ถ้าตั้งใจตอบแล้วจะมีคนมาป่วนแบบกระทู้ค่าเงินป่าวเนี่ย
เอาวิธีการที่ถูกต้องก่อนนะครับ......วิธีการคำนวณที่ถูกต้องคือเราต้องวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือด้วย"ราคาทุน"หรือ"มูลค่าสุทธิที่จะได้รับ" แล้วแต่มูลค่าใดจะต่ำกว่า
ในขณะที่มูลค่าสุทธิที่จะได้รับ หมายถึง จํานวนเงินสุทธิที่กิจการคาดว่าจะได้รับจากการขายสินค้า (คือรายได้ที่คาดว่าจะขายได้นั่นเอง ไม่ว่าจะซื้อมาแพงแค่ไหน แต่คาดว่าจะขายได้ในราคาตลาดที่ต่ำกว่าราคาซื้อ ก็ต้องคิดที่ราคาตลาด)
ทีนี้ลองยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ สมมติว่าตุ้นทุนจำนวนข้าวคือ 15000 บาทต่อตัน มีข้าวใน Stock จำนวน 10 ล้านตัน
ต้นทุนของสินค้าคงเหลิอคือ 15,000 x 10,000,000 = 150,000,000,000 (หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท)
แต่สมมติให้ราคาตลาดโลกที่เค้าขายๆ กันในปัจจุบันคือตันละ 10,000 บาท ดังนั้นมูลค่าสุทธิที่จะได้รับจากการขายคือ 10,000 x 10,000,000 = 100,000,000,000 (หนึ่งแสนล้านบาท)
ซึ่งกฎทางบัญชีในเรื่องการรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายนั้น
มูลค่าที่ลดลงของสินค้าคงเหลือเนื่องจากการปรับมูลค่าให้เท่ากับมูลค้าสุทธิที่จะได้รับ รวมทั้งผลขาดทุนทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้าคงเหลือต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย (แปลง่ายๆคือ ส่วนต่างระหว่างราคาทุนกับราคาที่ขายได้ต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทันที)
ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคือ 150,000,000,000 - 100,000,000,000 = 50,000,000,000 (คือขาดทุนไปแล้ว ห้าหมื่นล้านนั่นเอง)
* ตัวเลขผมสมมติมานะครับ *
ในขณะที่วิธีการที่จะลดการขาดทุนส่วนนี้
ง่ายๆเลยคือวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือด้วยราคาทุนเลย (คือซื้อมา แสนห้าหมื่นล้าน ก็คิดไปเลยว่ามูลค่าคือแสนห้าหมื่นล้าน ทั้งๆที่ไม่มีใครในโลกยอมซื้อที่ราคา 15,000 บาท/ตัน แน่ๆ) อันนี้เป็นวิธีที่คนทั่วโลกไม่ยอมรับนะครับ (ยกเว้นพวกเสื้อแดง)
ถ้าใครเคยจับหุ้น PTT คงจะคุ้นวิธีการวัด Stock นะ เพราะจะเห็นว่ามีรายการขาดทุนจากการสต๊อกน้ำมัน ซึ่งสาเหตุก็เป็นอย่างที่บอกมาเนี่ยแหละ
อ้างอิง
มาตรฐานการบัญชี
ยาวมากกกก อ่านกันมั๊ยอ่ะ