คนไทยควรจะต้องให้ความสนใจ กับแรงกดดันของสหรัฐฯ เรื่องค้าขายกับไทยในช่วงนี้ให้จงหนัก
เพราะด้านการเมืองเขาก็พยายามแสดงความเป็นมิตร, แต่ด้านทำมาหากินเขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบกับเราในฐานะที่เขามีอำนาจต่อรองสูงกว่า
ในยุคข้อมูลข่าวสารมีให้ได้รับรู้อย่างกว้างขวาง, น่าแปลกใจว่าเรื่องราวที่กระทบต่อการค้าการขายของไทยกลับไม่ได้รับการกล่าวขวัญหรือวิพากษ์วิจารณ์ในระดับที่จะสร้างความตื่นตัวให้กับสังคมไทยในเรื่องระหว่างประเทศที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดได้
ระยะหลังนี้สหรัฐฯ กดดันให้ไทยต้องให้เขาส่ง "หมู" และ "ตับไตไส้พุงหมู" ที่ปกติคนอเมริกันไม่บริโภคมาขายในเมืองไทยอย่างเสรี และขายในราคาที่ต่ำมากเพราะต้นทุนของเขาอยู่ในระดับต่ำกว่าเรา ทำให้คนเลี้ยงหมูไทยต้องออกมาประท้วง เรียกร้องให้รัฐบาลไทยต่อสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ตัวอย่างที่เกิดกับไต้หวัน, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในเรื่องเดียวกันสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของสองประเทศนั้นอย่างหนัก เพราะผลที่เกิดนั้นไม่เพียงแต่กระทบเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรเท่านั้น หากแต่มีผลเป็นลูกโซ่เช่นผู้ผลิตอาหารสัตว์ ยา และเวชภัณฑ์ อุตสาหกรรมเลี้ยงหมูของไทยมีมูลค่าประเมินที่ 80,000 ล้านบาท หากถูกกระทบด้วยหมูมะกัน, ก็จะสลายไปต่อหน้าต่อตา
แต่รัฐบาลไทยต้องเผชิญกับศึกหลายด้าน เพราะอีกด้านหนึ่งสหรัฐฯ ก็กำลังพิจารณาเพิ่มภาษีชดเชยนำเข้าหรือ CVD (Countervailing Duties) มาต่อต้านการส่งกุ้งไทยเข้าสหรัฐฯอ้างว่าเพื่อปกป้องผู้เลี้ยงกุ้งของเขา แต่ความจริงนั่นคือข้ออ้างเพื่อนำมาต่อรองกับไทยให้เรายอมให้นำเข้า "เนื้อสุกร" เพื่อแลกกับการที่เขาจะยอมให้เราขายกุ้งเข้าไปที่บ้านเขา เขาเล่นเกมนี้พร้อมกันหลายทาง นอกจากรัฐบาล, และส.ส. บางกลุ่มแล้ว สมาคมผู้ผลิตสุกรแห่งชาติหรือ National Pork Producers’ Council ก็ยังออกมาโวยวายด้วยการขู่ว่าจะเสนอต่อรัฐบาลสหรัฐฯพิจารณาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรหรือ GSP (Generalized System of Preferences) กับสินค้าส่งออกอย่างอื่น ๆ ของไทย ไปยังสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ทางการค้า เพราะเขาอ้างว่าเรายังไม่ยอมให้เขาส่งหมู (ไม่ใช่แค่เนื้อแดง แต่รวมถึงส่วนอื่น ๆ เช่นหัว, กระดูก, ขา, เลือด, ตับไต และเครื่องในทั้งหลายที่เขาไม่กินแต่คนเอเชียกินกันเป็นว่าเล่น) เข้ามาขายในไทยเหมือนที่เขาทำกับประเทศอื่น ๆ ในแถบนี้ได้
อีกประเด็นหนึ่งคือการที่สหรัฐฯ ยอมให้คนของเขาใช้สารเคมีบางอย่าง ในกระบวนการผลิตเนื้อหมูขณะที่กรมปศุสัตว์ ของไทย ถือว่าเป็นสารต้องห้ามเพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค
นั่นย่อมแปลว่าหากเรายอมให้เนื้อหมูมะกัน ที่มีสารปนเปื้อนที่ทางการไทยถือว่าเป็นอันตราย เราก็กำลังเปิดทางให้ผู้บริโภคเนื้อหมูไทยต้องเสี่ยงกับปัญหาสุขภาพอย่างรุนแรง แน่นอนว่าสหรัฐฯก็อ้างกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก ว่ากฎหมายไทยในเรื่องนี้ “กีดกัน” การค้าเสรี ขณะที่ประเทศคู่ค้าที่เล็กกว่า อำนาจต่อรองน้อยกว่าก็ย่อมจะชี้ให้เห็นได้ว่าวิธีการของมหาอำนาจเช่นนี้คือการข่มขู่คุกคาม และกดดันทั้งด้านการเมือง และการค้าอย่างขาดความสำนึกแห่งความเป็นธรรมแน่นอน การปักหลักปกป้องสิทธิและการเจาะตลาดต่างประเทศของสินค้าไทยจะต้องเป็นแผน “บูรณาการ” ของการเมือง, การทูต, เอกชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในสหรัฐฯเองอย่างกว้างขวาง
หาไม่แล้ว, คนได้เปรียบคือคนที่เสียงดังกว่า, มือเท้าใหญ่กว่า, และหัวใจด้านกว่าเท่านั้นเอง...
http://www.oknation....3/06/28/entry-1