Jump to content


Photo
- - - - -

หน้ากากวี,ไทยสปริง กับการพลิกฟื้นคืนชีพของ ’นกสีเหลือง’


  • Please log in to reply
ยังไม่มีผู้แสดงความเห็นในกระทู้นี้

#1 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 11:05

cats5.jpg

 

ถ้าไม่มีปาฐกถาของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มองโกเลียแล้ว ปรากฏการณ์ 2 ชนิด คือ “หน้ากากวี” และ “ไทยสปริง” คงไม่เกิดขึ้นในสังคมไทยปรากฏการณ์ทั้งสองเรื่องนี้ เกิดขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่จะบอกต่อชาวโลกทั่วๆ ไปให้รู้ว่า “ปาฐกถาของคุณยิ่งลักษณ์นั้น มีอะไรที่เป็นความจริงและมีอะไรที่เป็นความเท็จบ้าง” สัญลักษณ์ที่เก็บเกี่ยวมาใช้จึงต้องเป็นสัญลักษณ์ที่เป็น “สากล” ที่จะบ่งบอกต่อชาวโลกให้ทราบโดยอัตโนมัติว่า “ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการรัฐสภาที่ครอบงำสื่อ ปิดหูปิดตาประชาชน ทุจริตคอร์รัปชั่นและรังแกข้าราชการที่ดี” เพราะ “หน้ากากวี” และ “สปริง” คือสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับการบริหารงานของรัฐบาลเผด็จการที่เกิดขึ้นทั่วโลก ถ้าประเทศไหนไม่มีรัฐบาลเผด็จการ, ทุจริต สัญลักษณ์ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็จะไม่ปรากฏขึ้นในประเทศนั้นอย่างแน่นอน

 

“ไทยสปริง” นั้น มีผู้นำที่แน่นอน ชัดเจน แต่ “หน้ากากวี” กลับไม่มีผู้นำที่แน่นอน มีเพียงแต่กลุ่มที่ริเริ่มขึ้นมาเท่านั้น การเคลื่อนไหวในปัจจุบันจึงมีสภาพที่มีหลากหลายกลุ่ม ไม่ขึ้นตรงต่อกัน คนใส่หน้ากากวีทำมาหากินเลี้ยงชีพตามปกติ จะออกมาเคลื่อนไหวเมื่อมีการนัดหมายขึ้นมา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่คนของรัฐบาลพยายามจะออกมาหาผู้บงการกลุ่มหน้ากากวี ซึ่งปัจจุบันกลุ่มหน้ากากวีเกิดขึ้นเกลื่อนไปหมดทุกจังหวัดและนับวันก็ยิ่งแพร่ขยายมากขึ้นตามวันเวลา

 

แค่นั้นไม่พอ มีการออกมาห้ามขายหน้ากากวีจากคนของรัฐ แม้จะทำอย่างลับๆ แต่ก็ทราบกันทั่วไป คนของรัฐไม่ได้เรียนรู้เลยว่า “ในปัจจุบัน หน้ากากวีไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าคนเท่านั้น แต่ยังอยู่ในใจของผู้คนอีกด้วย” ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาได้แสดงออกมาแล้วทั้งในรูปของการใส่เสื้อยืดเป็นรูปหน้ากากวี, ทำหน้ากากวีจากกระดาษ เอ4, เขียนสีบนใบหน้าตัวเอง ฯลฯ ดังนั้นการหาตัวผู้บงการและการห้ามขายหน้ากากวีจึงไม่ผล เป็นการจุดกระแสให้ผู้คนที่ใส่หน้ากากวีเริ่มขยายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ความฝันในการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของพระเอกในภาพยนตร์ “วี ฟอร์ เวนเดตต้า” (V for Vendetta) หรือ “เพชฌฆาตหน้ากากพญายม” ที่เป็นผู้สร้างหน้ากากวีขึ้นมานั้น ในภาพยนตร์มีวลีปลุกเร้าประชาชนไว้หลายคำพูด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน คำพูดเหล่านี้ก็ใช้ได้เสมอครับ ถ้ามีรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่นเผด็จการเกิดขึ้น เช่น

 

“People should not be afraid of their governments, Governments should be afraid of their people”

(ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของพวกเขา แต่รัฐบาลควรจะกลัวประชาชนมากกว่า)

 

“If you don’t let us dream, We won’t let you sleep”

(ถ้าคุณห้ามไม่ให้พวกเราฝัน เราก็จะไม่ปล่อยให้คุณหลับนอนเช่นกัน)

 

หนทางแก้ไขปัญหานี้ของรัฐบาลจึงไม่ได้อยู่ที่การใช้อำนาจรัฐ เพราะปัจจุบันทั่วโลกกำลังจับตาการเคลื่อนไหวเรื่องหน้ากากวีในประเทศไทยอยู่สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งส่งผู้สื่อข่าวพิเศษเข้ามาทำข่าว ดังนั้นการใช้อำนาจรัฐปราบปรามก็ยิ่งเป็นการบ่งบอกว่า “รัฐบาลเฮงซวยจริงตามข้อกล่าวหา”กฎเกณฑ์ของสังคมโลกก็จะบีบรัฐบาลให้ขยับตัวลำบากขึ้น ดีไม่ดีจะเดือดร้อนไปถึงคุณทักษิณ ที่ยังต้องอาศัยพื้นที่และสังคมโลกอยู่นอกประเทศด้วย

 

ข้อกล่าวหาหลักๆ ของกลุ่มหน้ากากวีส่วนหนึ่งระบุว่า “การเมืองไทยอยู่ในยุคสมัยที่เหลวแหลกที่สุด การใช้ประชาธิปไตยเพียงแค่เสียงจากการเลือกตั้งแล้วนำไปกำหนดนโยบายเพื่อสนองผลประโยชน์ของนักการเมืองและกลุ่มทุนการเมือง เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง… สุดท้าย สิ่งที่เรารับไม่ได้เลยก็คือ เหตุการณ์เผาบ้าน เผาเมืองในปี 2553 เราหลายคนได้รับผลกระทบมากมายจากการคุกคามดังกล่าว ทั้งเรื่องทรัพย์สินและความปลอดภัยในชีวิต ตราบเท่าทุกวันนี้ คนกระทำผิดยังลอยนวล แถมยังเดินหน้าเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองบ้าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมบ้าง การนำเงินภาษีไปเยียวยาคนเสื้อแดง ทุกสิ่งเหล่านี้ทำให้เรายอมรับไม่ได้ ที่กฎหมู่ และการกระทำผิดกฎหมายจะอยู่เหนือสิ่งที่ถูกต้อง”

 

ความคิดเห็นดังกล่าวนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลอย่างชัดเจน การแก้ไขปัญหาของหน้ากากวีและไทยสปริงนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ ครับ ถ้ารัฐบาลตั้งใจจะแก้ไขจริงๆ โดยเริ่มจากการปรับปรุงแก้ไขการทำงานของรัฐบาลเสียใหม่ ทำรัฐบาลให้เป็นรัฐบาลของคนทุกสีและทุกภาคก็เท่านั้นเองครับ

 

หน้ากากวีและไทยสปริงน่ากลัวไหมสำหรับรัฐบาล น่ากลัวซิครับ การที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวกันเองโดยไม่มีแกนนำอย่างหลากหลายนั้นบ่งบอกว่า “ความอดทนต่อการบริหารงานของรัฐบาลนั้นเหลือน้อยมากๆ” การเริ่มต้นแบบนี้คือการเริ่มต้นของเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ที่เริ่มจากจุดเล็กๆ หลายจุดจากกลุ่มย่อยเล็กๆ ในจุฬาฯ, รามฯ, มหิดล และธรรมศาสตร์ จนในที่สุดกระแสธารเหล่านี้ได้ไหลมารวมกันเป็นกระแสมหาประชาชน ลองอ่านเรื่อง “เมื่อนกสีเหลืองบินกลับมาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง” ที่ผมเขียนไว้ในเฟซบุ๊กเมื่อ 2-3 วัน ที่ผ่านมา ดูซิครับ แล้วก็จะรู้ว่าหน้ากากวีน่ากลัวไหม

 

เจ้า “นกสีเหลือง” รุ่นใหม่ได้เริ่มทยอยกันออกเดินทางมาต่อสู้กับทุนนิยมสามานย์ อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ “ไม่กางปีกหลีกบินจากเมือง” แต่กลับบินเข้ามาต่อสู้ในเมือง ไม่ต่อสู้ด้วยกระบอกปืน แต่สู้ด้วย “หน้ากากวี” เพื่อให้คนทั้งโลกและคนไทยส่วนใหญ่ได้รับรู้สถานการณ์ที่แท้จริงของประเทศไทย เมื่อไรที่คนไทยใส่หน้ากากทั้งเมือง ชักธงชาติไทยทุกบ้าน เมื่อนั้นรัฐบาลที่แข็งแรงขนาดไหนก็ต้องไปครับ

 

เมื่อ 14 ตุลา 16 เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ยืนบนม้านั่งพูดชักชวนให้นักศึกษาออกมาชุมนุม มีคนฟังอยู่ 10 กว่าคน น้อยกว่าพวกผมที่นั่งคุยกันอยู่เสียอีกผมกับ “เต๋อ” เรวัต พุทธินันทน์ นั่งดูอยู่ตีนบันไดตึกศิลปศาสตร์ เกิดสงสาร ให้เด็กปี 1 ไปซื้อน้ำให้พวกที่นั่งฟังกิน ตอนพวกเรากลับบ้านยังพูดกันว่า “พรุ่งนี้มาช่วยมันนั่งฟังหน่อยวะ จะได้ช่วยเรียกคน” เพื่อนบางคนบอกว่า “อย่าดีกว่าพวกมึงจะทำให้คนเดินหนีไม่เข้าไปฟังเสียมากกว่า” เพราะเต๋อ ผม และเพื่อนเต๋อหลายคน ตอนนั้นไว้ผมยาวประบ่า เป็นตัวแปลกประหลาดในยุคสมัยนั้น... วันรุ่งขึ้นผมมาถึงมหาวิทยาลัยตอนบ่ายๆ ตกใจครับ คนเป็นพัน แล้วก็เป็นหมื่นในตอนค่ำ จากนั้นก็เป็นแสนในวันต่อมา ดังนั้นอย่าประมาทประชาชนเป็นอันขาดครับ ไม่ว่าเขาจะเริ่มต้นจาก 10 คน หรือ 100 คนก็ตาม...

 

http://chaoprayanews...ไทยสปริง-กับกา/

 

หน้ากากวี,ไทยสปริง กับการพลิกฟื้นคืนชีพของ’นกสีเหลือง’ : กระดานความคิด โดยพล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์


:) Sometime...Sun shine through the rain...




ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน