เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตะนิ่นตาญี เดิน ตุหรัด-ตุเหร่ เล่นอยู่แถวแถว
ถนนราชดำเนินกลาง เนื้อแท้ นั้น อยากเห็นเส้นทางที่ว่ากันว่า
จะใช้สำหรับการแข่ง F-1 หรือ ที่มักเรียกกันว่า การแข่งรถสูตร ๑
วันนั้น ตะนิ่นตาญี เริ่มเดินตั้งแต่ด้านหน้า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝั่งสนามหลวง
ไปยัง พระบรมมหาราชวัง จาก ประตูวิเศษไชยชาญ ผ่าน ประตูมณีนพรัตน์
เลี้ยวขวาไปด้านหน้า กระทรวงกลาโหม ย้อนกลับมาที่ ศาลหลักเมือง
ไหว้ พระหลักเมือง และ หลักเมือง แล้วมา ศาลฎีกา ตรงขึ้นมาไหว้ แม่พระธรณีบีบมวยผม
เสร็จแล้วออกมาที่ ถนนราชดำเนินกลาง...
เดินไป-คิดไป ถึง Camp élysées Avenueหรือ ที่คนไทยเรียกติดปากกันว่า ถนน ชอง อาริเซ่ นั่นเอง
คำว่า élysées นั้น หมายความถึง Elysium Fields อันได้แก่สถานที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งอยู่ ระหว่าง นรก กับ สวรรค์ ของ ฟารั้ง เป็นที่พักอาศัยของผู้ประกอบกรรมดี
ที่รอเวลาขึ้นสวรรค์หรืออย่างไรประมาณนั้น หากเพื่อนเพื่อนท่านใดมีความรู้
เรื่อง นรก-สวรรค์ ของ ฟารั้ง มัน จะขยายความเรื่องนี้ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง
ว่ากันว่า เมื่อครั้งปี พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้มี บุคคล ที่ยังอยู่ใน วัยฉกรรจ์ กลุ่มหนึ่ง
ผู้ซึ่งได้ไปศึกษาวิชาต่อที่ ประเทศฝรั่งเศส ได้ พบปะสมาคมเที่ยวเตร่กันใน Paris
จนมีความช่ำชองในมหานครแห่งนั้นเสียทั่วไป พวกเขาได้เห็นความสวยงามของนครแห่งนั้น
เมื่อกลับมายังแผ่นดิน อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน พวกเขาก็ได้ก่อการปฏิวัติขึ้น.....
การปฏิวัติ นั้น ได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแผ่นดินสยาม
จาก สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็น การปกครองแบบประชาธิปไตย
ถึงแม้นว่าจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น ประชาธิปไตย แล้ว
คนหนุ่มกลุ่มนั้นก็ไม่สามารถลบล้างความคิดแบบโบราณที่ว่า ตนเองเป็น ฝ่ายชนะ
เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเขา จึงเข้าใจกันเอาเองว่า "บ้านเมือง เป็นของ พวกเขา แต่เพียงฝ่ายเดียว"
หากใช้ภาษาไทยที่มี สำนวน สวิงสวาย สักหน่อยก็เห็นพอจะเขียนได้ว่า
"เสียงส่วนใหญ่ คือ ความถูกต้อง"
เจ้าประคุณเอ๋ยเกิดมา ไม่เคยเห็น-ไม่เคยเจอ ร่ำเรียนมาไหนต่อไหน
ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้องแล้ว ประเทศไทย ก็คงไม่จำเป็นต้องมี กฎหมาย
ไว้ตัดสินว่า ใครถูก-ใครผิด ใช้ direct free kick เอ๊ย ไม่ใช่ ขอประทานโทษ ใช้ vote กันไปเลย
สิ้นเรื่อง-สิ้นราว แล้วไปบอก ปราชญ์ฟารั้ง มันด้วย ว่า.....
ไอ้กล้วย เอ๋ย ประชาธิปไตย ไม่จำต้องมี check and balance ดุล และ คาน
กันให้ เมื่อย ตะเข็บลูกหมาก แต่อย่างใด ใช้ vote กันอย่างเดียว ได้เสียวสมใจแน่แน่
มาคุยกันเรื่อง Camp élysées Avenue กันต่อดีกว่านะเพื่อนเพื่อน
เมื่อคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองมีความเห็นว่าบ้านเมืองเป็นของตนเช่นนี้
ก็มีความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์บ้านเมืองที่ตนยึดมาได้นั้น
ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทรรศนะของตน และเมืองที่คณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองเห็นว่า
เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเวลานั้นก็คือ กรุงปารีส พวกเขา จึงมีความประสงค์
ที่จะตัดถนนหนทางและสร้างตึกรามอาคาร ใน กรุงเทพฯ ให้มี
ลักษณะโอ่อ่าภูมิฐานเหมือนกับที่ กรุงปารีส.....
ความคิดนั้น ได้ก่อกำเนิดขึ้นที่ "ถนนราชดำเนินกลาง" อันมีที่ดินทั้งสองฝากฝั่งเป็น
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้จัดการแยกไว้ต่างหาก
แล้วให้คนอื่นที่ไม่ใช่ พระมหากษัตริย์ หรือ ผู้ที่มิใช้ พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้ง
เข้าจัดการดูแลทรัพย์สินนั้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือ คณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มีอำนาจ
ถึงขนาดที่จะสั่งใช้ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในทางใดใดก็ได้
อำนาจนี้มีถึงขนาดรุกล้ำเข้าไปถึงการจัดการ "พระคลังข้างที่"
อันเป็นอีก พระคลัง หนึ่ง ใน การใช้เก็บ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
เพื่อนเพื่อนว่าไหมครับ ทรัพย์สิน-เงิน-ทอง นั้นเป็นของแปลก
หากใครได้เข้าไปอยู่ใกล้ใกล้ มีสิทธิ-มีอำนาจในการจับต้องของพวกนี้
พวกเขาก็มักที่จะร่ำรวยได้อย่างกะทันหัน
หากใครไม่เชื่อก็ลองดู รัฐมนตรีสีม่วง ปะไร จากที่เคยทำธุรกิจขาดทุนมหาศาล
กลับกลายมาร่ำรวยแบบ ไม่มีหัว-ไม่มีหาง ให้ชาวบ้านเขานินทากัน
เฮ้อ...ว่าจะไม่แล้วเชียวนา คริคริคริๆๆๆ
อย่างไรก็ตาม การสร้าง ถนนราชดำเนินกลาง ขึ้นมาใหม่นั้น ก็ได้เป็นไป
สมอารมณ์หมาย ของ เหล่าคณะผู้ก่อการฯ ในอันที่จะสร้างบ้านเมือง
ให้ละม้ายคล้ายคลึง กับ กรุงปารีส อันเป็นมหานครที่ตนได้ให้ความนิยมมาแต่ยังละอ่อน
จะให้ถนนกว้างใหญ่อย่างเดียวเห็นที่จะไม่พอ ต้องขยายทางเดินเท้าออกไป
ให้มีพื้นที่มากพอที่จะวาง โต๊ะ-เก้าอี้ เพื่อจะได้ใช้ นั่ง จิบน้ำชา-กาแฟ กันแบบ ฟารั้งมัน
เมื่อได้ดัดแปลงแต่งแต้ม ถนนราชดำเนินกลาง จนสมใจนึกบางลำพู พร้อมทั้ง
ได้ก่อสร้าง โรงร้าน-โรงแรม-โรงมหรสพ พร้อมมูลแล้ว
เหล่าผู้ก่อการฯ จึงได้ป่าวประกาศเชิญชวนให้ประชาชนเข้าไปเช่าตึกรามอาคารเพื่อทำการค้า
ในชั้นแรกนั้นก็ไม่มีใครนิยมเข้าไปเช่าแต่อย่างใดว่างอยู่นานหลายปีทีเดียว
จึงได้มีคนเข้าใช้มาจนถึงทุกวันนี้.....
จริงจริงแล้วก็น่าสนุกดีอยู่หรอกครับเพื่อนเพื่อน ที่ได้ไปเห็นอะไรอย่างใด
ที่ตัวเองชอบแล้วเมื่อมีอำนาจขึ้นมาก็เก็บเอาสิ่งเหล่านั้นมาทำขึ้นในบ้านเมืองของตน
โดยไม่ต้องไป สนใจ-ใส่ใจ ว่า คนอื่น เขาจะชอบหรือไม่แต่อย่างใด เขาต้องการสิ่งเหล่านี้หรือไม่
ลืมไปเสียสิ้นถึง รากฐาน-อารยธรรม ของ คนไทย และ ความเป็นไทย
พูดไปทำไมมี...ดูได้ไม่ต้องไปไหนไกล คนกล่าวอ้าง-ยกหางตัวเอง ว่า มีความรู้
ลืมไปเสียสิ้นแล้วว่า ความรู้ นั้น ไร้ค่า เมื่ออยู่ในตัว ของ คนที่ ไร้ความดี
เอาเทอดตามสบายเดี๋ยวไอ้หมอนั่นมันก็จมน้ำลายที่คนเขาถ่มถุยตายไปเอง
ตะนิ่นตาญี
วันพฤหัสบดีที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖
เวลา ๗.๑๒ นาฬิกา