ผมว่าในนี้กว่า95% เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเจ้าของกิจการ วิถีมันแตกต่างกับชาวนานะครับ เอาว่าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน นายจ้างคุณบอกปีนี้ไม่ขึ้นเงินเดือน ถ้าอยากได้เงินเพิ่มก็ไปทำงานวันหยุดหารายได้พิเศษเอา คุณจะคิดยังไง
วันเดือนที่ผ่านไป เงินเดือนคุณเพิ่มขึ้น เคยสังเกตุไหมคุณทำงานมากขึ้น เท่าเดิม หรือน้อยลง
คุณขับรถเก๋ง ทำงานในห้องแอร์ ชาวนาก็อยากขับรถเก๋ง อยากทำนาในห้องแอร์เหมือนกัน
คุณลาหยุดได้ยาวๆ กลับไปปริมาณงานที่ค้างไม่ใช่งานต่อวันคูณด้วยจำนวนวันที่ลา แต่ชาวนาไกล้เคียง
ผมเองเป็นมนุษย์เงินเดือน มาค่อนชีวิต ตอนนี้มาเป็นชาวไร่ (ชาวไร่นี่งานไม่จี้ตูด กำหนดการทำงานไม่ตรงเด่ เหมือนชาวนา คือยังเบี้ยวได้มากกว่า)
ผมเกิดมากลางถิ่นคนทำนา ทันการลงแขกช่วยกัน แต่วิถีชีวิตเริ่มเปลี่ยน เริ่มจากไม่มีฤดูน้ำท่วม จากการสร้างเขื่อนภูมิพล, มีไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้าน, และมีคลองชลประทานเข้ามา วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป
ชาวนาในเขตคลองชลประทาน ที่เคยทำนาปีละครั้ง เป็น2-3ครั้ง การลงแขกช่วยกันซึ่งมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบเช่นคนหนึ่งทำนา15ไร่ อีกคนทำนา20ไร่ ที่เคยเอาแรงกันโดยไม่คิดเรื่องเสียเปรียบ-ได้เปรียบ ก็เริ่มคิด ประกอบกับทุกคนไม่มีนาในเขตชลประทานทุกคน การที่จะช่วยลงแขกเอาแรงกันก็เริ่มหมดไป
เทคโนโลยี่เข้ามา เช่นรถไถ เข้ามา ชาวนาแต่ละคนก็จ้างในเฉพาะที่ตนเอง แล้วก็กลับ ..ต่างกับสมัยก่อนจะไถ-จะหว่านต้องใช้เวลา2-3เดือนต้องพึ่งพากันตลอด เพราะต้องย้านครัวไปทำ
วิถีชีวิตเปลี่ยนไป เช่นเคยอาบน้ำเวลาไกล้เคียงกันได้คุยกัน เปลี่ยนเป็นปั๊มน้ำขึ้นมาอาบบนบ้าน, สัก2ทุ่มดับตะเกียงนอน มีแว่วๆมาบ้างก็เสียงวิทยุเล็กๆ ปัจจุบันนอน4-5ทุ่ม มีเครื่องเสียง-โทรทัศน์, เหนื่อยๆมาเคยกินน้ำฝน ผสมน้ำยาอุทัยทิพย์ ปัจจุบันต้องน้ำแช่เย็น อาจเป็นน้ำอัดลม
**ผมเปรียบเทียบยาว เพียงจะบอกว่า ชีวิตรุ่นหลังๆ ความต้องการมันเปลี่ยนไป สิ่งที่จะให้ได้สิ่งตอบสนองนั้น คือเงิน
ผมหงุดหงิดที่อ่านพบว่า ชาวนาขี้เกียจ มีครับผมเชื่อ และเคยพบ บางคนเดินเอาหัวไปก่อนมันก้าวได้3ก้าว ผมก้าวได้2 กับบางคนเดินเหมือนจูงเต่าชมจันทร์ ...เฉพาะคนที่ว่า หรือคิดว่าชาวนาขี้เกียจนะ เคยพิจารณาคนรอบตัวไหม ว่าคนไหนขยัน-คนไหนขี้เกียจ คุณจะไปว่าเขาขี้เกียจไหม ....คุณเห็นชาวนาเดินช้าๆ ก็มักช้ากว่าคุณ คุณอาจบอกว่า ไอ้ลักษณะแบบนี้จะทำพอกินได้อย่างไร ผมคิดว่าเขาไม่ได้รีบไปให้ทันเวลารถไฟฟ้า ไม่ต้องไปให้ทันปั๊มบัตรลงเวลาทำงาน
ทั้งผม ทั้งคุณ รวมทั้งชาวนา ความต้องการคือเงิน ยิ่งตระกูล SIN ยิ่งต้องการมากจนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
รายรับของมนุษย์เงินเดือนนั้นมีปัจจัยเดียวคือนายจ้างอยู่ในฐานะที่จ่ายได้หรือไม่ ผิดกับชาวนาซึ่งปัจจัยองค์ประกอบมากกว่าหลายเท่า ...วิธีการ-กรรมวิธีในกระบวนการผลิต รวมทั้งรอความเมตตาจากเทวดาด้วย และที่สำคัญรัฐบาลลมีนโยบายทำร้ายชาวนาขนาดไหน
กว่า15ปีที่แล้ว ผมเคยคุยกับเพื่อนที่ทำนาจากมรดก ประมาณ20ไร่ ผมเคยบอกว่าพอเกี่ยวเสร็จ(ตอนนั้นยังใช้แรงคน) ให้ชักน้ำเข้านาพร้อมกับผสมน้ำอีเอ็มใส่แปลงนา ไปหมักไว้ พอดินหมาดก็ไถแปร ไถดะ แล้วปลูก จะลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงเรื่อยๆ จนถึง5ปีน่าจะใช้ปุ๋ยเคมีคงที่ ก็คงประมาณ 20-25% ของปริมาณที่ใช้ใน(วันนั้น) ...มันสวนมาว่าในช่วง4-5ปี ที่ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี ผลผลิตมันลดลง ใครจะจ่ายชดเชยให้มัน ...ผมไมได้ตอบครับ ทั้งที่มีคำตอบในใจ เดี๋ยวเสียเพื่อน
ไอ้เพื่อผมที่ว่า มีมรดกมาสัก10ไร่ ทำนามาตลอด จากที่ติดต่อกันครั้งสุดท้ายเมื่อสงกรานต์ มันมีที่นา 50กว่าไร่ มันบอกไม่ขวนขวายอีกแล้ว มันแก่แล้ว และลูก3คน ไม่มีใครรับมรดกทำนาสักคน ที่เล่ามานี้เพียงจะบอกว่า มันก็เจริญฐานะของมันมา โดยปรกติ ไม่ใช่เพราะโครงการประกันราคา/ประกันรายได้ หรือโครงการรับซื้อข้าวของ นส.ปู ...ไม่ว่ารบ.ไหน อย่ามาอ้างเป็นความดีความชอบเลย แต่ที่แน่ใจคือนโยบาย นส.ปู ทำลายชาวนาไทยกว่าค่อน ไปเรียบร้อยแล้ว
การแก้ปัญหาชาวนา ต้องแก้จริงจัง เป็นระบบ ใช้เวลานานและผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคือ รัฐบาล ซึ่งนส.ปู ไม่มีแนวคิดนี้สักนิด เท่าขี้เล็บมดก็ไม่มี