แม้แต่คำสอนพระพุทธเจ้า พวก "งมงายในวิทยาศาสตร์" ยังบอกว่าไม่มีจริงเลยครับ
คนอุปโลกน์พระพุทธเจ้าขึ้นมาเอง
(ไปดูกระทู้เก่าๆห้องหว้ากาม พันดริฟต์ดูได้)
อ่านที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง
การที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดา
ใน มหาตัณหาสังขยสูตร
จะนึกไม่ถึง
วงการแพทย์ปัจจุบัน ทึ่งและประหลาดใจเป็นอย่างมาก
การที่พระพุทธเจ้าทรงทราบ
ถึงการพัฒนาการของทารกที่อยู่ในครรภ์
อย่างละเอียด
เริ่มตั้งแต่เป็น Germ Cell
จนถึงเป็นตัวทารกอย่างสมบูรณ์
เพราะเมื่อสมัยเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้น
ไม่มีเครื่องมือทันสมัย เช่น กล้องจุลทรรสน์
หรือ เอ็กซเรย์อันใดเลย
แต่พระพุทธองค์ก็ทรงหยั่งทราบได้ชัดเจน
เหมือนกับมีเครื่องมือเหล่านี้
และยังทรงรู้ซึ้งไปกว่านี้อีกมาก
องค์ประกอบในการเกิดมนุษย์
ใน มหาตัณหาสังขยสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาว่า ต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ
๑ . มาตา อุตุนี โหติ มารดามีระดู
๒ . มาตาปีตโร สนฺนิปติตา โหนฺติ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน
๓ . คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ มีสัตว์มาเกิด
( ม . มู ๑๒ / ๔๕๒ / ๔๘๗ )
เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ อย่างนี้ครบถ้วนแล้ว การตั้งครรภ์ก็ย่อมมีขึ้นได้
แต่ถ้าไม่พร้อมทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว การตั้งครรภ์ก็มีไม่ได้
คำว่า “ มารดามีระดู ” นั้น หมายถึงมารดามีไข่ และ
ในขณะเดียวกันบิดาก็มีสเปอร์ม ทั้งไข่และสเปอร์มนี้ เป็นส่วนของรูป
ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่
ส่วนข้อที่ว่า “ มีสัตว์มากเกิด ” นั้น
หมายถึงมีจุติจิต หรือ จุติวิญญาณ เคลื่อนมาปฏิสนธิ
จึงเกิดเป็นปฏิสนธิวิญญาณนี้เองเป็นจิตดวงแรกที่เกิดในชาติใหม่
และจัดเป็นส่วนนามที่สืบต่อมาจากภพชาติก่อน ๆ
โดยนำเอาบุญ บาป กรรม กิเลสติดมาด้วย
ฉะนั้น เมื่อกล่าาวโดยย่อแล้ว ผู้ที่เกิดมาก็มีแต่ นามกับรูป ๒ อย่างนี้เท่านั้น
ลำดับแห่งการพัฒนาการของทารกในครรภ์
ในอินทกสูตร ยักขสังยุต
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการก่อกำเนิดมนุษย์
ที่เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดาไว้อย่างน่าสนใจ
ปฐม กลล โหติ กลลา โหติ อพฺพุท
อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน
ฆนา ปสาขา ชายนติ เกสา โลมา นขาปี จ
ยญฺจสฺส ภุญฺชติ มาตา อนฺน ปานญฺจ โภชน
เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตุกุจฺฉิคคฺโต นโรฺ
แปลความว่า
“ รูปนี้เป็นกลละก่อน
จากกลละเกิดเป็นอัมพุทะ
จากอัมพุทะเกิดเป็นเปสิ
จากเปสิเกิดเป็นฆนะ
จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม ( ปัญจสาขา )
ต่อจากนั้นก็มีผม ขน และเล็บ ( เป็นต้น ) เกิดขึ้น
มารดาของทารกในครรภ์นั้นบริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอันใด
ทารกที่อยู่ในครรภ์นั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารนั้น ในครรภ์มารดานั้น ”
( ส . ส . ๑๕ / ๘๐๓ / ๓๐๓ )
กลละนี้เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของร่างกายที่ก่อกำเนิดขึ้นมา
อันเป็นกรรมพันธุ์ที่มาจากพ่อแม่โดยตรง
ในอรรถกถาพระวินัย ๑ ท่านกล่าวถึงรูปลักษณะของกลละไว้ว่า
“ กลลรูปของหญิงชายมีขนาดเท่าหยาดน้ำมันงาที่ยกขึ้นมาด้วยปลายขนทรายข้างหนึ่ง
( ติดปลายขนทรายขึ้นมา ) ใสแจ๋ว ”
ฉะนั้น กลละก็คือ Germ Cell ตามหลักชีววิทยานั่นเอง
ในอรรถกถาสารัตถัปปกาสินี
ท่านอธิบายถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดา
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรข้างต้นนั้น
โดยท่านกล่าวขยายความคาถาจากพระสูตรข้างต้นนั้นไว้ว่า
“ ในสัปดาห์แรกแห่งการปฏิสนธินั้น เกิดเป็นกลลรูป
คือเป็นหยาดน้ำใสเหมือนน้ำมันงา
ในสัปดาห์ที่ ๒ หลังจากกลละรูป ได้เกิดเป็นอัพพุทรูปขึ้น
มีลักษณะเป็นฟอง สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ
ในสัปดาห์ที่ ๓ หลักจากอัพพุทรูป ก็ได้เกิดเป็นเปสิรูป
ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนมีสัณฐานเหมือนไข่ไก่
ในสัปดาห์ที่ ๕ หลักจากฆนรูป จึงได้เกิดปัญจสาขา
คือ รูปนั้นงอกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ
เป็นศีรษะ ๑ , มือ ๒ , เท้า ๒
ต่อจากนั้น
คือ ในระหว่างสัปดาห์ที่ ๑๒ ถึงสัปดาห์ที่ ๔๒
ผม ขน เล็บ ก็ปรากฏขึ้น ”
( สารัตถัปปกาสินี ภาค ๑ หน้า ๓๕๑ - ๓๕๒ )
http://www.mettadham...hist canon2.htm