เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 21 มิถุนายน นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ทางเฟซบุ๊ก เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ มีการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัย และขัดต่อกฎหมาย ในหลายประเด็น เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนา โดยทำหนังสือร้องเรียน เอกสารและภาพถ่ายที่เกี่ยวข้อง มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
นายสงกรานต์ กล่าวว่า หลังจากหลวงปู่เณรคำ หรือพระวีรพล สุขผล ตกเป็นข่าวทางสื่อมวลชนว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมซึ่งขัดต่อพระธรรมวินัย นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ตนจึงอยากให้ทางตำรวจ บก.ป.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ รวม 13 ประเด็น ประกอบด้วย 1.การบรรพชาเป็นพระภิกษุนั้น ถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือไม่ 2.กรณีที่ปรากฏภาพชายคล้ายพระภิกษุ ลักษณะนอนหลับตา ยกแขนขวา และมีศีรษะของผู้หญิงเกยอยู่ข้างๆ นั้น เป็นภาพผู้ใด มีการตัดต่อภาพหรือไม่ 3.สถานะทางการเงินของบุคคลและนิติบุคคล ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของทรัพย์สินก่อนบรรพชากับทรัพย์สินในปัจจุบัน 4.การรับบริจาคทรัพย์สินต่างๆ จากพุทธศาสนิกชน มีจำนวนเท่าใด มีผู้จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายหรือไม่ รวมทั้งมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปทั้งภายในและภายนอกประเทศหรือไม่
5.สถานที่ตั้งวัดป่าขันติธรรม ที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ มีเนื้อที่เท่าใด และใครเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ 6.การจัดสร้างองค์พระแก้วมรกตจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับอนุญาตให้จัดทำถูกต้องหรือไม่ มีการประเมินราคาก่อสร้างหรือไม่ เนื่องจากมีการเปิดรับบริจาค โดยไม่ได้กำหนดยอดเงินและวันเวลาการสร้างให้เสร็จสิ้น 7.รถนำขบวนที่นำมาใช้เป็นรถตำรวจหรือไม่ 8.ขอให้ตรวจสอบบุคคลและนิติบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินต่างๆ ขอวัดป่าขันติธรรม 9.ขอให้ตรวจสอบบัญชีธนาคารทุกแห่ง ที่มีเงินหมุนเวียนนั้นมีผู้ใดเกี่ยวข้อง และมีการยักย้ายถ่ายเทไปยังบุคคลที่ 3 หรือไม่
10.กรณีการอวดอุตริ ว่ามีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ ระลึกชาติได้ รวมทั้งมีการคุยกับเทพยดา มีการกระทำต่างๆ ดังกล่าวหรือไม่ 11.ขอให้สืบสวนสอบสวนหญิงสาวที่ปรากฏในภาพว่าเกี่ยวพัน หรือมีความสัมพันธ์ใดๆ กับภาพชายคล้ายพระภิกษุ นอนอยู่ 12.ขอให้ตรวจสอบบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์และได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ สมาคมวิชาชีพผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทย จ.สมุทรปราการ นั้น เป็นกรรมการบริษัท ขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด หรือไม่ และ 13.ขอให้ตรวจสอบว่า พระภิกษุ กับกรรมการบริษัท ขันติธรรมฯ และบริวาร เกี่ยวพันกันในเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ หรือไม่
นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า หากทางตำรวจ บก.ป.สืบสวนสอบสวนในประเด็นต่างๆ แล้วพบว่า เข้าข่ายกระทำความผิด ตนก็จะเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน นอกจากนี้ก็จะดำเนินการในความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้และมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.ได้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดหรือไม่ โดยพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และแจ้งผลการสืบสวนสอบสวนให้ทราบอีกครั้ง
เจ้าของที่ดินประกาศยึดคืนห้ามเข้า
นางลอน มนัส อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 122 บ้านยาง หมู่ที่ 1 ตำบลยาง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เจ้าของที่ดิน จำนวน 15 ไร่ ที่ถวายให้กับ พระหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เพื่อให้ดำเนินการสร้างวัด กล่าวว่า จากกรณีที่พระรูปหนึ่งที่อ้างว่า เป็นประชาสัมพันธ์ของวัดป่าขันติธรรมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หลวงปู่เณรคำจะไม่ยอมตั้งสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรมให้เป็นวัดที่ถูกต้อง โดยเมื่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองเสร็จแล้วจะยุบวัดป่าขันติธรรมนั้น ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในตอนแรกที่มอบที่ดินให้กับหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เนื่องจากต้องการให้มีการจัดสร้างวัดอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทางหลวงปู่เณรคำก็ตกลงที่จะดำเนินการตามที่ตนต้องการ
"กระทั่งระยะเวลาผ่านไปนานร่วม 10 ปี ก็ยังไม่มีการดำเนินการสร้างวัดแต่อย่างใด มีเพียงแค่การยื่นเรื่องเสนอกับทางกรมการศาสนา เพื่อขอสร้างวัด เพื่อขอใบอนุญาตตั้งวัด จนกระทั่งใบอนุญาตได้หมดอายุ ตามกำหนดเวลา 5 ปี ก็ยังไม่สามารถดำเนินการสร้างวัดได้สำเร็จ ตนได้ไปสอบถามข้อเท็จจริงกับทางหลวงปู่เณรคำอีกครั้ง แต่กลับได้คำตอบว่าจะไม่มีการสร้างวัดแต่จะสร้างเป็นวิหารหลวง โดยหลวงปู่เณรคำ แจ้งว่า หากสร้างเป็นวัดขึ้นมาก็จะต้องมีการตรวจสอบรายได้เงินบริจาคต่าง ๆ จากสำนักงานพระพุทธศาสนาและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง" นางลอน กล่าว
นางลอน กล่าวต่อว่า จุดมุ่งหมายของตนตั้งแต่แรกในการมอบที่ดินให้กับหลวงปู่เณรคำนั้น เนื่องจากหลวงปู่เณรคำถูกชาวบ้านชุมนุมขับไล่ให้ออกไปจากป่าช้าทำให้ต้องหาที่อยู่ใหม่ ตนจึงได้มอบที่ดินจำนวนประมาณ 15 ไร่ให้สร้างวัด ต้องการที่จะทำบุญโดยการสร้างวัดที่สมบูรณ์แบบ แต่หลวงปู่เณรคำไม่ทำตามสัญญา ตนจึงจะดำเนินการสร้างวัดเองตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่เริ่มแรก โดยจะไม่ให้หลวงปู่เณรคำและพระสงฆ์บางรูปอยู่ในวัดนี้ ซึ่งในช่วงแรกที่ตนรู้จักกับหลวงปู่เณรคำ ท่านเป็นพระที่ดีมาก ไม่มีเรื่องราวเสียหาย
"เมื่อผ่านมา 2-3 ปี ให้หลังพฤติกรรมเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ยอมมาจำพรรษาที่วัด แต่จะกลับมาวัดเฉพาะช่วงที่มีการจัดงานที่วัดเท่านั้น ซึ่งหลังจากเสร็จงานหลวงปู่เณรคำก็จะนำเอาเงินไปด้วยและเดินทางไปทำกิจนิมนต์ต่อ แต่ตนก็ไม่ทราบว่าหลวงปู่เณรคำรับกิจนิมนต์ที่ใดบ้าง ซึ่งในจุดนี้ทำให้ตนคิดว่า หากหลวงปู่เณรคำมีกิจนิมนต์มาก ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ ส่วนจะไปอยู่ที่ใดก็เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะเลือกทางเดินเอง" นางลอน กล่าว
นางลอน กล่าวต่ออีกว่า การที่มีข่าวความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ ได้ส่งผลกระทบกับจิตใจตนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวบ้านในหมู่บ้านที่ต่อต้านหลวงปู่เณรคำมาโดยตลอด และได้มีการต่อต้านหลวงปู่เณรคำมากกว่าเดิม ชาวบ้านต่างพากันเยาะเย้ยตนที่ตัดสินใจมอบที่ดินให้หลวงปู่เณรคำเพื่อสร้างวัด แต่กลับไม่ได้เป็นวัดอย่างที่ต้องการ และจะเอาที่ดินที่ตั้งสำนักสงฆ์ขันติธรรมคืนมาเพื่อไปขออนุญาตสร้างเป็นวัดที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบ และจะตั้งชื่อวัดใหม่อย่างที่ตนและชาวบ้านทุกคนต้องการ และพระแก้วมรกตจำลองก็จะยังประดิษฐานที่แห่งนี้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชน กราบไหว้บูชาต่อไป ส่วนหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก กับ พระสงฆ์บางรูป ก็จะไม่ให้อยู่ที่วัดแห่งนี้และไม่ให้เข้ามาบริหารวัดอีกต่อไป เพราะไม่อยากให้เสื่อมเสียไปมากกว่านี้จะขอที่ดินสร้างวัดคืนมาสร้างเอง
สำหรับบรรยากาศที่วัดขณะนี้เงียบเหงา มีเพียงลูกศิษย์วัดที่อยู่ประจำเพียง 7-8 คน ทยอยมาตั้งเต้นท์ ผูกผ้าเพื่อเตรียมงานวันที่ 27-30 มิถุนายน 2556 ซึ่งก็ยังไม่มั่นใจว่า จะได้จัดงานหรือไม่ เพราะไม่ยังไม่ทราบว่าหลวงปู่เณรคำจะเดินทางกลับมาวันใด
"พศ."ชี้ชัดทวงคืนที่ดินวัดป่าขันติธรรมกลับไม่ได้
ความคืบหน้ากรณีพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ตกเป็นข่าวอื้อฉาวทั้งคลิปภาพการนั่งเครื่องบินเจ๊ต สวมหูฟังโทรศัพท์ไอโฟน ใช้กระเป๋าแบรนด์เนม รวมทั้งมีกระแสข่าวครอบครองเฮลิคอปเตอร์ รวมถึงรถหรูรถโบราณ ตามที่เป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทราบว่ามีเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งวัดป่าขันติธรรมจะทวงคืนที่ดินดังกล่าว เนื่องจากพระฐกฤต กันตธัมโม โฆษกประจำหลวงปู่เณรคำและประชาสัมพันธ์วัดป่าขันติธรรม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หลวงปู่เณรคำจะไม่ยอมตั้งวัดป่าขันติธรรมให้เป็นวัดที่ถูกต้อง โดยเมื่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองเสร็จแล้วจะยุบวัดป่าขันติธรรม ไม่ได้ใช้ที่ดินตั้งวัดตามเจตนารมณ์ที่ถวายไว้
จากการตรวจสอบเบื้องต้นทางวัดป่าขันติธรรม ได้จัดทำเอกสารขออนุญาตสร้างวัดเมื่อปี 2545 ซึ่งได้รับอนุญาตไปนานแล้วแต่ยังไม่ได้ดำเนินการขอตั้งวัด ดังนั้นหากเจ้าของที่ดินต้องการทวงกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวมาเป็นมาชื่อตนเองคงไม่สามารถทำได้ เพราะได้บริจาคและยินยอมในหนังสืออนุญาตสร้างวัดไปแล้ว รวมถึงมีผลตามกฎหมายที่ดินแปลงนี้เป็นสาธารณะประโยชน์เพื่อจัดสร้างวัด เพราะการตั้งวัดใหม่มี 2 ขั้นตอนหลักๆ คือการขออนุญาตสร้างวัดและขอตั้งวัด อย่างไรก็ตามกรณีวัดป่าขันติธรรม ได้รับการอนุญาตสร้างแล้วแต่ยังไม่ได้ขอตั้งวัด ทั้งนี้เมื่อได้รับอนุญาตสร้างวัดแล้วผู้ได้รับอนุญาตต้องดำเนินการก่อสร้างเสนาสนะ อาทิ อุโบสถ กุฏิ วิหาร ศาลากลางเปรียญเป็นต้นให้เสร็จจากนั้นก็ทำเอกสารขอตั้งวัดมายัง พศ.
นายนพรัตน์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามทางออกกรณีเจ้าของที่ดินสามารถร้องขอต่อผู้ได้รับอนุญาตสร้างวัดหรือว่าฟ้องร้องให้เปลี่ยนผู้สร้างวัด โดยนำพระสงฆ์รูปอื่นมาช่วยสร้างวัดให้เสร็จตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคที่ดิน ที่สำคัญเมื่อสร้างวัดเสร็จ ขั้นตอนการขอตั้งวัดจะต้องมีการนำเสนอชื่อพระที่จะต้องการให้เป็นเจ้าอาวาสมาด้วย ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องอื่นๆ อาทิ จำนวนเงินบริจาค ภาพนอนกับสีกา และสังกัดที่แท้จริงนั้นสั่งการให้นายวิรอด ไชยพรรณนา ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ศรีสะเกษ ตรวจสอบ ซึ่งต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่พระครูวัชรสิทธิคุณ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(ธ) ตั้งคณะพระอธิกรณ์สอบสวนข้อเท็จจริง
“กรณีมีการระบุว่าเงินบริจาคของประชาชนส่วนใหญ่เข้าในบัญชีหลวงปู่เณรคำเพียงบัญชีเดียวกัน ผมไม่ขอตอบเพราะยังไม่ได้ตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามตนทราบจากสื่อมวลชนว่าในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ทางหลวงปู่เณรคำ เตรียมแถลงข่าวเพื่อตอบทุกข้อสงสัย ตนจะเดินทางไปร่วมรับฟังการแถลงข่าวด้วย” ผู้อำนวยการ พศ. กล่าว
พระครูวัชรสิทธิคุณ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(ธ) กล่าวว่า พระครูสิทธิญาณ เจ้าคณะจังหวัด(จจ.) เจ้าอาวาสวัดหนองลาดหญ้า อ.กันทรารมย์ ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยพระสังฆาธิการ จำนวน 5 รูป พร้อมกับนัดประชุมครั้งแรกในช่วงบ่ายวันนี้ที่วัดหนองลาดหญ้า โดยในชั้นต้นนี้อาจจะเป็นการพิจารณาพฤติกรรมของหลวงปู่เณรคำว่าเข้าข่ายผิดพระวินัยข้อใดบ้าง เพื่อนำมาตั้งอธิกรสอบทางพระวินัยต่อไป
พระครูวัชรสิทธิคุณ กล่าวต่อไปว่า ตามกระแสข่าวที่ออกมาว่าหลวงปู่เณรคำมักชอบที่จะถวายรถยนต์ใหม่ป้ายแดงให้กับพระเถระและเจ้าคณะปกครองอยู่เสมอนั้น ท่านไม่เคยถวายให้หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดรูปนี้ อาจจะมีบ้างก็เพียงการแวะเวียนมากราบสักการะซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในฐานะของพระที่เข้ามาพำนักอยู่ในเขตปกครอง ส่วนสังกัดปัจจุบันของท่านก็ยังใน จ.อุบลราชธานีเช่นเดิม
นายวิรอด กล่าวว่า การตั้งกรรมการสอบของเจ้าคณะจังหวัดเป็นไปตามกระบวนการทางสงฆ์ ตนเองทำหน้าที่เพียงส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปถวายการช่วยเหลือด้านเอกสารหรือตามที่คณะกรรมการร้องขอ ส่วนกรณีผู้ถวายที่ดินให้สร้างวัดขันติธรรมจะขอที่ดินคืนเพื่อสร้างวัดประจำหมู่บ้านกันเอง เนื่องจากหลวงปู่เณรคำไม่ได้ใช้ที่ดินตั้งวัดตามเจตนารมณ์ที่ถวายให้นั้น เรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ และเท่าที่มีหลักฐานอยู่บ้างก็คือ การทำเรื่องขออนุญาตสร้างวัดเมื่อปี 2545 ซึ่งก็ได้ออกใบอนุญาตให้แล้วในนาม พล.ต.จตุรานนท์ สิงหเดช จากนั้นก็ไม่มีเรื่องการขอตั้งวัดขันติธรรมเข้ามาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สำหรับหลักเกณฑ์การตั้งวัด ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1(พ.ศ.2507)ออกตาม พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 หมวด 1 การสร้างวัด กำหนดไว้ว่า 1. เรื่องที่ดิน วัดต้องตั้งอยู่ในที่ดินที่มีเนื้อที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันไม่น้อยกว่า 6 ไร่ โดยไม่มีทางสาธารณะ หรือลำคลองกั้นกลาง และต้องไม่เป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์หรือที่หลวงหวงห้าม 2.กรณีเป็นที่ดินของเอกชน เจ้าของที่ดินจะต้องทำหนังสือสัญญายกที่ดินให้สร้างวัด และโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้วัด เมื่อได้รับอนุญาตให้ตั้งวัดแล้ว 3.หากเป็นที่ดินของทางราชการ จะต้องผ่านขั้นตอนการขอใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัด จนได้รับหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัดจากส่วนราชการผู้ดูแลรักษาที่ดินนั้นๆ ก่อน
4.แผนผังแสดงอาคารเสนาสนะและสิ่งปลูกสร้าง ให้แสดงขนาดและตำแหน่งอาคารต่าง ๆ ที่ได้สร้างขึ้นแล้วและที่จะสร้างขึ้นในอนาคต ทุกรายการให้ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยขอบเขตของที่ดินในแผนผัง ต้องมีรูปและขนาด ตรงตามรูปแผนที่แนบท้ายหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินที่ใช้สร้างวัด มีมาตราส่วนและเครื่องหมายทิศประกอบ เพื่อสะดวกในการตรวจสอบและเป็นประโยชน์ในการพัฒนาวัดในโอกาสต่อไป5.แผนที่ตั้งวัดให้แสดงจุดที่ตั้งวัด พร้อมกับระบุชื่อบ้าน ชื่อวัดที่อยู่ข้างเคียงโดยรอบเส้นทางคมนาคมติดต่อกับวัดที่ขออนุญาต กำหนดระยะทางและแสดงเครื่องหมายทิศไว้ด้วย โดยให้จัดทำเป็นแบบพิมพ์เขียว6.วัดที่ขอตั้งต้องอยู่ห่างจากวัดอื่นที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่น้อยกว่า2กิโลเมตร เว้นแต่มีเหตุจำเป็นก็ให้ชี้แจงเหตุผลประกอบ
หมวด 2 การตั้งวัด ได้กำหนดไว้ว่า เมื่อได้สร้างเสนาสนะขึ้นเป็นหลักฐาน พร้อมที่เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ได้แล้วให้ผู้ได้รับอนุญาตสร้างวัด หรือผู้แทน เสนอรายงานการก่อสร้างและจำนวนพระภิกษุที่จะอยู่ประจำไม่น้อยกว่า 4 รูป พร้อมทั้งเสนอนามวัดนามภิกษุ ผู้สมควรเป็นเจ้าอาวาสเพื่อขอตั้งวัดต่อนายอำเภอ ส่งต่อไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าคณะจังหวัด ส่งต่อมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ส่งให้มหาเถรสมาคม(มส.)พิจารณาเห็นชอบ เมื่อมส.เห็นชอบแล้ว จะประกาศตั้งวัดในราชกิจจานุเบกษา จากนั้นผู้ได้รับอนุญาตสร้างวัด หรือผู้แทนดำเนินการโอนที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างให้แก่วัดนั้นตามกฎหมาย และให้เจ้าอาวาสบันทึกประวัติของวัดนั้นไว้เป็นหลักฐาน
หมวด 6 การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา กำหนดไว้ว่า วัดที่สมควรได้รับพระราชทานวิสุง ต้องปรากฏว่าได้สร้างขึ้นหรือได้ปฏิบัติเป็นหลักฐานถาวร และมีพระภิกษุอยู่ประจำไม่น้อยกว่า 5 รูปติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่มิให้บังคบแก่วัดที่สร้างอุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยให้เจ้าอาวาสเสนอรายงานขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาต่อเจ้าคณะตำบล อำเภอ เจ้าคณะจังหวัดส่งมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) พิจารณาเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบแล้ว กราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อทรงอนุมัติ ส่งกลับมายังพศ. เพื่อนำความกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาต่อไป เมื่อได้พระราชทานแล้ว ให้นายอำเภอดำเนินการปักหมายเขตที่ตามตามที่ขอพระราชทานไว้
นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองประธานคนที่สาม คณะกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า จากกรณีเรื่องของหลวงปู่เณรคำ ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ทางคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ให้ความสนใจถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาก ดังนั้นในสัปดาห์หน้าทางคณะกรรมาธิการศาสนาฯ จะมีการเชิญทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) รวมทั้งกลุ่มลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำเข้ามาสอบถามในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวถึงกรณีที่พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เปิดบัญชีธนาคารเป็นชื่อของพระวิรพล เอง ว่า กรณีนี้ยอมรับว่าสามารถทำได้ เนื่องจากวัดป่าขันติธรรม ยังไม่มีสถานะเป็นวัด แต่ถ้ามีสถานะเป็นวัดแล้วจะต้องมีการเปิดบัญชีเป็นของวัดด้วย และเมื่อมีการเบิกจ่ายจะต้องมีกรรมการวัดอย่างน้อย 3 คน ในการอนุมัติเบิกจ่ายแต่ละครั้ง
นายภาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสประจำองค์หลวงปู่เณรคำ กล่าวว่า เรื่องบัญชีเงินฝากของทางวัดที่เป็นชื่อของหลวงปู่เณรคำนั้น การเบิกจ่ายหลวงปู่เณรคำสามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนกรณีที่ทางกองเลขานุการของหลวงปู่เณรคำจะเบิกเงินไปทำอะไรจะต้องมีการชี้แจงให้ทางหลวงปู่เณรคำทราบเสียก่อนจึงจะอนัมติได้ ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทขันติธรรมก้าวหน้าของทางวัดป่าขันติธรรมนั้น ขอชี้แจงว่า หลวงปู่เณรคำให้มีการจัดตั้งบริษัทดังกล่าวจริง แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ ในการบริหารเกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้างต่างๆภายในวัด เพราะหลวงปู่เณรคำต้องการให้งบประมาณในการก่อสร้างต่างๆสามารถตรวจสอบได้
"กมธ.ศาสนาเชิญพศ.แจง"หลวงปูเณรคำ"สัปดาห์หน้า
นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองประธานคนที่สาม คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า จากกรณีเรื่องของหลวงปู่เณรคำ ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ทางคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ให้ความสนใจถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก ดังนั้น ในสัปดาห์หน้าทางคณะกรรมาธิการศาสนาฯ จะมีการเชิญทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) รวมทั้งกลุ่มลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำเข้ามาสอบถามในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) กล่าวถึงกรณีที่พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เปิดบัญชีธนาคารเป็นชื่อของพระวิรพล เอง ว่า กรณีนี้ยอมรับว่าสามารถทำได้ เนื่องจากวัดป่าขันติธรรม ยังไม่มีสถานะเป็นวัด แต่ถ้ามีสถานะเป็นวัดแล้วจะต้องมีการเปิดบัญชีเป็นของวัดด้วย และเมื่อมีการเบิกจ่ายจะต้องมีกรรมการวัดอย่างน้อย 3 คน ในการอนุมัติเบิกจ่ายแต่ละครั้ง
นายภาณุ สุขวัลลิ โฆษกฝ่ายฆราวาสประจำองค์หลวงปู่เณรคำ กล่าวว่า เรื่องบัญชีเงินฝากของทางวัดที่เป็นชื่อของหลวงปู่เณรคำนั้น การเบิกจ่ายหลวงปู่เณรคำสามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนกรณีที่ทางกองเลขานุการของหลวงปู่เณรคำจะเบิกเงินไปทำอะไรจะต้องมีการชี้แจงให้ทางหลวงปู่เณรคำทราบเสียก่อนจึงจะอนัมติได้ ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทขันติธรรมก้าวหน้าของทางวัดป่าขันติธรรมนั้น ขอชี้แจงว่า หลวงปู่เณรคำให้มีการจัดตั้งบริษัทดังกล่าวจริง แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ ในการบริหารเกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้างต่างๆภายในวัด เพราะหลวงปู่เณรคำต้องการให้งบประมาณในการก่อสร้างต่างๆ สามารถตรวจสอบได้