พอดี ไปเจอที่เพื่อนๆ โพสต์ไว้ เลยลองเสิร์ชหาข้อมูลดู
ทำให้เจอบทความ-สถิตินี้เข้า(ถึง มกรา'56)...
แต่ที่แหลมคมยิ่งคือ ค่าใช้จ่าย และคำถามถึงผลลัพธ์ที่ได้กลับมา...
นายกฯ ชีพจรลงเท้า ชาติได้ประโยชน์อะไร
6 March 2556
หากนับสถิติดังกล่าวข้างต้นเป็นบรรทัดฐานเฉลี่ยแล้ว ในระยะเวลา 4 ปีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ ของไทยอาจต้องเดินไปนอกราชอาณาจักรเกือบ 89 ครั้ง และในอีก 52 ครั้งที่เหลือ อยู่กับระยะเวลากว่า 2 ปี นายกฯ ของไทยก็อาจเป็นนายกฯ คนแรกที่ไปเยือนครบทุกทวีป เรียกว่าสร้างสถิติใหม่ให้กับผู้นำประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์เช่นเดียวกับการเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของการเมืองไทย!!!
เราไม่ปฏิเสธในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ต้องทำหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เพราะไทยเป็นประเทศเสรีเปิดกว้าง ไม่ใช่ประเทศปิดแต่ประการใด แต่คำถามที่ค้างคาอยู่ว่า การเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ไทยนั้น ประเทศชาติได้ประโยชน์โพดผลสมกับภาษีของคนทั้งแผ่นดินที่สูญเสียหรือไม่ เพราะหากยึดตามคำที่ผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎรเคยระบุว่า การเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้งจะใช้งบประมาณครั้งละประมาณ 13-15 ล้านบาท
แต่เราคิดแบบประหยัดๆ ตามนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ให้ถอดสูททำงานด้วยแล้ว ก็คิดเฉลี่ยประมาณ 10 ล้านบาทพอ เท่ากับการเยือนต่างประเทศ 37 ครั้ง เฉพาะตัวนายกฯ ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 370 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลที่เดินทางไปหลากหลายประเทศอีกต่างหาก และหากเธอเดินทางไปตามสถิติ 89 ครั้ง ก็เท่ากับภาษีของคนไทยทั้งประเทศต้องสูญหายไปถึง 890 ล้านบาท แต่ชาติกลับได้ภาพเพียงนายกฯ ใส่ชุดประจำชาติของประเทศที่ไปเยือน อย่างกรณีเยือนญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และบาห์เรน เท่านั้นหรือ หรือจะได้ภาพถ่ายกับสถานที่ขึ้นชื่อลือเลื่องอย่างการไปเยือนอินเดีย และฝรั่งเศสเท่านั้น ใช่หรือไม่
ต้องไม่ลืมว่า นายกฯ นอกจากเป็นหน้าตาของประเทศแล้ว ประการสำคัญของการเยือนต่างประเทศในระดับผู้นำประเทศอารยะในโลกการค้าเสรี คือการทำตัวเป็นตัวแทนพ่อค้าแม่ขายด้วย เรียกว่าการไปเยือนต่างประเทศไม่ใช่ไปแบบเสียเปล่า แค่แนะนำตัวเองสร้างภาพเท่านั้น แต่ต้องตักตวงผลประโยชน์ให้คนในชาติให้มากที่สุด ดูได้จากกรณีการเยือนประเทศต่างๆ ของผู้นำสหรัฐ ผู้นำจีน หรือผู้นำอื่นๆ ทั่วโลก และยิ่งประสบการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เคยทำธุรกิจโทรคมนาคมมาแล้ว ก็ย่อมตระหนักเช่นกันว่า การเดินทางไปเยือนต่างประเทศเป็นโอกาสอันดีในการเปิดตลาดสินค้า หรือความร่วมมือที่จับต้องได้ เพราะคงไม่มีใครหน้าไหนที่ลงทุนนั่งหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินหลายสิบชั่วโมง เพียงแค่ไปถ่ายรูปอย่างหอไอเฟล ทัชมาฮาล และใส่ชุดกิโมโน และฮันบก เท่านั้นหรอก
แต่ในความเป็นจริงที่สะท้อนกลับมาจากแค่การเดินทางไปต่างประเทศ 37 ครั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เห็นชัดแจ้งว่าเป็นอย่างไร เพราะหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ คำนึงถึงการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ชาติอย่างแท้จริงแล้ว การเจรจาขายข้าวที่ค้างอยู่ในสต็อกตั้งแต่ฤดูกาลผลิตปี 2554/2555 คงไม่เหลือหลอแล้ว แต่ในสภาพความเป็นจริงข้าวยังเน่าและเก็บเต็มอยู่เต็มโกดัง
ยิ่งพิจารณาลงลึกถึงการเดินทางแต่ละครั้งครา ก็จะเห็นเพียงการลงนามแบบนามธรรมเท่านั้น โดยไม่มีอะไรที่จับต้องได้เลย ดูง่ายๆ การลงนามค้าขายข้าวที่เห็นเป็นรูปร่างมากที่สุด ก็เป็นเพียงสัญญาแบบกว้างๆ ที่จีนจะซื้อข้าวไทย 5 ล้านตันในเวลา 3 ปี แต่ไม่ได้กำหนดว่าเมื่อใดและอย่างไร ที่สำคัญไม่ใช่ผลจากการเยือนแดนมังกรของนายกฯ แต่เป็นการเดินทางมาเยือนไทยของนายเวินเจียเป่า นายกฯ จีน ต่างหาก
ฉะนั้นจึงน่าสนใจอย่างยิ่งว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลควรทบทวนการเดินทางของนายกฯ หรือจะทบทวนนโยบายจำนำข้าวเสียที เพราะหากยังปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ปัญหาที่จะหมักหมมมากขึ้น ซ้ำร้ายจะทำให้ไทยกลายเป็นขี้ปากชาวโลกเขาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ว่า นายกฯ ไปต่างประเทศแค่โชว์ตัวและช็อปปิ้งเท่านั้น หรือแค่นี้คนไทยก็ภูมิใจกันแล้ว.
[attachment=21358:post-11051-0-25260300-1334987448.jpg]
ขอบพระคุณภาพ จากอินเตอร์เน็ต...
Edited by Suraphan07, 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:28.