คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น
โดยที่รัฐบาลมีนโยบายให้โอนงานที่กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียน ให้ฝ่ายเลขานุการเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการ และกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น ทำหน้าที่รับผิดชอบเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับโอนจากกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ นอกจากนี้ รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงให้แก่ชาวประมงโดยให้ตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๒ ในคำสั่งนี้
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
“น้ำมันเชื้อเพลิง” หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย
“ก๊าซ” หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่ โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ - บิวเทนหรือบิวทีลีนส์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
“คลังก๊าซ” หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่งโดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
“ถังก๊าซหุงต้ม” หมายความว่า ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐ กิโลกรัม แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
“โรงกลั่น” หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึงโรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลายด้วย
“สถานีบริการ” หมายความว่า สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชน แต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ และร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
“ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร” หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
“ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า” หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
“ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น” หมายความว่า ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
“ราคาขายปลีก” หมายความว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ แล้วแต่กรณี
“ค่าการตลาด” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน และของผู้ค้าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
“ผู้ค้าน้ำมัน” หมายความว่า ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ สั่งนำเข้า หรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
“ภาษี” หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
“อัตราภาษีสูงสุด” หมายความว่า อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
“อัตราภาษีต่ำสุด” หมายความว่า อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
“ผู้บรรจุก๊าซ” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการบรรจุก๊าซ
“เจ้าของสถานีบริการ” หมายความรวมถึง ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้ ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
“คณะอนุกรรมการ” หมายความว่า คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
“ปลัดกระทรวงพลังงาน” หมายความรวมถึง ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายด้วย
“สถาบัน” หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
“ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
ข้อ ๓ ให้ตั้งกองทุนเรียกว่า “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่น ๆ
ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายให้แก่ประชาชน
(๕) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗) พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ ๕ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามอำนาจหน้าที่ในข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ ๖ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้ และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้ โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ ๗ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ ดังนี้
- ค่าจ้างชั่วคราว
- ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
- ครุภัณฑ์
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
ข้อ ๘ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๙ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น (ถ้ามี) ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น (ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๒ ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชยถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน การขอคืนเงิน และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ข้อ ๑๓ ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
(๑) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุน ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวส่งเงินเข้ากองทุน ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุน ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๓) ในกรณีที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมิได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับเงินชดเชยตาม (๒) ไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน ไม่ว่าผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตาม (๑) (๒) และ (๓) ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน ไม่ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย ถ้าได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน และส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๕ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีก ให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒) สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน (๑) แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน (๒)
ข้อ ๑๖ ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนดดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวัน นับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำ เดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่ ๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓ ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑ ถึงวันสิ้นเดือน ภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๗ เพื่อให้มีก๊าซสำหรับประชาชนใช้ในการหุงต้มอย่างพอเพียง ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้ม ต้องจัดให้มีการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้ม และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกอำเภอที่มีการใช้ถังหุงต้มซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
ในการบรรจุก๊าซหรือจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวอาจมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้ โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การยื่นขออนุญาต การเปลี่ยนแปลง การยกเลิก และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือผู้บรรจุก๊าซซึ่งดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของกรมธุรกิจพลังงานในการขอรับเครื่องหมายประจำตัว การปิดผนึกลิ้น การแสดงเครื่องหมายประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กำหนดไว้ข้างต้น
เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ และผู้บรรจุก๊าซให้เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสาม ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในกรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ แต่ละจังหวัด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองและผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว ต้องยินยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามวรรคสี่เข้าไปในสถานที่บรรจุก๊าซ เก็บรักษาก๊าซ หรือจำหน่ายก๊าซเพื่อทำการตรวจสอบการปฏิบัติตามที่กำหนดในวรรคสาม
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในวรรคสาม ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคสองได้ทุกราย และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งของผู้ถูกเพิกถอนทราบ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้เฉพาะรายที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของตนและแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ
ข้อ ๑๘ ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายหรือมีไว้จำหน่าย ซึ่งก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้วโดยไม่มีอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นหรือเครื่องหมายประจำตัวตามที่กำหนดในข้อ ๑๗ วรรคสาม
ข้อ ๑๙ ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่ผู้บรรจุก๊าซ หรือฝาก หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้บรรจุก๊าซมีก๊าซอยู่ในครอบครอง ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗ วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๐ ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๑ ผู้บรรจุก๊าซต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซหรือรับฝากหรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗ วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗ วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
ข้อ ๒๒ เจ้าของสถานีบริการต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
(๓) ไม่บรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้ม เพื่อขายหรือจำหน่ายก๊าซให้ผู้อื่น
ข้อ ๒๓ ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการ
ใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อ ๒๔ ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ (ถ้ามี) ทั้งนี้ตามระเบียบที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด
ข้อ ๒๕ ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่นหรือกรณีผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ ๒๖ ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่า ตนมีกรณีดังกล่าว ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต สำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม (๒) แล้ว ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณีดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม (๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม (๑) หรือ (๒) นั้น หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ ๒๗ เงินที่ส่งเข้ากองทุน และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้ แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒๘ การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ ของคำสั่งนี้ หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ผู้อำนวยการรับไว้พิจารณา
ข้อ ๒๙ บรรดาระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ ของคำสั่งนี้ ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ ระเบียบและประกาศดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับการส่งเงินเข้ากองทุน การขอรับเงินชดเชย และการจ่ายเงินจากกองทุนทั้งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามหรือในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ ของคำสั่งนี้ ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ ๓๐ ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๓๑ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป๑]
สั่ง ณ วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ยงยุทธ/ตรวจ
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘
[๑] รก. ๒๕๔๘/พ ๒๕ ง/๑๑๒/๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘