Jump to content


Photo

"คนดีที่ถูกฆาตกรรม" พศิน อินทรวงค์


  • Please log in to reply
4 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 Suraphan07

Suraphan07

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,016 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:57

[attachment=21785:1005955_392412764202578_1354675123_n.jpg]

 

สังคมของเรามีปัญหาเยอะ บางปัญหามีคนมากมายเข้าไปช่วยกันทำ สำเร็จก็มีเยอะ ช่วยกันทำแล้วมาทะเลาะกันเองก็มีเยอะ แต่บางปัญหาที่ยังไม่มีใครสนใจอยากไปทำมันก็มี ถ้าเป็นไปได้ เมื่อคิดจะช่วยสังคม การที่เราเลือกเข้าไปช่วยในสิ่งที่ยังไม่มีคนทำมันก็ดีไปอีกแบบ หนึ่งเป็นการบุกเบิกแผ้วถางทางไว้ให้ผู้อื่นได้เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน สองเมื่อไม่มีคนมาทำกันมาก ปัญหาต่างๆ เรื่องความขัดแย้งในงานมันก็มีน้อย สามารถทำได้อย่างสบายใจ ถึงจะเหนื่อยกายไปบ้าง แต่ก็อาจเหนื่อยใจน้อยกว่า ... ;) 



#2 Suraphan07

Suraphan07

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,016 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 21:59

บางครั้งตั้งข้อสังเกตว่า เวลาที่ผู้คนเข้าไปช่วยกันทำงานจิตอาสา หรืองานบุญ หรืองานอะไรก็ตามที่เป็นส่วนรวม หากเป็นแค่งานชั่วครั้งชั่วคราว แบบทำครั้งเดียวจบ ก็ดูว่าจะช่วยเหลือกันดี มีความเป็นพี่เป็นน้อง ช่วยกันแบกช่วยกันหาม แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มไปทำบ่อยขึ้น ทำอย่างต่อเนื่อง การแบ่งพรรคแบ่งพวกก็เริ่มเกิดขึ้นทันทีเหมือนกัน คนนี้กลุ่มฉัน คนนั้นไม่ใช่ ฉันเป็นใคร เธอเป็นใคร ฉันควรจะเป็นผู้นำเพราะฉันมีหน้าที่การงานดีกว่า มีเงินเยอะกว่า เรียนมาสูงกว่า ทำไมเธอคิดแบบนั้น ทำไมฉันต้องทำตามเธอ ความรู้สึกเช่นนี้มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในแทบจะทุกที่ที่มีการทำกิจกรรมเพื่อสังคมไม่ว่าจะเป็น ตามวัด สถานที่ปฏิบัติธรรม องค์กรการกุศล ค่ายอาสา แทบจะทุกที่ ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไปนัก เราจะเห็นว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทั้งหมด ทำไปทำมาเหมือนกับว่า เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเรามาเพื่อทำอะไร นอกจากเราลืมว่าตัวเรามาทำอะไรแล้ว เรายังลืมไปว่าคนอื่นๆ มาทำอะไรด้วย อัตตาของเราบังคับให้เราต้องขยายตัวเองให้ใหญ่ เพื่อให้คนอื่นมองเห็น เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำคัญ อัตตาของเรายังทำงานอย่างขยันขันแข็ง มันไม่เคยไม่เกี่ยงงาน ทั้งงานส่วนตัว งานบุญ และงานเพื่อส่วนรวม อัตตาของเราก็เข้ามามีบทบาทอยู่เสมอมิเคยขาด ... -_- 



#3 Suraphan07

Suraphan07

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,016 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 22:01

เหล่านี้คือสถานการณ์แห่งกับดัก เป็นการขุดหลุมของอัตตาในขั้นละเอียด มันหลอกให้เรารู้สึกว่า เรากำลังทำดี แล้วใช้ความดีเป็นเกราะกำบัง ขณะที่มันก็ใช้ความดีอีกนั่นแหละ มาพอกตัวมันเองให้ใหญ่ขึ้น รู้ตัวอีกที เราก็นิยามตนเองว่า "เป็นผู้ทำเพื่อสังคม" "เป็นผู้ทำตนให้มีคุณประโยชน์" "เป็นคนใจบุญใจเพราะ" สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความอันตรายที่น่ากลัว ความหลงตัวเองเช่นนี้จะทำงานช้าๆ และเงียบๆ ขณะที่จิตใจของเราตีราคาตัวเองเอาไว้สูงสุด แต่อีกด้าน เราก็กดผู้อื่นให้ต่ำเตี้ยลงไป เรากลายเป็นคนที่ทำความดีไปก็ด่าคนอื่นไป มือหนึ่งทำบุญ อีกมือหนึ่งกดหัวคนอื่น ส่วนปากของเราก็กราดถ้อยคำตำหนิ บ่นด่าผู้อื่นไปทั่ว รวมความแล้วว่า ในการทำเพื่อสังคมของเรานั้น จะได้บุญมากกว่าบาป หรือได้บาปมากกว่าบุญก็ยังไม่แน่ แท้จริงแล้ว การช่วยเหลือสังคม ทำความดีเพื่อผู้อื่น เป็นคุณธรรมที่ช่วยให้เราละตัวตน และมีจิตแบ่งปัน แต่เมื่อเราได้ปล่อยใจให้มาถึงจุดแห่งความหลงตัวเองแล้วก็เป็นอันว่า เป้าหมายของการพัฒนาจิตใจที่สมควรจะได้รับ ก็มีอันต้องพังทลาย...ฯ



#4 Suraphan07

Suraphan07

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,016 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 22:02

เห็นได้ว่า อัตตาตัวตนและกิเลสตันหานั้น มีความฉลาดหลักแหลม บางครั้งมันปลอมตัวมาเนียน ตีซี้กับเรา คุยกันเรา ยิ้มให้เรา หลอกขายความดีซึ่งยัดไส้เป็นความชั่วช้ามาให้ มันบอกให้เรารับไป เพราะเราสมควรจะได้รับ แล้วเราก็รับไป เราหยิบคำยกยอนั้นยัดเข้าปาก เคี้ยว แล้วกินลงไป หลอมมันไว้กับจิตวิญญาณของเรา นานวันเข้า เราเริ่มมองไม่เห็นตัวเอง คนที่เราเห็นไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ที่ดูราวกับนักบุญ เขาคนนั้นทำเพื่อสังคม เขาคนนั้นช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ พร้อมกับบ่นด่าเรื่อยไป ไม่มีใครดีสำหรับเรา ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นเหมือนเรา เราหลงเขาไปในโลกแห่งความเป็นนักบุญจอมปลอมที่กิเลสหยิบยื่นให้ ความเมตตาของเรามีมากมายมหาศาลในระดับมหาภาค แต่ในระดับปัจเจกนั้นความเมตตาของเราน้อยเหลือเกิน เมื่อพูดถึงโลกทั้งใบเรากลายเป็นผู้มีความเห็นอกเห็นใจ แต่เมื่อพูดถึงคนใกล้ตัวเรากลายเป็นคนใจร้อนขี้หงุดหงิด เราคิดจะดับไฟให้คนทั้งโลก แต่กลับดับไฟในใจตัวเองไม่ได้ เราคิดจะเสียสละให้คนทั้งโลก แต่เพียงแค่ถูกขับรถปาดหน้า หรือแม่ค้าทอนเงินผิด เรายังไม่ลดลาวาศอก ...



#5 Suraphan07

Suraphan07

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,016 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 22:03

เห็นได้ชัดว่า กิเลสกำลังทำให้เราหน้ามืด อัตตาของเรากำลังกลืนกินจิตวิญญาณแห่งผู้มีใจอารีย์ เราเริ่มต้นด้วยจิตใจที่เป็นกุศล แต่ต่อมาเรากลับถูกครอบงำ กลายเป็นผู้ยึดติดลาภยศ สรรเสริญซึ่งเป็นกิเลสที่ละเอียดยิ่งกว่า มันไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย 
สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้คิดดี ไม่ควรเกิดขึ้นกับสถานที่อันเป็นมงคล ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้ปราถนาพัฒนาจิตใจของตนให้สูงส่ง 
งานเพื่อสังคมนั้นเป็นงานที่แสนประเสริฐ การทำเพื่อผู้อื่นนั้นเป็นคุณธรรมล้ำค่าที่เหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลายกระทำอยู่เป็นนิจ 
แต่ทั้งหมดทั้งปวง เราควรทำภายใต้จิตอันบริสุทธิ์ 
เมื่อทำ ก็ทำอย่างเต็มกำลัง เต็มความสามารถ 
แต่เมื่อถึงเวลาก็ควรกำหนดจิตให้ปล่อยวางเต็มที่เช่นกัน 
ทำกิจการใดๆ ควรใช้จิตว่างเป็นพื้นฐาน 
จึงไม่เป็นตกเป็นทาสแห่งโลกธรรมทั้งแปด 
มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยส มีสรรเสริญ มีนินทา มีทุกข์ มีสุข 
ยิ่งทำความดีมากเท่าไหร่ ยิ่งควรตระรู้เท่าทันตนเองมากเท่านั้น 
กิเลสผีร้ายจึงไม่สิงสู่ใจ บงการให้เราเสียสติ 
หยิบมีดแห่งความเห็นผิด 
เชือดคอตัวเองให้ตายลงไปจากความดีอันเที่ยงแท้..

 

 

 

ขอบพระคุณบทความดีดี จากคุณพศิน อินทรวงศ์ ด้วยครับ...

https://www.facebook.com/Talktopasin


Edited by Suraphan07, 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 22:03.





ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน