คนไทยเริ่มรู้จักประชาธิปไตยมานานกว่า 700 ปีแล้วในประัวัติศาสตร์ เพียงแต่ในตอนนั้นมันไม่ได้ชื่อประชาธิปไตย มันอยู่ในชื่ออื่นเท่านั้นเอง
หลักการประชาธิปไตยในเบื้องต้นนั้น มีอยู่ในพุทธศาสนามานานกว่า 2600 ปีแล้ว แค่คนไทยเพิ่งจะมาศรัทธาศาสนาพุทธในเวลาราวๆ ไม่ถึง 1000 ปีมานี้เอง
หลักการที่ว่านั้นชื่อ "เยภุยยสิกา" เป็นหนึ่งในวิธีการปกครองแบบพุทธที่เรียกว่า "วิภัชชวาท" ก็จะแยกแยะเป็นกรณีไปดังนี้
- เยภุยยสิกา การยึดถือเอาเสียงส่วนใหญ่ มาใช้ในการระงับอธิกรณะสมถะ หรือความแยกแยกในหมู่สงฆ์
- เอกฉันท์ การยึดถือความเห็นโดยรวม หากขาดเพียงเสียงใดเสียงหนึ่งก็จะไม่สำเร็จกรรม เช่น การอุปสมบท หากมีพระรูปใดแย้งขึ้นกลางหมู่สงฆ์ บุคคลนั้นก็จะไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากไม่ครบองค์ประกอบ (อันนี้ถือว่าเป็นการเคารพเสียงส่วนน้อย)
- พระเถระเป็นใหญ่ ยึดถือตามคำของพระเถระผู้นำคณะสงฆ์ ใช้ในกรณีทั่วๆ ไป ที่ต้องมีผู้นำในการทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะให้อำนาจผู้นำได้มีโอกาสก่อน
- ผู้มาก่อนเป็นใหญ่ ยึดถือตามลำดับก่อนหลัง ให้สิทธิผู้มาก่อนเป็นใหญ่ ผู้มาทีหลังก็จะได้สิทธิในลำดับถัดไป เปรียบเหมือนการเข้าคิวนั่นเอง
เหตุผลที่ผมบอกไว้ในเบื้องต้นว่า เมืองไทยยังไม่พร้อมสำหรับระบอบประชาธิปไตย เพราะ
- เรายังมีผู้ด้อยการศึกษาเป็นจำนวนมาก ที่ยังไม่รู้จัก การเคารพสิทธิ์ผู้อื่นเช่นเดียวกับเคารพสิทธิ์ตัวเอง การต่อคิว ฯลฯ อันเป็นส่วนประกอบสำคัญในการพัฒนาประเทศ
- จาก ข้อ 1 ผู้ด้อยการศึกษาเหล่านั้น ยังไม่รู้แม้กระทั่งว่า ควรทำตัวอย่างไรให้เหมาะสมในฐานะพลเมือง แม้แต่ประมุขของประเทศก็ยังเอามาเหยียบย่ำ
- เรามีคนเห็นแก่ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวมมากเกินไป แล้วคนเหล่านี้กลับได้เป็นใหญ่ในรัฐบาลด้วยวิธีการเป็นทาสรับใช้นายทุนของเขา หาได้รับใช้ประชาชนตามที่สัญญาไว้ไม่
- เราขาดคนที่มีการศึกษา มีฐานะ และมีอิทธิพลมากพอที่จะเป็นผู้นำในการเป็นแบบอย่างที่ดี
ด้วยเหต 4 ข้อที่ว่ามา...จึงยังไม่ควรที่จะใช้ระบอบประชาธิปไตยเป็นฐานในการปกครอง ควรที่จะให้การศึกษากับประชาชนให้มีความพร้อมเสียก่อน จึงจะสามารถเปลี่ยนไปในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์