จากกรณีที่นักข่าวสายกระทรวงพาณิชย์จัดหนักจัดเต็ม 2 รัฐมนตรีว่าการและช่วยกระทรวงพาณิชย์ นายบุญทรง และอำมาตย์เต้น จนไปไม่เป็นเมื่อวันแถลงข่าวโครงการรับจำนำข้าว วันนั้นหลายคนต่างก็ชื่นชมกลุ่มนักข่าวสาวที่ยิงคำถามอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ไม่ได้เกรงอำนาจ บารมีของรัฐมนตรี โดยเฉพาะอำมาตย์เต้นแกนนำเสื้อแดง ที่เก่งกาจบนเวทีเสื้อแดง แต่วันนั้นเต้นกลายเป็นคนละคน
เปิดใจ “คนข่าว ก.พาณิชย์” ผู้ไล่ถาม “บุญทรง-ณัฐวุฒิ” จนมุม “จำนำข้าว” “...หน้าที่ของเราคือเปิดโปง อย่างตอนนั้น แม้เราไม่สามารถงัดตัวเลขออกมาได้ แต่สิ่งที่เราทำสำเร็จคือเราทำให้ชาวบ้านได้เห็นกันเองว่า มันมีความผิดปกติแบบนี้อยู่ แล้วมีมากขึ้นทุกที...”
คลิป “บุญทรง เตริยาภิรมย์” สมัยเป็น รมว.พาณิชย์ หน้าถอดสี หันรีหันขวาง เกาหู-จิบน้ำ เป็นระยะ ขณะที่ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.พาณิชย์ นักพูดชื่อดัง ต้องจำนนถ้อยคำ เมื่อถูกตั้งคำถามเรื่อง “ตัวเลขขาดทุน” ในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นเพื่อตอบโต้กระแสข่าวการขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท แต่ท้ายสุด “ข้อมูลสำคัญ” กลับถูกปกปิด-บ่ายเบี่ยง-เลี่ยงจะแพร่งพราย
ได้กลายเป็น 1 ใน “ภาพจำ” ที่คนไทยจำนวนไม่น้อย มีต่อ “โครงการรับจำนำข้าว”
คลิปดังกล่าวยังทำให้ “สื่อประจำกระทรวงพาณิชย์” ได้รับเสียงชื่นชมต่อสาธารณชน จากการทำหน้าที่แบบ “กัดไม่ปล่อย” ไม่หลงคารมแหล่งข่าวที่พยายามเปลี่ยนประเด็นอยู่ตลอดเวลา มีสติ สมาธิ และตั้งมั่นกับการหาข้อมูลที่ผ่านทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพื่อให้สังคมได้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลจาก “นโยบายหมายเลขหนึ่ง” ของรัฐบาลชุดนี้
เราอาจได้ยินเสียงนักข่าวหลายคนนั้นผ่านคลิปที่ได้รับการแชร์-บอกต่อ อย่างแพร่หลาย ช่วงต้นเดือน มิ.ย.2556 แต่น้อยคนจะรู้ถึงเบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว...
"สำนักข่าวอิศรา" (www.isranews.org) จึงขอนำข้อมูล-ข้อเท็จจริง จากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ผ่านทาง “สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์” ผู้สื่อข่าว นสพ.ไทยรัฐ กับ “อาภรณ์รัตน์ พูนพงศ์พิพัฒน์” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่บอกเล่าผ่านวงเสวนา “สกัดประเด็น ตามรอย…ข้าวสารเน่า ข้าวเปลือกล่องหน” ในการอบรมเชิงปฏิบัติการชุมนุมนักข่าว ประจำปี 2556 เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2556 ที่โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม
โดยการเสวนาดังกล่าว มี “ฑิฆัมพร ศรีจันทร์” หัวหน้าข่าวเศรษฐกิจ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ เป็นทั้งผู้ดำเนินรายการ และให้ข้อมูลประกอบเป็นระยะ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น...
“ฑิฆัมพร” เริ่มต้นปูพื้นว่า ทำข่าวการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว ผู้สื่อข่าวต้องตั้งคำถามกับตัวนโยบายก่อน ว่าการรับจำนำข้าวปริมาณมากๆ ในราคาที่สูงเกินจริง มีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง รวมทั้งต้องศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ คำสั่ง-นโยบายของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) รวมถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบถึงความไม่ชอบมาพากล
“เราต้องตั้งคำถามว่า ซื้อถูกขายแพง ใครคือผู้เสียประโยชน์ สื่อต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบ โดยอาจค้นหาคำตอบไปเรื่อยๆ เพื่อนำความจริงมาอธิบายกับสังคม”เขากล่าว
“อาภรณ์รัตน์” เล่าเหตุการณ์ที่ปรากฏในคลิปว่า ในวันนี้ นักข่าวกระทรวงพาณิชย์ อยู่ในภาวะที่ต้องเรียกว่า “ตามหาตัวรัฐมนตรี” เพราะทุกคนอยากรู้ตัวเลขขาดทุนโครงการรับจำนำข้าว ดังนั้นก่อนสัมภาษณ์ พวกเราต้องค้นคว้าข้อมูล บริบท และปูมหลัง ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการนี้
“เช้านั้น รัฐมนตรีหายไป ทั้งๆ ที่บอกว่าอีก 2-3 ชั่วโมงจะมาแถลงว่า ไม่ได้ขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทอย่างที่เป็นข่าว เป็นที่มาของการตามหาตัวรัฐมนตรี ถ้าดูจากคลิปยอมรับว่าหลายคนก็มีอารมณ์ เพราะถูกหลอกมาหลายทีแล้ว แต่ด้วยความเป็นนักข่าวเศรษฐกิจ ทุกอย่างจะ base on ตัวเลข เราจึงตั้งคำถามต่างๆ โดยยึดที่ตัวเลข”
“อาภรณ์รัตน์” ยังเล่าว่า วันนั้นเหมือนบุญทรง-ณัฐวุฒิ จะโชคร้ายเล็กๆ เพราะนักข่าวที่มาร่วมงานแถลงข่าวด้วย ต่างก็เป็นผู้ที่เกาะติดเรื่องข้าวมายาวนาน และที่เวียนมาร่วมงานแถลงข่าวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ยืนยันว่าไม่มีการเตี๊ยมกันว่าใครจะถามอะไร แต่วันนั้นเหมือนทุกคนเสาอากาศจูนตรงกันพอดี ก็เลยมุ่งไปที่คำถามเดียวคือตัวเลขขาดทุนที่แท้จริงเป็นเท่าไร” เธอเล่า
ด้าน “สิริวรรณ” กล่าวว่า การสัมภาษณ์ “2 รัฐมนตรีพาณิชย์” ในวันนั้น ทำให้เสียความรู้สึก ที่รัฐมนตรีไม่ตอบคำถามที่สังคมอยากรู้ ทั้งๆ ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว กระทรวงการคลังก็ระบุตัวเลขมาแล้ว พวกเราจึงต้องเตรียมตั้งคำถามโดยเน้นไปที่การหา “ตัวเลข” 3 ตัว นั่นคือ ตัวเลข “การขาย-สต๊อก-ขาดทุน” ว่าที่แท้จริงคือเท่าไร
“แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีรัฐมนตรีคนใดสามารถให้ความกระจ่างได้ จึงเป็นที่มาคลิปดังกล่าว ที่ดูเหมือนนักข่าวไล่จี้ ไล่ต้อนรัฐมนตรี ซึ่งจริงๆ สไตล์การถามแต่ละคนจะต่างกัน บางคนจิกจัด บางคนถามตรงๆ” เธอว่า
การตั้งคำถามที่ทำเอาบุคคลระดับเสนาบดีจนมุม ไม่สามารถหาคำอธิบายที่กระจ่างแก่สังคมได้ ปัจจัยสำคัญที่สุด ย่อมไม่พ้นการที่ผู้สื่อข่าวจะต้องมี “คลังข้อมูล”อยู่ในหัว...
ดังที่ “สิริวรรณ” เล่าว่า เมื่อรัฐบาลนี้ประกาศใช้โครงการรับจำนำข้าว พวกเราก็ต้องกลับมาทำการบ้าน อาทิ ตรวจสอบว่าราคาที่รัฐบาลตั้งไว้สมเหตุสมผลหรือไม่ และผู้มีอำนาจใช้ปัจจัยใดมากำหนดราคา ซึ่งต่างกับสมัยก่อนที่แม้จะรับจำนำเช่นกัน แต่ไม่ได้รับทุกเมล็ดเช่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน
“อาภรณ์รัตน์” กล่าวว่า การทำข่าวเศรษฐกิจ จำเป็นต้องมี “ข้อมูล-ตัวเลข” ที่ชัดเจน นอกจากนี้ต้องรู้เท่าทันแหล่งข่าว เช่นที่มีการส่ง รมช.พาณิชย์ ณัฐวุฒิมาร่วมแถลงข่าวด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เราก็มองว่าเป็นเพราะเขาเป็นนักพูด โน้มน้าวเก่ง ดังนั้น ผู้สื่อข่าวต้องเตรียมเป้าหมายที่ชัดเจนไว้ว่า สิ่งที่ต้องการคือ “ข้อมูล-ตัวเลข”
“ถ้าเขาเบี่ยงประเด็นว่ารัฐบาลชุดนี้ก็ขาดทุนไม่ต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ผู้สื่อข่าวต้องมีข้อมูลถามกลับว่าแล้วรัฐบาลชุดนี้ขาดทุนเท่าไร เพื่อให้เขาไปหาตัวเลขที่แท้จริงมายืนยัน” เธอกล่าวถึงวิธีรับมือ
“ฑิฆัมพร” กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญที่ผู้สื่อข่าวต้องมีก็คืออย่าหลงไปกับวาทกรรมการเมือง เช่นคำว่าชาวนาได้ประโยชน์ หรือเขาจะรวยขึ้นทำไมต้องไปขวางเขา นี่คือ “วาทกรรม” แต่สิ่งที่เราต้องการคือ “ข้อมูล” ว่าเป็นอย่างไร กำไรหรือขาดทุน คนได้ประโยชน์จริงไหม
แม้จะไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ กระนั้น “หน้าที่” ของนักข่าว ก็ต้องขุดคุ้ยหาความจริงต่อไปว่าโครงการดังกล่าวส่งผลกระทบหรือมีจุดที่น่า ตั้งคำถามในประเด็นใดอีกบ้าง...
“อาภรณ์รัตน์” อธิบายว่า การทำข่าวเศรษฐกิจ แค่แม่นตัวเลขยังไม่พอ ต้องทำการบ้านด้านอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะจำนำข้าว เพราะ “ข้าว” เป็นพืชการเมือง ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็ต้องช่วย ดังนั้น นอกจากเรื่องตัวเลขกำไรขาดทุนแล้ว เราจะต้องรู้ถึงเรื่องระยะเวลาการผลิต ปริมาณข้าวที่ประเทศเราผลิตได้ วิธีและขั้นตอนการทุจริต ที่สำคัญมีใครได้ประโยชน์จากโครงการนี้บ้าง
ส่วน “สิริวรรณ” ให้ข้อมูลเพิ่ม เรื่องเบื้องหลังโครงการรับจำนำข้าว “ตันละหมื่นห้า” ว่า
“เราเคยถามรัฐมนตรีบุญทรงนะว่าทำไมต้อง ตันละ 15,000 บาท ซึ่งเขาก็รู้ว่าที่ตั้งราคานี้มันโอเวอร์ไป แต่ก็อธิบายว่าตอนที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริการประเทศใหม่ๆ ก็คิดเพียงว่าจะทำอย่างไรให้ราคาที่ได้ไม่ต่างจากราคาขั้นต่ำที่ตั้งไว้วัน ละ 300 บาท เลยเป็นที่มาของโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด ตันละ 15,000 บาท ซึ่งการรับจำนำข้าวในราคาที่สูง มันยิ่งเปิดช่อง เมื่อเราอยู่ในพื้นที่ด้วยก็เลยเห็นว่า ช่วงไหนบ้างที่จะเกิดการทุจริต นับแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่จะขึ้นไม่ตรง มีการนำพื้นที่ปลูกอ้อยมาลงทะเบียนว่าเป็นพื้นที่ทำนา โรงสีก็อาจจะโกงน้ำหนักหรือความชื้น แล้วนักการเมืองทำยังไงเวลาขายข้าวในสต็อก เราก็ต้องเขียนข่าวแฉทุกแง่มุม” เธอว่า
ท้ายสุด เมื่อถามว่าสื่อจะสามารถยับยั้งหรือสกัดกั้นการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือไม่ ?
“อาภรณ์รัตน์” มองว่า คงทำไม่ได้ เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ไม่ทิ้งชาวนา ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญ ดังนั้น นโยบายนี้ทุกรับบาลต้องทำ แต่จะโกงมากหรือโกงน้อยเท่านั้นเอง หน้าที่ของสื่อคือการเปิดโปงแม้ว่าเราจะเปลี่ยนใครไม่ได้
“หน้าที่ของเราคือเปิดโปง อย่างตอนนั้น แม้เราไม่สามารถงัดตัวเลขออกมาได้ แต่สิ่งที่เราทำสำเร็จคือเราทำให้ชาวบ้านได้เห็นกันเองว่ามันมีความผิดปกติ แบบนี้อยู่ แล้วมีมากขึ้นทุกที” เธอว่า
ขณะที่ “ฑิฆัมพร” กล่าวปิดท้ายการเสวนาว่า “สื่อก็เหมือนกับสุนัขที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน ใครจะเข้ามาขโมยทรัพย์สินในบ้านเรา เราก็เห่าไว้ก่อน แต่จะไปบอกให้เขาเป็นคนดีนะ เราบอกไม่ได้”
(ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา)
Edited by ผึ้งน้อย For Vendetta, 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 - 19:00.