ศาลฎีกาพิพากษากลับ ยกฟ้อง กกต.จัดการเลือกตั้งมิชอบ
http://www.manager.c...D=9560000071316
ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง ''พล.ต.อ.วาสนา'' อดีต ปธ.กกต. กับพวก จัดเลือกตั้งเอื้อพรรคไทยรักไทย ชี้โจทก์ ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันนี้ 13 มิ.ย.ที่ห้องพิจารณา 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.1234 /2549 หมายเลขแดง อ.2343 /2549 ที่นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้อง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) (ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) ,พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีต ประธาน กกต. ,นายปริญญา นาคฉัตรีย์ , นายวีระชัย แนวบุญเนียร (เสียชีวิตแล้ว) , พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ และ พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา อดีตเลขาธิการ กกต.(ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 6 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และส.ว. พ.ศ.2541 โดยโจทก์ฟ้องนำคดีมายื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 เม.ย.2549
สรุปว่าเมื่อระหว่างวันที่ 3 - 5 เม.ย. 2549 เวลากลางวัน ติดต่อกัน จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่และใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่รอบ 2 ใน 38 เขต 15 จังหวัดเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2549 โดยเปิดรับสมัครใหม่ ทั้งที่ไม่มีอำนาจ และอนุญาตให้ผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนลงสมัครข้ามเขตได้ เพื่อช่วยให้ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยมีคู่แข่ง และจะได้เลี่ยงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องได้คะแนน 20% ขึ้นไป
ดังนั้นการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยเพิ่มเงื่อนไขในลักษณะเช่นนี้ ทำให้การเลือกตั้งใหม่มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม พวกจำเลยเป็นบุคคลในองค์กรอิระตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจมาก แต่กลับมากระทำความผิดเองโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทั้งนี้คดีนี้ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งหก เป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงปฏิปักษ์ และเป็นภัยต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หากมิได้รับการพิจารณาโดยเร่งด่วนจะส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีงามของประชาชนและสูญเสียงบประมาณเงินของแผ่นดินจำนวนมาก รวมถึงความมั่นคงของประเทศ โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 101,108,157 เหตุเกิดที่แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2549 ให้จำคุกพล.ต.อ.วาสนา , นายปริญญา และนายวีระชัย จำเลยที่ 2-4 ไว้คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 1ส่วน พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ จำเลยที่ 5 นั้นได้ลาออกจาก กกต.ไปก่อน นายถาวรโจทก์จึงถอนฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 2-4 ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ขณะที่จำเลย2-3 ยื่นฎีกา ขอให้ศาลยกฟ้องด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และ 3 ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า
การกระทำของ กกต.จะเป็นความผิด ตามมาตรา 24 ของพ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ฯ นั้นจะต้องเป็นการกระทำต่อผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่ ข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความเพียงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดสงขลา เขตเลือกตั้งที่ 6 และ เป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้ส่งผู้ใดเข้าสมัครรับเลือกตั้งเลย โดยโจทก์ไม่ใช่ผู้สมัครดังนั้นยังถือไม่ได้ว่า กกต.ได้กระทำการที่จะเป็นความผิดต่อโจทก์ตามมาตรา 24 ที่บัญญัติว่าห้ามไม่ให้ กกต. , กกต.ประจำจังหวัด, ผอ.การเลือกตั้งประจำจังหวัด และอนุกรรมการที่ กกต.แต่งตั้งกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ดังนั้นโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจากการกระทำผิดตามมาตรา 24 ดังกล่าว
แม้โจทก์จะมีสิทธิคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส.ในเขตเลือกตั้งที่โจทก์มีสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 มาตรา 147 ( 1)และพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และส.ว.พ.ศ.2541 มาตรา 94และตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ มาตรา 114 บัญญัติว่ากรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำผิด ตามกฎหมายนี้ในเขตเลือกตั้งใดให้ถือว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ที่ส่งสมาชิกลงสมัครเลือกตั้งในเขตนั้นเป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเช่นโจทก์เป็นผู้เสียหายเลย ขณะที่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองให้ถือว่าเป็นผู้เสียหายเฉพาะความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ เท่านั้น อีกทั้งตามพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.ฯ ก็ไม่ได้มีบทบัญญัติให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองถือเป็นผู้เสียหายตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ฯ บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมเท่านั้นไม่ได้บัญญัติ เพื่อคุ้มครองโจทก์ที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง โดยตรงเป็นพิเศษ
ซึ่งหากถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายแล้วประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเหมือนโจทก์ที่มีอยู่จำนวนมากก็ย่อมเป็นผู้เสียหายเช่นกันและถ้าต่างใช้สิทธิฟ้องร้องก็จะเกิดความไม่เป็นธรรมกับ กกต. ซึ่งข้อเท็จจริงก็ได้ปรากฎมาแล้วในคดีที่นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กับพวกรวม 9 คนยื่นฟ้องจำเลยที่ 2-3 ว่ากระทำผิดพ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ฯ มาตรา 24 ซึ่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า นายแพทย์นิรันดร์ กับพวกไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ซึ่งหากการกระทำของจำเลยที่ 2-3 เป็นความผิดก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำผิดต่อรัฐ ไม่ใช่กระทำผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และมาตรา 28 ( 2)
ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
อย่างไรก็ตามวันนี้ พล.ต.อ.วาสนา และ นายปริญญา ได้เดินทางมาศาล พร้อมผู้ที่มาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง และ พล.ต.อ.วาสนา อดีตประธาน กกตกล่าวเพียงสั้นๆว่า รู้สึกเฉยๆ และหลังจากนี้จะกลับไปอยู่บ้านพักที่ต่างจังหวัด