วันที่รัฐมนตรีพาณิชย์ ประกาศว่า ตัวเลขขาดทุนโครงการจำนำข้าวแจ้งกับประชาชนไม่ได้ เพราะ “ยังไม่ปิดบัญชี”
เป็นวันเดียวกับที่นายกฯประกาศให้กระทรวง ทบวง กรม ทำการ “ประชาสัมพันธ์เชิงรุก” เพราะสาธารณชนไม่รู้ถึงผลงานมากมายของรัฐบาล และหลังจากที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินสายต่างประเทศด้วยคำปราศรัยตอกย้ำความสำคัญของระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศอย่างกว้างขวาง รัฐมนตรีพาณิชย์บุญทรง เตริยาภิรมย์ บอกว่า ข้อมูลที่ว่าโครงการจำนำข้าวขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทไม่เป็นความจริง และผู้ออกข่าวเช่นนั้นมี “เป้าหมายทางการเมือง” ผู้คนจะเชื่อสนิทใจ หากรัฐมนตรีจะแสดงหลักฐานเพื่อรายงานประชาชนตัวเลขขาดทุนจริง ๆ เท่าไหร่ และจะต้องใช้เงินภาษีประชาชนอีกเท่าไหร่ในฤดูหน้า อีกทั้งบอกด้วยว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถขายข้าวที่แพงกว่าราคาตลาดได้ในตลาดต่างประเทศ
แต่ท่านรัฐมนตรี บอกว่า ยังบอกไม่ได้ เป็นความลับ เพราะการจำนำข้าวยังอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ จึงยังไม่มีการปิดบัญชี ทำไมยังไม่มีการปิดบัญชี? รัฐมนตรีตอบว่า เพราะการจะปิดบัญชีได้ต้องทราบผลการขายข้าวที่ได้จากการรับจำนำให้ชัดเจนก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้ต้องเวลาประมาณ 2-3 ปี... 2-3 ปี?
ท่านรัฐมนตรีบอกด้วยว่า กระทรวงฯ ยังระบายข้าวออกจากสต็อกไม่หมด ทำให้ยังปิดรอบบัญชีโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ และราคาข้าวที่ระบายออกผ่านรัฐต่อรัฐ (g-to-g) แต่ละประเทศก็มีราคาขายที่แตกต่างกัน แปลว่าคนไทยจะต้องรออีกสองถึงสามปีจึงจะรู้ว่าโครงการนี้ขาดทุนเท่าไหร่กระนั้นหรือ? แปลว่ากระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถรายงานประชาชนว่า ณ วันนี้ตัวเลขขาดทุนเป็นเท่าไหร่กระนั้นหรือ? แปลว่าสิทธิการรับรู้ผลการทำงานของรัฐมนตรีและรัฐบาลของประชาชนอยู่ที่ว่ารัฐบาลพร้อมจะแถลงเมื่อไหร่กระนั้นหรือ?
... หากวิธีคิด และแนวทางปฏิบัติของรัฐมนตรีเป็นเช่นนี้ ก็จะผิดกับคำสั่งนายกฯให้กระทรวงทบวงกรมทำการ “ประชาสัมพันธ์เชิงรุก” อย่างรุนแรง เพราะนี่คือการประชาสัมพันธ์มุมกลับที่ไม่เพียงแต่เป็นการ “ตั้งรับ” เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการ “ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม” พื้นฐานของคนทั่วไปอีกด้วย ยิ่งหากบอกว่า รัฐบาลต้องการจะสร้าง “ความเป็นประชาธิปไตย” ในประเทศไทยอย่างจริงจังด้วยแล้ว, ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่ากรณีการไม่ยอมตอบคำถามของชาวบ้านคือการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานแห่งระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง...
การที่คนไทยเรียกร้องต้องการข้อมูลทุกขั้นตอนของโครงการที่ต้องใช้เงินมโหฬารเช่นนั้นก็เพื่อจะได้เสนอความเห็นต่อรัฐบาลว่าควรจะเดินหน้า, ถอยหลัง, ยกเลิก, หรือปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่อย่างไร...มิใช่เพียงเพื่อ “รับทราบ” หากแต่ต้องการใช้สิทธิเพื่อ “ถกแถลงเพื่อหาทางออก” ให้กับนโยบายที่ได้ก่อให้เกิดคำถามมากมายมายาวนาน แต่รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าโดยไม่ฟังเสียงทัดทานเลยแม้แต่น้อย ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมิได้กระทบตัวนักการเมืองหรือข้าราชการที่เกี่ยวข้อง หากแต่จะส่งผลต่อคนไทยทั้งประเทศ และกระทบความน่าเชื่อถือของประเทศ ไม่ว่าข่าวเรื่องสำนักจัดลำดับความน่าเชื่อถือ Moody’s Investors Service ตั้งประเด็นนี้เพื่อวิเคราะห์อันดับ credit ratings ของไทยจะมีที่มาที่ไปอย่างไร
... แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็คือว่านายกรัฐมนตรี ดูเหมือนจะไม่มีข้อมูลล่าสุดที่ "ลุ่มลึก" เกี่ยวกับจำนวนเงินที่ใช้ไป และระดับการขาดทุนรุนแรงเพียงใด และกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงการคลัง ไม่ได้มีการประสานงานกันอย่างที่ควรจะเป็นในการดำเนินนโยบายที่มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้ รัฐบาลใช้เงินภาษีประชาชนแล้วบอกว่าตัวเลขเป็น “ความลับ” นั้น ย่อมแสดงถึงความไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่ง...
... เพราะรัฐบาลมาแล้วก็ไป นักการเมืองร่ำรวย ได้คะแนนเสียง และสามารถฉกฉวยโอกาสจากนโยบายประชานิยม ที่หนังสือพิมพ์พาดหัวว่า “รัฐบาลเจ๊ง” นั้นผิดครับ ที่จะ “เจ๊ง” จริง ๆ หากไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายใช้เงินมโหฬารเพื่อโครงการเยี่ยงนี้คือประชาชนผู้เสียภาษีนั่นแหละ...
http://www.bangkokbi...0215/à¨ê§!.html