราถูกกรอกหู ถูกล้างสมองโดยพวกอาจารย์นานๆ เราก็จะกลายเป็นคนคิดไม่เป็น หรือปล่อยหน้าที่การคิดให้คนอื่น

 

ปัญญาชนที่แท้
          ความเป็นปัญญาชนไม่ได้อยู่ที่มีใบปริญญา แต่อยู่ที่วัตรปฏิบัติและวัดผลที่คุณภาพการคิด ปัญญาชนที่แท้ต้องเปิดใจกว้าง ยอมรับข้อมูลที่แตกต่าง นำมาวินิจฉันและวิเคราะห์ให้ดี รู้จักฉุกคิด และคิดอย่างมีกลยุทธ คิดต่อเนื่อง ค้นหาข้อมูลและปะติดปะต่อให้เห็นความจริง นี่จึงเป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญาที่ให้เกียรติทุกคน

          อาจารย์จำนวนมาก มีแต่ฟอร์ม ยืมจมูกนักศึกษาหายใจ ขาดการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง ชอบทึกทักและชอบใช้อำนาจ ซึ่งกลายเป็นคนฉุดรั้งการพัฒนาไปอย่างน่าเสียดาย

          เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจบัณฑิตหรือปัญญาชน ผมจึงขอจบด้วยกาลมสูตร 10 เพื่อให้ทุกท่านได้ฉุกคิดว่าอย่าปลงใจเชื่อ 1.ด้วยการฟังตามกันมา 2.ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา 3.ด้วยการเล่าลือ 4.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5.ด้วยตรรก 6.ด้วยการอนุมาน 7.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8.เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน 9.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ และ 10.เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญา <5>

          ทุกคนทั้งนักศึกษา อาจารย์น้อย ต้องปลดแอกจากการครอบงำทางความคิดของอาจารย์ใหญ่ๆ ผมไม่ได้บอกให้เนรคุณอาจารย์นะครับ อาจารย์ที่แท้ต้องดีใจที่ลูกศิษย์ดีกว่าและสามารถส่งเสริมให้ลูกศิษย์คิดเป็น จึงเป็นครูที่แท้  ไม่ใช่สักแต่มาเสพสุขจากการมีอภิสิทธิ์ของการเป็นอาจารย์

 

          นักคิดที่คนเชื่อว่ายิ่งใหญ่ เช่น อานันท์ สุลักษณ์ ประเวศ ฯลฯ ต้องสามารถสร้างศิษย์ให้เหนือกว่าตนและสร้างจำนวนมากๆ ไม่ใช่ทุกอย่างยึดติดกับตัวอาจารย์

 

หมายเหตุ:   <1> ดร.โสภณ พรโชคชัย จบดุษฎีบัณฑิตด้านที่ดิน-ที่อยู่อาศัยจาก Asian Institute of Technology, ประกาศนียบัตรการพัฒนาที่อยู่อาศัย Katholieke Uniersiteit Leuven และประกาศนียบัตรการประเมินค่าทรัพย์สิน LRTI-Lincoln Institute ทำธุรกิจการศึกษาชื่อโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.trebs.ac.th) บริการทั้งในและต่างประเทศ โดยคิดค่าเล่าเรียนถูกกว่าสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินไทย และเป็นกรรมการหอการค้าไทยสาขาจรรยาบรรณและอสังหาริมทรัพย์  Email: sopon@thaiappraisal.org <2> สถิติจำนวนอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2550 ดูได้ที่ http://www.mua.go.th...0/teacher50.xls <3> โปรดอ่าน บทความ “ว่าด้วย ‘ดร. ผศ. รศ. อาจม อาจารย์’” ได้ที่ http://www.dailynews...=posts&m=219464 หรือที่ http://www.prachatai...b/th/home/13819 <4> โปรดอ่าน http://www.bloggang....roup=3&gblog=82 <5> ที่มาคือ http://larndham.net/...o.pl/002684.htm

 

 
คนเราต้องเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปมีอคติหรือความหลงแต่แรกว่าพวกเขา พวกเรา ไม่เช่นนั้น ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ และที่สำคัญ เราควรมีความรัก ปรารถนาดีและเมตตาคู่สนทนาแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม นี่จึงเป็นกุศลแท้ครับ

#332 พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,450 posts

ตอบ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 10:42

 


อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์
 

ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>

        

ชอบแสดงภูมิ
          ผมอยากบอกว่า คนเป็นอาจารย์มักชอบแสดงภูมิ ผมจำนิทานเรื่องหนึ่งที่ยายผมซึ่งเป็นคนจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่งเดินไปด้วยกันตามทาง ระหว่างทางลูกศิษย์เห็นกองอะไรดูคล้ายงูอยู่เบื้องหน้า จึงบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ ข้างหน้ามีงู” อาจารย์รีบตอบสวนกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์จึงได้ยินเสียงมันเลื้อย”

          ต่อมาลูกศิษย์เดินไปดูใกล้ๆ และใช้ไม้เขี่ยดู เห็นไม่ไหวติง จึงตะโกนมาบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ งูมันตายแล้ว” อาจารย์ก็หลับหูหลับตาตอบกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์ถึงได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ”

          และเมื่อลูกศิษย์ได้ตรวจดูอย่างละเอียดกลับพบว่าเป็นแค่เชือกขดหนึ่ง จึงบอกความจริงแก่อาจารย์ อาจารย์กลับตอบหน้าตาเรียบเฉยว่า “อาจารย์ว่าแล้วไหมล่ะว่ามันไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนี้ เธอ (ลูกศิษย์) เข้าใจผิดไปเอง”

          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อาจารย์หลายคนชอบทำตัว “แสนรู้” ให้สมฐานะอยู่เสมอๆ แต่ความจริงอาจารย์จำนวนมาก “กร่างแต่กลวง” ไม่รู้จริง

          นอกจากนี้อาจารย์ยังชอบให้คนแสดงความนับถือ ไม่ต่างจากผู้ทรงอำนาจ เพราะสามารถชี้ชะตานักศึกษาด้วยเกรด จึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง มีอัตตาสูง และขาดความคิดที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ จนบางคนถึงขนาดก่ออาชญากรรมทางเพศ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรืออาชญากรรมทางการเมือง เป็นต้น

 

 

 

 

อ่านตรงนี้แล้ว นึกถึงด๊อกฯ บางคนแถวๆนี้เลยครับ  ;)


Edited by หมื่นปีมีทักษิณชั่วคนเดียว, 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 10:42.

อยากรู้ว่าประชาธิปไตยไทยเป็นแบบไหน ให้ดูการใช้รถใช้ถนนรู้จักกันแต่สิทธิ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้

#333 phoebus

phoebus

    คณะรักษาความสงบแห่งชาติ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 11,636 posts

ตอบ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 10:44

 

ตอนนี้ post อะไรไม่ค่อยได้ เลยเอามาให้อ่านเล่นไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ

อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์
 

ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>

          ช่วงนี้ในเมืองไทยมีอาจารย์ใหญ่ๆ ออกมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้กันมากมายหลายทาง ทำให้งุนงงไม่รู้ว่าเราจะเชื่อใครดี แต่ก็วางใจเถอะครับ อาจารย์มหาวิทยาลัยมีตั้ง 53,971 คน <2> ที่ออกมาเย้วๆ จึงเป็นเพียงอาจารย์ส่วนน้อย

          วันก่อนผมกระเทาะเปลือกอาจารย์มาทีหนึ่งด้วยบทความ “ว่าด้วย “ดร. ผศ. รศ. อาจม อาจารย์” <3> พร้อมบทวิพากษ์อาจารย์มหาวิทยาลัยของแดง ไบเล่ <4> วันนี้ผมจึงมองต่างมุมในด้าน “จุดอับ” หรือ “จุดดับ” ของอาจารย์บ้าง เผื่อประเทศไทยจะเกิดบรรยากาศสังคมอุดมปัญญา ต่างคนต่างคิดได้เองโดยไม่ถูกอาจารย์ครอบงำ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ฟังคำชี้แนะ ทักทายของอาจารย์เลย

          ผมเองไม่เคยเป็นอาจารย์ประจำ ไม่เคยขโมยเวลานักศึกษาไปทำธุรกิจ แต่ไปบรรยายในสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2523 รวมทั้งโรงเรียนนายร้อย จปร. หรือสถาบันพระปกเกล้า (ยังขาดแต่โรงเรียนพาณิชย์เท่านั้น!)

          ผมเคยได้ยินว่าอาจารย์บางคนบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองสอน แต่ที่ต้องทนสอนเพราะทำตามหน้าที่! ผมฟังแล้วสังเวชใจ และเชื่อว่าเขาคงพูดไม่จริง ที่เขาทนอยู่เพราะเขาได้อภิสิทธิ์ทั้งเงินทั้งกล่องของการเป็นอาจารย์ต่างหาก

 

ชอบแสดงภูมิ
          ผมอยากบอกว่า คนเป็นอาจารย์มักชอบแสดงภูมิ ผมจำนิทานเรื่องหนึ่งที่ยายผมซึ่งเป็นคนจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่งเดินไปด้วยกันตามทาง ระหว่างทางลูกศิษย์เห็นกองอะไรดูคล้ายงูอยู่เบื้องหน้า จึงบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ ข้างหน้ามีงู” อาจารย์รีบตอบสวนกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์จึงได้ยินเสียงมันเลื้อย”

          ต่อมาลูกศิษย์เดินไปดูใกล้ๆ และใช้ไม้เขี่ยดู เห็นไม่ไหวติง จึงตะโกนมาบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ งูมันตายแล้ว” อาจารย์ก็หลับหูหลับตาตอบกลับมาว่า “มิน่าล่ะ อาจารย์ถึงได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ”

          และเมื่อลูกศิษย์ได้ตรวจดูอย่างละเอียดกลับพบว่าเป็นแค่เชือกขดหนึ่ง จึงบอกความจริงแก่อาจารย์ อาจารย์กลับตอบหน้าตาเรียบเฉยว่า “อาจารย์ว่าแล้วไหมล่ะว่ามันไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนี้ เธอ (ลูกศิษย์) เข้าใจผิดไปเอง”

          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อาจารย์หลายคนชอบทำตัว “แสนรู้” ให้สมฐานะอยู่เสมอๆ แต่ความจริงอาจารย์จำนวนมาก “กร่างแต่กลวง” ไม่รู้จริง

          นอกจากนี้อาจารย์ยังชอบให้คนแสดงความนับถือ ไม่ต่างจากผู้ทรงอำนาจ เพราะสามารถชี้ชะตานักศึกษาด้วยเกรด จึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง มีอัตตาสูง และขาดความคิดที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ จนบางคนถึงขนาดก่ออาชญากรรมทางเพศ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรืออาชญากรรมทางการเมือง เป็นต้น

 

มีวงจรอุบาทว์
          ยังมีนิทานอีกเรื่องหนึ่งเป็นของนิกายเซ็น เรื่องมีอยู่ว่า มีวัดแห่งหนึ่งเจ้าอาวาสเป็นคนเฉลียวฉลาด ส่วนพระลูกวัดซึ่งเป็นพี่ชายเจ้าอาวาสไม่ฉลาดและตาบอดข้างหนึ่ง

          ครั้งหนึ่งมีพระอาคันตุกะประสงค์จะมาค้างแรมในวัด แต่ธรรมเนียมในสมัยนั้นมีว่า ถ้าพระอาคันตุกะตอบปัญหาธรรมะไม่ได้ ก็จะไม่ได้นอน ต้องไปอยู่กลางป่า ข้อนี้ก็แปลกว่าทำไมต้องมีธรรมเนียมเช่นนี้ก็ไม่รู้

          ปกติเจ้าอาวาสมักออกงานเอง และไม่เคยมีพระอาคันตุกะไหนชนะท่านเลย แต่คราวนี้ท่านคงจะใจดีเลยส่งพระพี่ชายตาบอดไปแทน พระพี่ชายกับพระอาคันตุกะจึงเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง โดยพระพี่ชายนั่งติดผนังด้านใน ส่วนพระอาคันตุกะนั่งติดทางออก

          พระอาคันตุกะก็ถามพระพี่ชายว่า “เราจะตอบปัญหาธรรมะแบบไหนดี” พระพี่ชายก็ตอบไปว่า “แบบไหนก็ได้” พระอาคันตุกะจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเรามาใช้ภาษาท่าทางกัน”

          พระอาคันตุกะจึงชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว พระพี่ชายเห็นเข้าจึงผายยิ้มและชูขึ้นมาสองนิ้ว พระอาคันตุกะจึงเบิกยิ้มกว้างและชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว พระพี่ชายจึงทำหน้าขึงขังและชูกำปั้น เท่านั้นแหละครับพระอาคันตุกะทำหน้าซีดเผือดแล้วโค้งคำนับลาออกจากห้องมา

          พอออกมาพบเจ้าอาวาสในบริเวณลานวัดก็บอกว่าตนแพ้แล้ว เจ้าอาวาสงงว่าพระอาคันตุกะแพ้ได้อย่างไร ในใจเจ้าอาวาสคงคิดว่าตนส่ง “หมู” ไปให้แล้ว ไฉนท่านจึงแพ้อีก

          พระอาคันตุกะจึงเล่าให้ฟังว่า “พออาตมาเริ่มแข่งก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วในความหมายว่าศาสนาพุทธของเรามีพระพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่ง  พระพี่ชายท่านก็ชูขึ้นมาสองนิ้ว แปลว่ามีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมคู่กัน อาตมาจึงชูสามนิ้ว แปลว่า ต้องมีพระสงฆ์ด้วย อาตมาเชื่อว่าชนะแน่แล้ว แต่พระพี่ชายของท่านเก่งมากเลยครับ ท่านชูกำปั้น ซึ่งตีความได้ว่า ทั้งสามสิ่งรวมกันเป็นพระรัตนตรัย อาตมาจึงจนด้วยเกล้าแล้วล่ะครับ”

          เจ้าอาวาสฟังได้ด้งนี้จึงเข้าใจพร้อมกับรับคำลาของพระอาคันตุกะที่กำลังจากไป พร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ ว่าทำไมวันนี้พระพี่ชายของตนจึงเก่งอย่างนี้ พอพระอาคันตุกะคล้อยหลังไปสักพักเดียว พระพี่ชายรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาถามหาพระอาคันตุกะด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว

          เจ้าอาวาสก็ยิ่งงงใหญ่ ถามพระพี่ชายว่า “พี่ชนะแล้ว พี่มีปัญหาอะไรหรือ” พระพี่ชายรีบตอบไปว่า “ชนะกะผีอะไร พวกเรายังไม่ทันแข่งกันเลย” เจ้าอาวาสเลยยิ่งงงไปใหญ่

          พระพี่ชายเล่าให้ฟังว่า “พอเข้าไปถึงในห้อง ยังไม่ทันไร พระนั่นก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว มันดูถูกว่าพี่มีตาเดียว พี่ก็ใจเย็น ยิ้มและชูสองนิ้วยินดีกับเขาที่มีสองตา มันยังไม่หนำใจ มันชูสามนิ้วอีกล้อเลียนต่อว่า แต่เราสองคนรวมกันมีสามตา”
พระพี่ชายเล่าต่อด้วยความแค้นว่า “พี่เลยชูกำปั้นกะจะชกหน้ามัน แต่อารามรีบร้อนลุกเลยสะดุดจีวรหัวน็อกพื้นไปเสียก่อน พอหายมึนจึงรีบวิ่งออกมาหมายชำระแค้นมันสักหน่อย!”

          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าในวงการต่างๆ มักมีพิธีกรรมเฉพาะหรือมีคำพูดเฉพาะ (jargon) ซึ่งในแง่หนึ่งก็อาจทำให้ดูขลัง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ทำให้ห่างเร้นไปจากความเป็นจริง แข็งทื่อ โง่งม ดังนั้นพออาจารย์ผู้ทรงความน่าเชื่อจูงจมูกหรือชี้นิ้วไปในทางใด ลูกศิษย์ก็จะเฮตามไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ก่อความวิบัติ “เน่าใน” ไปในที่สุด

 

เราต้องกล้ากบฏ
          เพื่อสังคมอุดมปัญญา ปัญญาชนต้องกล้ากบฏ (ทางความรู้ ความคิด) เพื่อใฝ่หาความรู้ใหม่ ไม่ย่ำอยู่กับที่ จึงจะเกิดปรากฏการณ์ “คลื่นลูกหลังไล่ทันคลื่นลูกหน้า” ไม่ใช่สักแต่ไปอยู่ใต้อิทธิพลของอาจารย์ที่นานวันจะทำตัวเป็น “เจ้ากู” มากขึ้นทุกที

          เพื่อให้เห็นภาพชัด ผมจึงขอเล่านิทานเซ็นอีกเรื่องให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งพระสองรูปเดินอยู่ รูปหนึ่งเป็นพระอาจารย์ อีกรูปเป็นพระลูกศิษย์หนุ่ม พอเดินไปได้สักพัก ก็พบหญิงสาวในชุดกิโมโนสวยงามยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ นางจะข้ามถนน แต่ข้ามไม่ได้เพราะถนนเป็นโคลนไปหมด ชุดของเธออาจเปรอะเปื้อนได้

          พระอาจารย์ก็เลยอาสาแบกนางข้ามไปส่งอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็เดินต่อไปอย่างหน้าตาเฉย พระลูกศิษย์อ้าปากค้าง แต่ไม่กล้าขัด (ลาภ) พระอาจารย์

          ทั้งสองเดินจนเกือบถึงวัดอยู่แล้ว พระลูกศิษย์อดรนทนต่อไปไม่ไหว จึงโพล่งถามพระอาจารย์ “อาจารย์แตะต้องตัวสตรีเช่นนี้ ไม่อาบัติหรือครับ”

          พระอาจารย์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “อาตมาวางนางลงไปตั้งนานแล้ว เจ้ายังไม่วางนางลงไปอีกหรือ” (ฮา)
นิทานเซ็นเรื่องนี้ตีความได้ว่า ศีลนั้นมีไว้สำหรับคนที่ใจยังไม่บรรลุธรรม (แต่ก็ต้องระวัง ซาตานก็มักอ้างเช่นนี้) ถ้าใจเที่ยงก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกรอบ การคิดออกนอกกรอบจะทำให้เราเกิดปัญญาและเกิดการพัฒนาในที่สุด ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราถูกกรอกหู ถูกล้างสมองโดยพวกอาจารย์นานๆ เราก็จะกลายเป็นคนคิดไม่เป็น หรือปล่อยหน้าที่การคิดให้คนอื่น

 

ปัญญาชนที่แท้
          ความเป็นปัญญาชนไม่ได้อยู่ที่มีใบปริญญา แต่อยู่ที่วัตรปฏิบัติและวัดผลที่คุณภาพการคิด ปัญญาชนที่แท้ต้องเปิดใจกว้าง ยอมรับข้อมูลที่แตกต่าง นำมาวินิจฉันและวิเคราะห์ให้ดี รู้จักฉุกคิด และคิดอย่างมีกลยุทธ คิดต่อเนื่อง ค้นหาข้อมูลและปะติดปะต่อให้เห็นความจริง นี่จึงเป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญาที่ให้เกียรติทุกคน

          อาจารย์จำนวนมาก มีแต่ฟอร์ม ยืมจมูกนักศึกษาหายใจ ขาดการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง ชอบทึกทักและชอบใช้อำนาจ ซึ่งกลายเป็นคนฉุดรั้งการพัฒนาไปอย่างน่าเสียดาย

          เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจบัณฑิตหรือปัญญาชน ผมจึงขอจบด้วยกาลมสูตร 10 เพื่อให้ทุกท่านได้ฉุกคิดว่าอย่าปลงใจเชื่อ 1.ด้วยการฟังตามกันมา 2.ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา 3.ด้วยการเล่าลือ 4.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5.ด้วยตรรก 6.ด้วยการอนุมาน 7.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8.เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน 9.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ และ 10.เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญา <5>

          ทุกคนทั้งนักศึกษา อาจารย์น้อย ต้องปลดแอกจากการครอบงำทางความคิดของอาจารย์ใหญ่ๆ ผมไม่ได้บอกให้เนรคุณอาจารย์นะครับ อาจารย์ที่แท้ต้องดีใจที่ลูกศิษย์ดีกว่าและสามารถส่งเสริมให้ลูกศิษย์คิดเป็น จึงเป็นครูที่แท้  ไม่ใช่สักแต่มาเสพสุขจากการมีอภิสิทธิ์ของการเป็นอาจารย์

 

          นักคิดที่คนเชื่อว่ายิ่งใหญ่ เช่น อานันท์ สุลักษณ์ ประเวศ ฯลฯ ต้องสามารถสร้างศิษย์ให้เหนือกว่าตนและสร้างจำนวนมากๆ ไม่ใช่ทุกอย่างยึดติดกับตัวอาจารย์

 

หมายเหตุ:   <1> ดร.โสภณ พรโชคชัย จบดุษฎีบัณฑิตด้านที่ดิน-ที่อยู่อาศัยจาก Asian Institute of Technology, ประกาศนียบัตรการพัฒนาที่อยู่อาศัย Katholieke Uniersiteit Leuven และประกาศนียบัตรการประเมินค่าทรัพย์สิน LRTI-Lincoln Institute ทำธุรกิจการศึกษาชื่อโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.trebs.ac.th) บริการทั้งในและต่างประเทศ โดยคิดค่าเล่าเรียนถูกกว่าสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินไทย และเป็นกรรมการหอการค้าไทยสาขาจรรยาบรรณและอสังหาริมทรัพย์  Email: sopon@thaiappraisal.org <2> สถิติจำนวนอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2550 ดูได้ที่ http://www.mua.go.th...0/teacher50.xls <3> โปรดอ่าน บทความ “ว่าด้วย ‘ดร. ผศ. รศ. อาจม อาจารย์’” ได้ที่ http://www.dailynews...=posts&m=219464 หรือที่ http://www.prachatai...b/th/home/13819 <4> โปรดอ่าน http://www.bloggang....roup=3&gblog=82 <5> ที่มาคือ http://larndham.net/...o.pl/002684.htm

 

 

 

 

 

เหมือนจะฉลาดเรยนะ ที่เอาไอ้นี่มาให้อ่าน

 

มันก็กาลามสูตรทั่วไปดี ๆ นี่แหระ

 

นึกหรือว่าคนเขาไม่รู้

 

 

ขำว่ะ

 

 

:lol:  :lol:


ข้าจักล้มล้าง ระบอบทักษิณ ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย 


#334 phoebus

phoebus

    คณะรักษาความสงบแห่งชาติ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 11,636 posts

ตอบ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 11:11

นี่นะ ด็อก ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แระ

 

ถ้าอยากแนะนำตัวขนาดนั้น อีแบบนี้มะเอา

 

ประวัติแบบประวัติสมัครงานไม่เอา

 

 

ขอประวัติแบบ อัตชีวประวัติ ได้ป่ะ ?

 

เข้าใจป่ะ อัตชีวประวัติ เป็นยังไง

 

 

เช่น เกิดเมื่อไหร่ พ่อแม่ทำอาชีพอะไร ต้นตระกูลมาจากไหน มีพี่น้องกี่คน พ่อแม่ปัจจุบันตายห่านไปยัง เรียนจบมาจากไหน ตอนเด็ก  ๆ เป็นยังไง ได้รับอิทธิพลมาจากไหน แร้วโตขึ้นเป็นยังไง ทำไมถึงสนใจทางด้านนี้ มีลูกมีเมียหรือยัง เจอเมียยังไง ? ลูกโตขึ้นอยากให้เป็นอะไร อะไรทำนองนี้อ่ะ

 

 

เขียนมาเป็นประโยคบอกเล่า เหมือนเล่าเรื่องทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่เขียนแบบคอลัมน์

 

 

ร่ายมา จะรออ่าน เชื่อว่าหลายคนก็อยากรู้ด้วย

 

 

:lol:  :lol:  :lol:


ข้าจักล้มล้าง ระบอบทักษิณ ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย 





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน