“ยิ่งลักษณ์” ซื้อเวลาโยน “วราเทพ” แจงจำนำ ทั้งที่ประชุมบ้านพิษณุโลกเพิ่งตั้ง “โต้ง” เป็นพีอาร์หมาดๆ ใบ้กินตัวเลขขาดทุนที่รับได้ บอกเพียงให้สมดุล “บุญทรง” ส่อแววตายเดี่ยวถูกปูบี้หนัก เริ่มเล่นแร่แปรธาตุ อนุมัติรวม “นาปี-นาปรัง” เป็นชุดเดียว พร้อมให้ใช้เงินขายสินค้าเกษตรทั้งกระบิมาอุ้มข้าว ซ้ำร้ายสั่ง ธ.ก.ส.แยกบัญชีนอกงบประมาณ ไม่ต้องตั้งสำรองสินทรัพย์เสี่ยง “เต้น” ยังตอบไม่ได้ขายข้าว 1.2 แสนล้านให้ใคร “ธีระชัย” ซัด พณ.แถลงหลอกลวง ชี้ตัวเลขขาดทุนหักสต็อกแล้ว วงการค้าข้าวเชื่อข้อมูลเจ๊ง 2.6 แสนล้านบาท
ตัวเลขการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดยังคงเป็นปริศนาอยู่ โดยล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดกำแพงเพชรว่า ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าต่างกระทรวงต่างชี้แจง กระทรวงพาณิชย์จะพูดเพียงว่าขายข้าวได้จำนวนเท่าไร กระทรวงการคลังบอกว่าขายข้าวได้เงินเท่าไร แล้วประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อขายข้าวแล้วภาพรวมเป็นอย่างไร จนทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน จึงมอบหมายให้นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานราชการ ข้อมูลจากสาธารณชนทั้งหมด เพื่อนำมาประมวลนำเสนอข้อเสนอแนะให้เกิดความชัดเจน ทั้งที่ในการประชุมที่บ้านพิษณุโลก เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์เพิ่งตั้งทีมประชาสัมพันธ์ โดยมอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.การคลังดูแลเรื่องโครงการรับจำนำข้าว
เมื่อถามว่า รัฐบาลยังยืนยันจะเดินหน้าในโครงการรับจำนำข้าวใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ตัวนโยบายถือเป็นนโยบายที่ดี ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลเข้าใจข้อห่วงใยต่างๆ จึงได้ให้ทุกหน่วยงานรวบรวมข้อมูล และให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) กลับไปพิจารณาต่อไปว่า การรับจำนำข้าวในวันข้างหน้าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น ให้เป็นไปตามข้อห่วงใยทุกข้อลงไปในรายละเอียดในเชิงปฏิบัติต่อไป ซักต่อว่า การเปิดเผยตัวเลขช้าจะเป็นผลลบต่อรัฐบาลหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่เป็น ตัวเลขก็คือตัวเลข ทุกอย่างอยู่ในระบบบัญชี เป็นฐานข้อมูลของรัฐอยู่แล้ว ส่วนปัญหาการทุจริต รัฐบาลได้ตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งหากพบการทุจริตก็ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนข้อโต้แย้งต่างๆ เรื่องก็อยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน ขอให้แยกกัน เมื่อถามว่า คิดว่าตัวเลขขาดทุนควรอยู่ที่เท่าไรที่เกษตรกรอยู่ได้ เศรษฐกิจประเทศอยู่ได้ นายกฯ กล่าวว่า ต้องดูความสมดุล ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ หลังรวบรวมข้อมูลและประเมินเพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะต่างๆ แต่เมื่อถามว่า ได้เวลาปรับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์หรือยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้แถลงผลประชุม ครม.ว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ได้รายงานยอดเงินในโครงการจำนำที่โอนผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการโดยตรง 618,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดรวมตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อปี 2554 ถึงวันที่ 31 พ.ค.56 และมีปริมาณข้าวเปลือก 39.1 ล้านตัน ซึ่งที่ประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ถามถึงการชี้แจงตัวเลขการดำเนินโครงการ ซึ่งนายบุญทรงยอมรับว่า ยังคงมีข้อมูลที่สับสนบ้าง และได้ให้ กขช.รับผิดชอบเรื่องข้อมูลทั้งหมด ซึ่ง กขช.จะประชุมในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ จึงต้องรอผลสรุปออกมาอย่างไร ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะมีข้อมูลเป็นตัวเลขมาเลยหรือไม่ นอกจากนี้ นายบุญทรงยังเสนอให้มีคนกลางเป็นผู้ให้ข้อมูลและชี้แจงต่อสาธารณะ
อ้างวราเทพเคยเป็น รมช.พณ. นายธีรัตถ์กล่าวว่า นายกฯ ได้มอบให้นายกิตติรัตน์เป็นคนกลาง แต่นายกิตติรัตน์เห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ จึงเสนอนายวราเทพเพราะเคยเป็น รมช.พาณิชย์ด้วย จึงเชื่อว่าจะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ นายวราเทพกล่าวว่า จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะของหน่วยงาน ทั้งภาคราชการและภาคประชาชน เพื่อสรุปและประมวลผลเสนอต่อ ครม. ซึ่งนายกฯ ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาทำงาน แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญและอยู่ในความสนใจจึงต้องทำให้เร็วที่สุด “อยากเรียนว่าความจริงคือความจริง รัฐบาลไม่สามารถหนีความจริงไปได้ ไม่ว่าใครก็ตาม” นายวราเทพตอบคำถามเรื่องการจำนำข้าวมีผลต่อรัฐบาลหรือไม่
ด้านนายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลประชุม ครม.ว่า ครม.ได้มีมติเห็นชอบให้รวมปริมาณและวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เข้าด้วยกัน เพื่อให้การดำเนินการยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะปริมาณการรับจำนำภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 1 เกือบเต็มกรอบ 15 ล้านตัน ทำให้ ธ.ก.ส.หยุดจ่ายเงินให้เกษตรกร จึงให้ พณ.เสนอขอขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินต่อ กขช.เพื่อพิจารณาและเสนอ ครม.เพื่อทราบต่อไป ส่วนการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 มีเพียงล้านตัน และเมื่อสิ้นสุดน่าจะอยู่ที่ 7 ล้านตัน ซึ่งไม่เกินกรอบ 22 ล้านตัน
เล่นแร่แปรธาตุ ธ.ก.ส.
นายภักดีหาญส์กล่าวต่อว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2554/55 และ 2555/56 ได้ใช้เงินหมุนเวียนเกือบเต็ม 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินทุน ธ.ก.ส. 9 หมื่นล้านบาท และเงินกู้สถาบันการเงิน 4.1 แสนล้านบาท โดยเพื่อให้โครงการมีสภาพคล่องและบริหารเงินได้มีประสิทธิภาพ จึงกำหนดให้นำเงินที่ได้จากการระบายผลผลิตทางการเกษตรตั้งแต่ปี 2554/55 เป็นต้นไป ไปชำระคืนเงินทุนแก่ ธ.ก.ส. 9 หมื่นล้านบาทให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงค่อยชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน เพื่อให้ ธ.ก.ส.สามารถนำเงินทุนกลับมาใช้หมุนเวียนสำหรับการดำเนินโครงการปีการผลิต 2555/56 ได้ และ ธ.ก.ส.สามารถสำรองจ่ายเงินกู้ชั่วคราวไปก่อนระหว่างรอเงินระบายข้าวได้ โดยให้คิดอัตราเงินชดเชยเงินต้นทุนและค่าบริหารโครงการอัตราเดิม โดยกำหนดให้ พณ.ตกลงกับ ธ.ก.ส.เป็นคราวๆ ไป นอกจากนี้ ครม.มีมติให้ ธ.ก.ส.แยกตัวเลขโครงการรับจำนำข้าวออกจากการดำเนินการตามปกติ โดยให้แยกเป็นบุญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ และบันทึกเป็นภาระผูกพันนอกงบประมาณ เพื่อทราบผลกระทบการดำเนินโครงการและขอชดเชยความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และ ธ.ก.ส.ไม่ต้องรวมผลการดำเนินโครงการจากเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่างๆ เป็นสินทรัพย์เสี่ยง
รายงานข่าวจาก ครม.สัญจรแจ้งว่า ในการประชุมเรื่องดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้สอบถามนายบุญทรง ถึงวัตถุประสงค์และสาเหตุที่ต้องรวมการรับจำนำข้าวนาปีกับนาปรังไว้ในครั้งเดียวกัน แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ซึ่งนายบุญทรงชี้แจงนานกว่า 10 นาที ซึ่งนายกฯ นั่งฟังพร้อมแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ และได้ซักถามหลายครั้ง แต่นายบุญทรงไม่สามารถตอบให้เข้าใจได้ และมีสีหน้าเคร่งเครียด จนกระทั่งนายกิตติรัตน์, นายวราเทพ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ต้องช่วยชี้แจง กระทั่งนายกฯ เข้าใจ จากนั้นนายกฯ จึงได้มอบหมายให้นายวราเทพรับผิดชอบชี้แจงเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเคยเป็นอดีต รมช.การคลัง และเคยรับผิดชอบโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณมาแล้ว นายณัฐวุฒิกล่าวถึงการจัดเสวนาจำนำข้าวสัญจร ที่ จ.พิษณุโลกว่า ได้รับการตอบรับน่าพอใจ โดยชาวนาตัวจริงพึงพอใจโครงการ และพร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินโครงการต่อไป ครั้งต่อไปจะจัดที่ จ.อุบลราชธานี ภายในเดือน มิ.ย.นี้ หลังจากนั้นจะวกกลับมาในพื้นที่ภาคกลางอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่การยื้อเวลา แต่เป็นเวทีทำความเข้าใจ
ขายข้าว 1.2 แสน ล.ตอบไม่ได้
เมื่อถามถึงกรณีสมาคมชาวนาไทย เรียกร้องให้เปิดเผยตัวเลขขาดทุน นายณัฐวุฒิตอบเหมือนตอนแถลงข่าวที่กระทรวงพาณิชย์เมื่อวันศุกร์ว่า ไม่ใช่เรื่องความลับ รัฐบาลไม่มีเจตนาปกปิด เพียงแต่กระบวนการทำงานยังไม่ได้ข้อยุติ ต้องรอ กขช. และเมื่อซักถึงเงิน 1.2 แสนล้านบาทที่ขายข้าวได้และคืน ธ.ก.ส.แล้วนั้น มีรายละเอียดอย่างไร นายณัฐวุฒิก็ตอบว่า ตรงนี้อยู่ในส่วนคณะทำงานระบายข้าว ไม่ได้เข้าไปดูข้อมูลตรงนั้น แต่คิดว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง คณะทำงานเรื่องการระบายข้าวคงอธิบายความชัดเจนเรื่องนี้ วันเดียวกัน ที่พรรคเพื่อไทย ได้มีการประชุมคณะยุทธศาสตร์และการเมืองพรรคเพื่อไทย ได้หารือถึงสถานการณ์การเมือง และเห็นว่านโยบายจำนำข้าวเป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจและกำลังโจมตี จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งชี้แจงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเรื่องประโยชน์ที่ชาวนาจะได้รับ และเศรษฐกิจในภาพรวม
ส่วนนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตัวเลขที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.ใช้แถลงข่าว เป็นตัวเลขจากรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งยืนยันที่มาที่ไปได้ แต่ที่แปลกคือ รัฐบาลมีข้อมูลในมือ แต่กลับทำหน้าที่เหมือนฝ่ายค้านราวกับไม่มีข้อมูล ตอนนี้เหมือนว่าคนเป็นนายกฯ กลายเป็นนายอภิสิทธิ์ ที่รู้ว่ามีความเสียหายในโครงการ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้เลย ในขณะที่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ไม่สามารถหักล้างข้อมูลของพรรคได้ ทำได้เพียงดิสเครดิตแทนที่จะชี้แจงข้อมูลต่อประชาชน นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ปชป. ได้โพสต์เฟซบุ๊กโดยแนบคำสั่ง กขช.ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แต่งตั้งอนุกรรมการปิดบัญชีจำนำข้าว เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้นายบุญทรงและนายณัฐวุฒิถึงกับไปไม่เป็น เพราะบทสรุปชัดเจนว่าเสียหายอย่างมาก ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวนายกฯ เป็นคนลงนามแต่งตั้งเอง ถ้าไม่ฟังก็ไม่ต้องแต่งตั้งอีก และให้ประกาศว่าขาดทุนเท่าไหร่ไปเลย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง และประธาน ธ.ก.ส. ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงการแถลงข่าวของ พณ.ในเรื่องการขาดทุนในโครงการว่าคิดไม่ได้ เพราะยังมีสต็อกข้าวอยู่ว่า เป็นการบิดเบือน หลอกตัวเลข เพราะในทางบัญชี หากมีสต็อกเหลืออยู่ในมือ ก็ต้องหักสต็อกออกไปก่อนจึงได้ตัวเลขขาดทุน ซึ่งได้สอบถามคนในคณะกรรมการปิดบัญชีแล้ว ได้รับคำยืนยันชัดเจนว่า ตัวเลขขาดทุนที่คำนวณนั้นได้หักสต็อกออกไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมา นายธีระชัยยังได้โพสต์ความเห็นทางวิชาการ ระหว่างการจำนำและประกันราคาข้าว ซึ่งสรุปว่า วิธีประกัน รัฐขาดทุนเท่าไหร่ ชาวนาก็ได้ประโยชน์เท่านั้นเต็มๆ แต่วิธีจำนำ รัฐขาดทุนเท่าไหร่ ชาวนาได้ประโยชน์เพียงบางส่วน ที่เหลือจะตกหล่นเบี้ยบ้ายรายทาง แถมบางส่วนออกไปนอกประเทศ ส่วนที่ตกหล่นไปนี้ นอกจากสร้างภาระแก่ผู้เสียภาษีโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นในแวดวงบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ประโยชน์ที่ไม่ควรได้จากขบวนการรับจำนำอีกด้วย
ส่วนภาคเอกชน เช่น นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เสนอว่า รัฐบาลควรทบทวนโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาล 2556/57 ใหม่ โดยปรับลดเพดานราคารับจำนำจากตันละ 1.5 หมื่นบาท เหลือ 1-1.1 หมื่นบาท ข้าวเปลือกหอมมะลิจากรับ 2 หมื่นบาท เหลือ 1.6-1.7 หมื่นบาท รวมทั้งปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด เป็นจำกัดปริมาณการรับซื้อให้สอดคล้องกับผลผลิตทางการเกษตรกรจริง “การรับจำนำข้าวฤดูกาล 2554/55 และฤดูกาล 2555/56 น่าจะสะท้อนความจริงให้กับรัฐบาลได้แล้ว ว่าเป็นราคาที่นำตลาดมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหามากมายจากการขายข้าวไม่ออก และขาดทุนจำนวนมาก ทำให้เกิดภาระการคลังของประเทศ” นายชูเกียรติกล่าว
วงการข้าวเชื่อเจ๊ง 2.6 แสนล.
แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวกล่าวว่า วงการค้าข้าวได้ตั้งข้อสังเกตตัวเลขการขาดทุนโครงการ 2.6 แสนล้านบาท ตามที่คณะกรรมการปิดบัญชีจัดทำ น่าจะเชื่อถือได้ เนื่องจากกระทรวงการคลังใช้หลักเกณฑ์คำนวณจากสต็อกที่รัฐบาลรับจำนำเข้ามา กับปริมาณข้าวที่รัฐบาลต้องระบายออกไปในราคาตลาด แม้ พณ.จะระบุว่าสต็อกยังจำหน่ายไม่หมด แต่หากนำสัญญาซื้อข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่เคยระบุว่าขายข้าวไปแล้ว 7.3 ล้านตัน ขาดทุนตันละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท หรือขาดทุน 7.3 หมื่นล้านบาท เมื่อมาเทียบกับข้าวในสต็อก หากขายทั้งหมดก็ขาดทุนไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท
สำหรับการทำหนังสือชี้แจงเรื่องดังกล่าวต่อบริษัท มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิสนั้น นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยอมรับว่า ยังไม่สามารถทำหนังสือชี้แจงการขาดทุนจากโครงการรับจำนำให้มูดีส์ได้ เพราะอยู่ระหว่างพยายามหาข้อมูลที่ชัดเจนให้ได้ก่อน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเช่นกันว่า ต้องรอให้กระทรวงการคลังสรุปตัวเลขการดำเนินงานกับกระทรวงพาณิชย์ให้ตรงกันก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนขึ้นอีก และต้องยึดเรื่องมาตรฐานทางบัญชีให้ตรงกันด้วย ส่วนผลขาดทุนจะเป็นเท่าไร จะตรงกันหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสำคัญน้อยกว่าการทำบัญชีของโครงการให้ตรงกัน และเป็นมาตรฐานสากล เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือของโครงการ
วันเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เข้ายื่นหนังสือพร้อมหลักฐานต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ตรวจสอบโครงการประกันราคาข้าวสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ หลังพบว่าโครงการดังกล่าวขาดทุน 1.3 แสนล้านบาท และส่อทุจริต ซึ่งนายพร้อมพงศ์ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง หรือเป็นการแก้ลำเรื่องจำนำข้าวของรัฐบาล แต่ทำในฐานะเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ที่ตรวจสอบหลายเรื่อง
http://www.thaipost....ws/110613/74863