“บริเวณ อื้อ-อล ด้วย ชลธี.....ประดุจเกาะอสุรีลงกา
เป็นคันขอบชอบกลถึงเพียงนี้.....มาสูญเสียไพรีอนาถา
แต่นี้แล หนา อก อา.....อยุธยาจะพับลับไป ฯลฯ"
ที่ยก บทกลอน พรรณนา ระลึกถึง กรุงศรีอยุธยา ขึ้นมา จ่าหัว ไว้
ก็เพราะว่า เมื่อวานนี้ ตะนิ่นตาญี พาเพื่อน ฟารั้ง ไปทาน กุ้งเผา-ปลาเผา
ที่ ตลาดกลางการเกษตร จังหวัดอยุธยา ขากลับ จึงถือโอกาส
แวะไหว้ พระ ที่ วัดใหญ่ชัยมงคล ได้เห็น ซาก-ปรัก-หัก-พัง ของ วัดวา-อาราม แล้ว
ก็อดเสียไม่ได้ที่จะนึกถึง บทกลอน พรรณนา ดังที่กล่าวมาในข้างต้น
นึกถึง ภาพ กรุงศรีอยุธยา ขณะเกิดเพลิงลุกโชติช่วง
นึกถึงภาพ ปริวิตก ของ เหล่า คนไทย ที่กำลังจะ สูญเสีย ของรัก-คนรัก ไป
แต่ ทุกข์ใด ก็ไม่ยิ่งใหญ่ เท่า ทุกข์ ของ แผ่นดิน เพราะ ทุกข์ ของ แผ่นดิน นี้
เป็น ความทุกข์ ที่อยู่นอกเหนือ ทุกข์ อัน เป็น ส่วนตัว...
ความทุกข์ส่วนตัว นั้น ถึงแม้เกิดขึ้นแล้ว ก็ยังพอที่จะแก้ไขไปได้
และมาตรแม้นว่าจะแก้ไขไม่ได้...เวลา นั้น เอง ก็จะเป็นเครื่องประสานแผล
ที่เกิดขึ้นจากทุกข์ให้คืนดีได้ดังเก่า แต่ ความทุกข์ ของ แผ่นดิน
อันเกิดจากการละเลยไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบ
จนเป็นเหตุให้ บ้านเมือง ต้อง เกิด ทุกข์ ขึ้นแสนสาหัสนั้น
ไม่ใช่ ทุกข์ส่วนตัว แต่เป็น ทุกข์ ของ คนไทย ทุกคน
เวลา นั้น แทนที่จะช่วย สมานแผล แต่กลับทำให้ ร้าวลึก ลงไปอีก
ด้วย เหตุ-แห่ง-ทุกข์ เช่นนี้ กระมัง ที่ทำให้ สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงได้
เสด็จออกจาก กรุงศรีอยุธยา ขณะที่เพลิงกำลังลุกโชติช่วง ไปประทับ ทรมาน
พระวรกาย อยู่ใต้ ต้นจิก จนเสด็จสู่ สวรรคต...
เพราะความทุกข์เช่นว่านี้กระมัง พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปิยมหาราช จึงได้
ทรงทรมาน พระวรกาย ไม่รับ พระโอสถ ในขณะที่ประชวรหนัก
เพราะทรง “เกรงเป็นทวิราช...บ่ตริป้องอยุธยา”...
และด้วยเหตุนี้กระมัง ที่ เหล่า ทหารกล้า ต้อง ทุกข์กาย-ทุกข์ใจ
เมื่อได้รับรู้ว่า “นาย ของ พวกเขา” กำลังจะช่วยกันออก พ.ร.ก. นิรโทษกรรม
เพื่อปกป้อง คนที่สั่ง ฆ่า พวกเขา ให้ไม่ต้อง “รับโทษ”
พวกเขา กำลัง “ร่ำไห้” อยู่ ในอก ครับ ลองตั้งใจฟังสิครับ ตั้งใจฟังให้ดี คุณฯ จะได้ยิน...
เสียง น้ำตา ที่ตก ลงบน แผ่นดินไทย ของ ทหารกล้า ครับ คุณยุทธศักดิ์ ศศิประภา ครับ
ตะนิ่นตาญี
วันพุธที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
เวลา ๑๘.๐๕ นาฬิกา