Posted by ปกรณ์ , ผู้อ่าน : 549 , 19:39:28 น.
หมวด : การเมือง
พิมพ์หน้านี้ โหวต 0 คน
กลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อแพทย์นิติเวชผู้ผ่าชันสูตรศพ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ชี้แจงต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำนองว่า นายเอกยุทธ เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจก็จริง แต่กระบวนการทำให้ขาดอากาศนั้น คาดว่าผู้ตายถูกกระทำด้วย "ท่าพิเศษ" ที่ทำจากด้านหลังทางขวา ไม่ใช่การบีบคอก่อนเอาเชือกรัดตามคำรับสารภาพของ นายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือ "บอล" คนขับรถ และ นายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือ "เบิ้ม" สองผู้ต้องหาคนสำคัญ
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการที่ชัดเจนจากพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) อย่างไรก็ดี "กรุงเทพธุรกิจ" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ก่อนหน้าที่จะมีข่าวฮือฮาเรื่องข้อมูลใหม่จากแพทย์นิติเวชเพียงไม่กี่วัน
คำอธิบายอย่างละเอียดของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ซึ่งเจ้าตัวบ่นเบื่อที่ต้องพูดซ้ำๆ และออกตัวว่าอาจเป็นการให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายนั้น นับว่าน่าสนใจอย่างมาก เพราะสะท้อนแง่มุมบางประการเกี่ยวกับคดีนายเอกยุทธ โดยเฉพาะวิธีการทำงานและมุมมองของตำรวจในการคลี่คลายคดี
O สังคมยังไม่ปักใจเชื่อกับคำอธิบายของพนักงานสอบสวน
คดีการเสียชีวิตของนายเอกยุทธนั้นมีการจินตนาการไปต่างๆ นานา ผมเองมองว่าคดีนี้ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน และไม่มีการวางแผนซ่อนเงื่อน ขอบอกตรงๆ ว่ารู้สึกน่าสงสารนายเอกยุทธ เพราะหลังจากที่เขาถูกจับเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.เวลา 22.30 น. นายเอกยุทธพยายามส่งสัญญาณต่างๆ เพื่อให้คนใกล้ชิดหรือญาติรู้ว่าชีวิตเขากำลังอยู่ในอันตราย แต่กลับไม่มีใครสงสัย
ส่วนที่บอกว่าไม่ซับซ้อนและคนร้ายไม่ได้วางแผนอะไร เนื่องจากผู้ต้องหาได้นำตัวนายเอกยุทธไปกักขังในบ้านจนถึงเวลา 03.00 น. จากนั้นก็นำตัวไปขังไว้ที่บ้านพี่สาวนายบอล ซึ่งประเด็นนี้ชัดเจนเลยว่าคนร้ายไม่ได้มีการวางแผนที่ดี เพราะถ้าเป็นคดีเรียกค่าไถ่จะต้องมีการนำเหยื่อไปขังไว้ในเซฟเฮาส์ แต่กรณีนี้คนร้ายนำนายเอกยุทธไปขังที่บ้านตัวเอง จึงมองได้ว่าคนร้ายไม่ได้วางแผนอะไรเลย
ถ้ามีใครรับสัญญาณจากนายเอกยุทธแล้วแจ้งให้ผมทราบก่อนเที่ยงวันที่ 7 มิ.ย. ผมจะส่งกำลังเข้าไปช่วยเหลือและรับรองว่านายเอกยุทธไม่ตายแน่นอน
O มีการวิจารณ์ว่าตำรวจตัดประเด็นการเมืองทิ้ง
ทุกประเด็นผมไม่เคยตัดทิ้ง แต่ไม่อยากไปโต้แย้งหรือโต้เถียงอะไรทั้งสิ้น อย่างกรณีที่ทนายความยื่นข้อสงสัยมาให้ตำรวจพิจารณา 13 ข้อ เราก็รับเรื่องมาทั้งหมด และ 13 ข้อผมก็ไม่เคยโต้แย้ง เพราะอยู่ในกระบวนการของทีมสอบสวนอยู่แล้ว
ส่วนที่หลายคนติติงมาว่าไม่เชื่อ เพราะคนร้ายเอาสร้อยคอทองคำ พระเลี่ยมทอง และนาฬิการาคาหลายล้านบาทไปโยนทิ้งในน้ำ ประเด็นนี้ต้องบอกว่าผมเองก็ยังไม่เชื่อว่าคนร้ายเอาของมีค่าไปทิ้ง แต่ผู้ต้องหาให้การว่านำทรัพย์สินไปทิ้ง เราจึงต้องพิสูจน์ทราบตามที่ผู้ต้องหาให้การ
ผมขอย้อนถามว่าถ้าเป็นเรื่องการเมืองทำไมนายบอลต้องให้การซัดทอดถึงพ่อแม่ของตัวเองว่าได้ร่วมกระทำผิดอะไรบ้าง ทำไมไม่ซัดทอดคนที่จ้างวาน และผมได้พูดกับเขาว่า...บอลเอาสร้อย นาฬิกา และฮาร์ดดิสก์ไปทิ้งที่ไหน ถ้าได้ทรัพย์คืนมาทั้งหมดผมจะช่วยเหลือพ่อแม่คุณ แต่นายบอลก็ร้องห่มร้องไห้และยืนยันว่าได้นำทรัพย์สินไปทิ้งที่แม่น้ำจริงๆ ทำให้เราคิดว่าเขาคงไม่ปกปิดข้อมูลเพื่อแลกที่พ่อแม่ของตัวเองต้องถูกจับ
O มีการนำคดีนายเอกยุทธ ไปเปรียบกับคดี ทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ถูกอุ้มหาย และมีผู้ต้องหาเป็นตำรวจ จะกระทบกับภาพพจน์ของตำรวจหรือไม่?
เรื่องกระทบต่อภาพพจน์นั้นผมไม่ทราบ แต่คดีทนายสมชายเจ้าหน้าที่ไม่พบศพ ส่วนคดีนายเอกยุทธชัดเจนว่าผู้ต้องหาเป็นใคร แล้วเอาศพไปฝั่งที่ไหน ทีมทนายความก็มาร่วมสอบสวนกับเรา พี่สาว น้องสาวก็ร่วมการสอบสวนด้วย และพอใจผลการสอบสวน
สำหรับข้อติติงต่างๆ ผมมองว่าเสมือนการช่วยตั้งข้อสังเกตเพื่อให้พนักงานสอบสวนได้นำข้อมูลไปพิสูจน์ทราบในแต่ประเด็น ที่เราระบุว่าเป็นประเด็นชิงทรัพย์เพราะคำให้การของนายบอล กับนายเบิ้ม
คำให้การก็ตรงกับการตรวจพิสูจน์ศพของหมอที่ระบุว่านายเอกยุทธเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ไม่ได้ถูกรัดคอ และแผลจากรอยรัดกับรอยกดจะไม่เหมือนกัน เพียงแต่คำให้การของผู้ต้องหาทั้งสองไม่ตรงกัน นายบอลซัดทอดว่านายเบิ้มรัดคอ แต่นายเบิ้มอ้างว่านายเอกยุทธตายก่อนแล้ว จากนั้นค่อยไปยกศพขึ้นรถ
แพทย์ยังยืนยันกรณีส้นเท้าซ้ายของนายเอกยุทธมีรอยช้ำ เกิดจากการที่นายเอกยุทธพยายามวิ่งหนี และกระโดดจากสะพานที่มีความสูงประมาณ 1.8 เมตร เมื่อฝ่าเท้าที่ไม่ได้ใส่รองเท้าลงพื้นพร้อมกัน อีกทั้งนายเอกยุทธมีน้ำหนักตัวมาก จึงเกิดอาการบาดเจ็บ และทำให้นายเอกยุทธไม่สามารถวิ่งหนีคนร้ายได้ นายบอลซึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัย 23 ปีจึงวิ่งตามทัน จากนั้นก็เหวี่ยงนายเอกยุทธล้มลง
นอกจากนี้ คำนิจฉัยของแพทย์ยังพบรอยช้ำที่ท้อง ซึ่งก็ตรงกับคำให้การของผู้ต้องหาที่ให้การว่าได้เตะที่ท้องของผู้ตาย ดังนั้นทั้งขาก็เจ็บ ท้องก็จุก เมื่อล้มลงคนร้ายก็บีบคอ และที่หลายคนถามว่าทำไมไม่ดิ้นหรือต่อสู้ ความจริงนายเอกยุทธก็อาจดิ้นต่อสู้ แต่สู้ไม่ได้ ดิ้นก็ดิ้นได้แค่ช่วงกลั้นลมหายใจ เพราะขาก็เจ็บ ท้องก็จุก
O มีการตั้งข้อสังเกตว่าคดีนี้มีคนร่วมลงมืออย่างน้อย 3-4 คน
จริงๆ แล้วเป็นการจินตนาการของแต่ละคน แต่คำสารภาพของผู้ต้องหาเขาได้แสดงท่าทางว่ากระทำในรูปแบบใด โดยผู้ต้องหาได้เอาปืนจี้ จากนั้นให้นำมือไพล่หลังแล้วนำกุญแจมือมาใส่ ตามหลักฐานที่พิสูจน์คือร่วมกันฆ่าเพียง 2 คนเท่านั้น
O เหตุใดตำรวจจึงมั่นใจว่าคนร้ายฆ่าเพราะประสงค์เอาทรัพย์
สาเหตุคือ 1.เป้าหมายของคนร้ายต้องการเงิน เพราะก่อนหน้านี้นายบอลเคยถามพี่ชายนายเอกยุทธหลายรอบว่ามีเงินเยอะไหม อีกทั้งได้เห็นเจ้านายใช้เงินแต่ละวันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายบอลติดการพนันจึงต้องการเงิน
2.นายบอลมีเรื่องชู้สาวกับพนักงานในบริษัทของนายเอกยุทธ และพนักงานคนดังกล่าวก็โกงเงินจนถูกไล่ออก
3.ช่วงที่นายบอลทำงานขับรถให้นายเอกยุทธ อาจมีการดุด่านายบอลจนเกิดความแค้น จึงต้องลงมือกระทำการ
//////////////////////////////////////////////////////////
หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้าการเมือง ฉบับวันศุกร์ที่ 5 ก.ค.2556 โดยเป็นการสัมภาษณ์ก่อนมีการเปิดประเด็นจากแพทย์นิติเวชเรื่อง "ท่าพิเศษ" แต่ที่นำมาเสนอเพื่อให้เห็นถึงวิธีการทำงานและมุมมองของตำรวจที่มีต่อคดี