บรรยง พงษ์พานิช
อินไซด์ต้มยำกุ้ง โดยพี่เตา ตอนทื่ 1/7
---------------------------------------
2 กรกฎาคม 2556... 16 ปีแห่งความหลังงงงงง
วันนี้ตื่นแต่เช้าตรู่ สิ่งแรกที่นึกถึง ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ของ16 ปีที่แล้ว..เป็นอันว่าได้เล่าเรื่องเก่าอีกวัน(สงสัยจะแก่จริง)
2 กค. 2540 ผมถูกโทรศัพท์ปลุกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง โดยอาจารย์เปี๋ยม (ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ) โทรมาบอกว่า แบงค์ชาติปลุก CEO ธนาคารทุกคนให้ไปประชุมตอน 7 โมงเช้า น่าจะมีการลดค่าเงิน ปรากฎว่า อ.เปี๋ยม คาดผิดไปนิดหนึ่ง เขาไม่ได้ลดค่าเงิน แต่เขาลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งมันก็ลอยลง ลอยลง อย่างรวดเร็ว จาก 25 บาทต่อUS$ เป็น 40 เป็น 50 ไปโน่นเลย
นั่นเป็นฉากเริ่มต้นของหนังยาวที่ชาวไทยจำได้ดี เพราะเป็นหนังที่รวบรวมทั้ง drama, thriller, adventure, โศกเศร้ารันทด, สยองขวัญ ครบทุกรสชาด (ยกเว้น comedy เพราะขำไม่ออกเลยจริงๆ)
16 ปีผ่านไป เรามาย้อนดูอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้น...ใครกันวะ (ที่ไม่ใช่กู) ทำให้มันชิบหาย
หลายคนโทษพ่อมดการเงิน คุณพี่ Soros และชาวคณะ hedge fund ที่ทะยอยโจมตีค่าเงินบาทหลายระลอก... หลายคนโทษ ธปท.ที่ต่อสู้ยิบตาจนหมดหน้าตัก... บางคนไพล่ไปโทษจีน ที่บิ๊กจิ๋วส่งคนไปขอยืมแค่หมื่นล้านเหรียญแล้วไม่ให้... มีแม้กระทั่งมาโทษผมว่าเป็นที่ปรึกษาควบรวม "ไทยทนุ-ฟินวัน" แล้วไม่สำเร็จ ฯลฯ เวลาผ่านไป เรามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำกันวะ เราเรียนรู้อะไร
ทั้งหมดต่อจากนี้เป็นการวิเคระห์ของผมและทีมภัทรฯ เชื่อไม่เชื่อพิจารณากันเองนะครับ
"วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 มีสาเหตุจากปัญหาการลงทุนผิดพลาดอย่างกว้างขวางทั่วไป ในระบบ ศก.ไทย ในภาคเอกชน โดยใช้แหล่งเงินทุนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัญหาสะสมมากว่า5 ปี (1991-1996)"
ความจริงเรื่องวิกฤต ศก.นี้ ผมเล่ามาหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ จนแทบจะเป็นจุดขายหลักอันหนึ่งของผม (หาอ่านได้ในหลายที่ เช่น Thai Publica) แต่วันนี้จะลองไล่ใน version ใหม่ โดยมุ่งประเด็นว่า ใครทำ ใครผิด
- มันต้องเริ่มไปโทษโน่นเลยครับ คุณปู่ Reagan กับ คุณป้า Thatcher ที่ริเริ่ม deregulation ในช่วงต้นทศวรรษ 1980's ทำให้เกิดการไหลเวียนของเงินทุนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เป็นจุดเริ่มต้นของ Globalization
- แล้วคุณปู่ Reaganก็ทำผิดซ้ำซ้อน เพราะไป force ให้เกิด Plaza Accord ในปี 1985 ทำให้พี่ยุ่นถูกบีบให้ย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ เพราะค่าเงินเย็นแข็งพรวดพราดจาก 300 มาเป็น 100 เยน ต่อเหรียญ
- ทีนี้ก็มาถึงคิวของป๋าเปรม กับ ปู่สมหมาย ที่ดันทำให้ประเทศมีเสถียรภาพทั้งการเมือง การคลัง แถมเกิดซวย พบแก๊ซธรรมชาติอีกเยอะแยะ แล้ว อ.เสนาะ อุณากูล ก็ดันผลักดันโครงการ Eastern Seaboard ได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อซะอีก พี่ยุ่นก็เลยทะลัก ย้ายฐานการผลิตเข้าไทยอย่างไม่บันยะบันยัง (ไม่ยักกะบันยง) จนเกิดยุค "โชติช่วงชัชวาล" ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ (1986-1990)
- ไอ้พวกนักลงทุนสถาบันต่างชาติก็แย่ ตลาดหุ้นเราซบเซา เงียบสงบอยู่ดีๆ มาได้ 7 ปี หลังยุคราชาเงินทุน หุ้นราคาก็ดี P/E 3-4 ดันเข้ามาแย่งซื้อ หุ้นขึ้นอื้อ 60-70% ต่อปี ตลาดไทยเลยกลายเป็นแถวหน้าของ Emerging market ในช่วง1986-1991
- พวกเจ้าประคุณนักลงทุนไทยก็ช่างโลภมาก ลงแชร์แม่ชม้อย แม่นกแก้ว Charter อยู่ดีๆ ดันย้ายแห่ตามมาลงตลาดหุ้น จนแชร์แม่ๆ ลูกโซ่ขาด ล้มระนาวเดือดร้อนกันไปทั่ว
- ทางการไทยก็ห่วย ดันไปจัดตั้ง กลต. ขึ้นในปี 1992 ทำให้เกิดความคาดหวังว่าระดับมาตรฐานตลาด บรรษัทภิบาล กฎเกณฑ์ต่างๆ จะถูกพัฒนาจนได้มาตรฐานสากล ไอ้พวกฝรั่งเลยเกิดความมั่นใจ แห่ทะลักเพิ่มอีกหลายเท่าทวีคูณ
- ทีนี้ไอ้เงินท่วมโลกพยายามจะเข้าไทยที่เนื้อหอมสุดๆ ทำได้ไม่ค่อยสะดวก เพราะควบคุมจุกจิก รัฐบาลท่านชวน-ธารินทร์ ก็เลยผลิตนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ BIBF ขึ้นในปี1993 นัยว่าเพื่อเป็นไปตามกระแสเปิดเสรี เงินให้กู้ (ส่วนใหญ่ระยะสั้น) ก็เลยไหลทะลักเข้าไทยอย่างล้นหลาม (โดยไม่ต้องพึ่ง QE) ไอ้พวกนายธนาคารระดับโลกโง่ๆ ก็แย่งกันมาให้กู้ จนศิริรวมได้เกือบหนึ่งแสนล้านเหรียญ ในปี1996 (เกือบเท่าGDP ตอนนั้น)
- ไอ้ตลาดหุ้นตัวร้ายก็ดันขยันสุดๆ ระดมทุนให้บริษัทไทยได้มากมาย ตลาดแรกระดมได้ถึงเกือบล้านล้านบาท เลยเกิดเจ้าสัวไทยขึ้นอย่างมากมาย มีการลงทุนทุกหัวระแหง แทนที่จะต้องรอแต่ฝรั่ง ญี่ปุ่น นายแบงค์ ปูนฯ อย่างแต่ก่อน
- ไอ้เตา กับพวกภัทร นั่นแหละตัวดี ดัน underwrite หุ้นออกมาได้ตั้งเกือบ 200,000 ล้านบาท ในช่วง 1987-1996 แถมคุยโม้ว่าทำประโยชน์ ทั้งๆ ที่ไอ้ 500,000 ล้าน นั้น มีค่าเหลือแค่หนึ่งในสามหลังเกิดวิกฤต (ถ้าถามว่าใครมีส่วนร่วมทำให้เกิดวิกฤตบ้าง ผมก็จะยกมือสุดแขน ถามว่ามีส่วนพลาดไหม ยอมรับว่ามาก แต่ถ้าถามว่าทำชั่ว คิดชั่วไหม เถียงกันจนตายก็ไม่ยอมรับ)
- ความจริงในช่วงประมาณ1992-1993 ธปท.เคยเป็นห่วงเรื่องoverheat ของ ศก. ถึงกับออกมาตรการจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อ (สมัยคุณวิจิตร) แต่แป๊บเดียว ก็ถูกนักการเมืองขู่ฟ่อ เพราะทำให้ ศก.ชะลอตัว ไม่เติบโตเท่าที่คุยไว้ ก็เลยรีบถอนมาตรการแทบไม่ทัน เพราะกลัวโดนปลดเหมือนผู้ว่ากำจร สถิรกุล ที่บ้าหลักการไม่รู้จักลู่ลม
- ตลาดหลักทรัพย์ก็กลัวไม่มีสินค้า อนุญาตให้อุตสาหกรรมพื้นฐานเข้าตลาดได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เป็นแค่กระดาษ แผนการเท่านั้น เช่น เหล็ก ทองแดง ฯลฯ พวกนี้เป็น NPL 100% ในภายหลัง
- เศรษฐกิจไทยก็เลยติดเทอร์โบ บูมสุดขีดในช่วง 1987-1995 อัตราเติบโตเฉลี่ยร่วมสิบเปอร์เซนต์ ทุกคนร่าเริงแจ่มใส ชี้นกเป็นเงิน ชี้ไม้เป็นทอง ทำอะไรก็กำไร ได้เงินง่ายๆ
- ความจริงตัวเตือนก็ค่อนข้างชัด current account ของเราติดลบ 7-8% (แปลว่าใช้มากกว่าสร้าง) ต่อเนื่องมาหลายปี แต่ก็ถูก finance ด้วยเงินกู้กับเงินซื้อหุ้นอย่างที่บอกแหละครับ แล้วนัก ศศ.ระดับอาจารย์ ระดับโหรฯ อีกหลายท่านก็ออกมานั่งยัน ยืนยัน นอนยัน ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเราเอามาลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องดี พอผลผลิตออก เราก็จะมั่งคั่ง คืนเขาแล้วยังจะเหลือเยอะ ถึงเวลาพ้นกับดักการพัฒนาเสียที เอ้าเฮ...ลงทุนเข้าไป
- ทีนี้พอครึ่งหลังปี 1996 อาการชักออก ภัทรฯ (โดยคุณธีรพงษ์ วชิรพงษ์) ทำวิเคราะห์ พบว่า บจ.ในตลาดฯ มีถึงกว่า180 บริษัทที่มี EBITDA ต่ำกว่าดอกเบี้ยจ่าย (แปลว่า ดบ.ยังจ่ายไม่ได้เลย อย่าว่าแต่คืนเงินต้น..NPLแหงๆ) รวมแล้วประมาณว่า 32%ของเงินกู้ของ บจ.ทั้งหมดจะเป็น NPL
- สามพวกก็เห็นอาการก่อน คือ ธนาคารต่างประเทศที่ให้กู้ระยะสั้นเริ่มเรียกคืน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเทขายจนหุ้นตกระเนระนาดตั้งแต่ต้นปี 96 แล้วพวกนกแร้ง (Hedgefund) ก็เข้าโจมตีค่าเงินเป็นระลอก ตั้งแต่ปลายปี 96 สถาบันการเงินเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง คนขาดความมั่นใจ
- เช่นทุกครั้งที่เริ่มเกิดวิกฤต เราจะต้องตั้งสมมุติฐานก่อนว่าเป็นวิกฤตสภาพคล่อง (liquidity crisis) วิกฤตความมั่นใจ เลยต้องแก้โดยการอัดเงินสู้ เรียกร้องให้มั่นใจ ซึ่งก็เลยเรียกร้องได้แต่คนไทย ฝรั่งเขาไม่มั่นใจด้วย เช่น มี Economist ชั้นยอดของ CLSA วิเคราะห์ว่า ไทยไปไม่รอดแน่ เราก็ส่งสันติบาลเข้าค้นบ้านเขา จะเนรเทศเขา จนเขาต้องเผ่น แล้วก็เลยโด่งดังระดับโลกในเวลาต่อมา พอ The Economist ดันขึ้นหน้าปกว่า The Fall of Thailand เราก็ห้ามขายในประเทศ (นี่แหละครับผมถึงสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กล้าวิพากษ์ วิจารณ์ผู้มีอำนาจ กลัวถูกเนรเทศน่ะ บ้านก็เพิ่งสร้างเสร็จ แม่ก็อายุ 90 แล้ว)
- แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงมันเป็นวิกฤตการดำรงอยู่ solvency crisis (เรียกง่ายๆ ว่า เจ๊งอย่างกว้างขวาง แหละครับ) ถึงเวลาเงินก็หมดหน้าตัก ความมั่นใจหลอกๆ ก็สร้างไม่ได้อีกต่อไป เอวังก็เกิดในวันที่ 2 กรกฎาคม2540 ไงครับ
ถามว่า แล้วอะไรมันผิดไปวะ ทำไมนัก ศศ. ชั้นครูทั้งหลาย ที่ ธปท. รวมทั้ง ท่านโหร ศก.ทั้งหลายจึงดูไม่ออก
ผมยกให้ Fixed Foreign Exchange Rate เป็นผู้ร้ายอันดับหนึ่งของหนังเรื่องนี้ พอเราเปิดเสรีให้เงินไหลเข้ามาทุกทาง แต่ไม่เปิดเสรีค่าเงิน มันก็เลยบิดเบี้ยว Inflation ก็ไม่สูง เพราะพวก tradable goods ราคาไปตามตลาดโลก แต่เหมือนลูกโป่งแหละครับ พออัดเงินเข้า ราคาของ non-tradables ก็เกิดฟองสบู่ (ได้แก่พวกอสังหา ค้าปลีก โรงพยาบาล infrastructure ฯลฯ) ก็เลยกำไรมาก การลงทุนภาคนี้พุ่ง โดยใช้เงินกู้ระยะสั้นจากตปท.มาลงระยะยาวในกิจการที่ไม่มีรายได้ต่างประเทศ อุปสงค์แท้จริงก็ไม่มี ลงทุนไปเยอะ แต่ output ไม่เพิ่ม มันก็เลยเจ๊งไม่เป็นท่าอย่างที่เห็น ผมยังนึกขอบคุณคุณพี่ Soros อยู่เลย ถ้าท่านไม่มาเราอาจจะยื้อได้อีกพัก แต่สุดท้ายก็แป๊กอยู่ดี และจะเจ็บใหญ่ เจ็บหนักกว่านี้ แน่นอน (นี่คือประโยชน์แท้จริงของ hedgefund คือช่วยตรวจ ช่วยปรับความผิดปกติในระบบ ศก.)
ที่เขาว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ที่เกิดอย่างโด่งดังเริ่มที่เราแล้วเป็นโรคระบาดไปทั่ว เกาหลี มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ ติดโรคไปหมด จริงๆ แล้วไม่ใช่โรคระบาดหรอกครับ มันกินของแสลงเหมือนๆ กัน คือไอ้ fixed Exchange Rate นี่แหละครับ มันเลย "อาหารเป็นพิษ" ไปทั่ว
เห็นไหมครับ การไปบิดเบือนกลไกตลาดในบางครั้ง แม้จะทำโดยเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์ ก็สามารถทำให้เกิดผลร้ายได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ผมก็ได้แต่หวังว่าการบิดเบือนตลาดข้าวครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้จะไม่ก่อปัญหาวิกฤตร้ายแรงใดๆ ท่านน่าจะเก่งกาจสุดยอดจน "เอาอยู่" ทั้งควบคุมตลาดโลกได้ ลดรั่วไหล สร้างประสิทธิภาพ (อ้าว...ไอ้เตา แวะไปอีกแล้ะ...เดี๋ยวโดนเนรเทศหรอก*คุณ*)
วันนี้ฝอยยาวมากกก....ตั้งแต่ 7 โมงเช้ายันสิบโมง ยังไม่ได้ว่าถึงกระบวนการแก้ปัญหาและบทเรียนเลย ต้องยกยอดวันหน้าอีกแล้ว แค่ควานหาคนผิดก็ปาเข้าไปครึ่งโลก นี่ถ้าจับเข้าคุก ยึดทรัพย์ได้หมด ก็คงคุกเต็ม ทรัพย์ล้นคลัง ไม่ต้องกู้ 2 ล้านๆ ดันไปไล่เอาจากคุณเริงชัยคนเดียว เลยไม่ได้อะไร เพราะท่านไม่มี ไม่เคยโกง
ไปทำงานละ ไม่รู้ว่าโดนไล่ออกจากงาน กับโดนเนรเทศนี่ อย่างไหนจะเกิดก่อนกัน
มหากาพย์ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ตอน 2 ... (เล่าเมื่อ 4 กค. 2556)
---------------------------------------------------------------
เมื่อวานซืนบทความ "16 ปีแห่งความหลัง" มีคนกดไลค์ กดแชร์ เกินพันเป็นครั้งแรกของบทความผม เป็นกำลังใจให้เล่าตอนต่อ เพื่อไม่ให้นานเกินรอ
กระบวนการแก้ไขและผลภายหลังของวิกฤติ ส่วนใหญ่เป็นที่รับรู้ และมีการวิเคราะห์วิจัย หาอ่านได้เยอะแยะทั่วไป ที่จะเล่าจะเป็นส่วนที่ผมเกี่ยวข้องได้รู้ได้เห็น (บางเรื่องเป็น inside) คนอื่นไม่ค่อยได้เน้น และเป็นในมุมมองของผมเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะพาดพิงถึงใครโดยไม่เหมาะสมบ้างก็ขอกราบขออภัย และท้วงติงด่าทอกลับมาได้ (อย่าถึงกับฟ้องร้องเลย)
ตอนที่แล้วเล่าถึงสาเหตุ ความผิดพลาดที่คนครึ่งโลก รวมทั้งคนไทยครึ่งประเทศมีส่วนร่วม ทำให้เกิดวิกฤต จนถึง 2 กค.40 และผมยกให้ Exchange Rate Policy เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายที่มีจุดประสงค์ที่ดี ทำให้เกิดผลดีในระยะหนึ่ง แต่นานไปก็ก่อให้เกิดการบิดเบือนในภาคส่วนต่างๆ
มีหลายท่านพยายามอธิบายว่าเป็นแผนการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจที่ไอ้พวกต่างชาติทั้งโลกมันร่วมกันวางแผนเอาเงินมาหลอกให้เรากู้ เอาเข้ามาแกล้งซื้อหุ้น แล้วขยิบตาพร้อมกันกระชากออก เสร็จแล้วก็ส่ง IMF เข้ามาทำทีเป็นช่วย แต่กลับบังคับให้เลวลงอีก ออกกฎหมายขายชาติ แล้วพวกมันก็เข้ามากวาดซื้อของดีๆ ในราคาถูกๆ
โอ้โห....ฟังดูเสมือนหนึ่งไอ้พวกต่างชาติมันมีคนเดียว แก๊งเดียว Godfather คนเดียวสั่งได้หมด ทั้ง Bank ไอ้กัน ยุโรป ญี่ปุ่น ออสซี่ กว่าร้อยแห่ง ประชุมร่วมวางแผนอย่างพร้อมเพรียง ร่วมกับกองทุนหุ้นอีกหลายร้อย แถมปฏิบัติการกว้างขวาง ในไทย เกาหลี มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ ฯลฯ
ผมขอบอกว่าทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) อย่างนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นได้แค่เพียงพล็อตหนังที่ถ้าเป็นจริงเอาพ่อของเจมส์ บอนด์ 007 มาก็คงปราบไม่ได้
ในความเป็นจริงพวกแบงค์ นักลงทุน ทั่วโลกเสียหายรวมกันกว่าล้านล้านเหรียญ ไอ้พวกแร้งลง เช่น hedgefund, distressed fund (ซึ่งเป็นคนละพวก) ที่ตามมา ถ้าได้กำไรก็เป็นแค่หลักพัน หลักหมื่น นายแบงค์ fund manager เพื่อนเก่าผมถูกไล่ออกตกงานกันเป็นแถว
อ่านถึงตอนนี้ ใครที่ยังปักใจเชื่อทฤษฎีที่ว่า น่าจะเลิกอ่านต่อได้นะครับ เดี๋ยวจะหงุดหงิดเสียเปล่าๆ
แวะไปทะเลาะกับคนเขาแล้ว ขอกลับมาสู่เหตุการณ์สำคัญๆ หลัง 2 กค.40
- ภาวะตื่นตระหนกเกิดขึ้นทั่วทั้งระบบ ค่าเงินลดฮวบ ต่ำกว่า 35 บาทต่อเหรียญใน 1 เดือน และมีทีท่าไหลลงต่อเนื่อง คนเริ่มถอนเงินฝาก โดยเฉพาะจากสถาบันการเงินขนาดเล็ก การค้าการเงินชะงักงันไปทั่ว
- วันอังคารที่ 5 สค. 40 ครม.มีมติให้รัฐเข้าคุ้มครองรับประกันเงินฝากในสถาบันการเงินทุกแห่ง ตรงนี้มีเกร็ดเล่านิดหนึ่ง วันศุกร์ก่อนหน้าท่านนายกฯ (บิ๊กจิ๋ว) ให้สัมภาษณ์ว่าจะประกันเงินฝาก ผมกับ ดร.ศุภวุฒิ เลยขอเข้าพบ ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าธปท.ที่เพิ่งเข้ามาแทนคุณเริงชัย มะกะรานนท์ ที่ถูกบีบให้ลาออกไป เพื่อวิเคราะห์ให้ท่านเห็นถึงต้นทุนของรัฐถ้าค้ำประกัน โดยคำนวณให้ท่านดูว่าถ้า NPL ทั้งระบบขึ้นไปถึง 35% ความเสียหายที่รัฐต้องรับจะประมาณ 700,000 ล้านบาท และสถาบันการเงินทุกแห่งต้องตกเป็นของรัฐ เพราะเจ๊งเรียบ
(ในความเป็นจริง เราคาดผิดครับ เพราะ NPLปาเข้าไป 45% ความเสียหายเลยเป็น 1.4 ล้านๆ ที่ยังเหลืออยู่ในกองทุนฟื้นฟูวันนี้ถึง 1.1 ล้านๆ ไม่รวมดอกเบี้ย 16 ปีที่รัฐช่วยจ่ายไงครับ) ส่วนสถาบันการเงินที่ไม่เจ๊งหมดต้องยกให้เป็นความฉลาดของรัฐ ธปท. IMF บวกกับความเฮงอีกนิดหน่อย ...ถ้าไม่กลัวยาวเกิน จะเล่าให้ฟังครับ)
ท่านผู้ว่าฟังแล้วถึงกับอึ้งไป แล้วบอกสั้นๆ ว่า สงสัยต้องว่าไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ปัญหาเอา วันรุ่งขึ้นก็มีมติ ครม.ดังกล่าว ความจริงมามองย้อนหลังผมเห็นด้วยว่าต้องค้ำ เพราะไม่อย่างนั้นสถานการณ์จะโกลาหลเอาไม่อยู่ และถ้าเริ่มมี deposit fligth ออกจากประเทศ ต้องไปตามพ่อ IMF มาด้วย เหมือนกรีซแหละครับ แล้วเราก็เห็นว่าประเทศพัฒนาแล้วทุกแห่งก็ทำเหมือนกัน ตอนเกิดวิกฤติโลกปี 2008
- ในวันเดียวกัน (5 สค.) มีการระงับการดำเนินการของบริษัทเงินทุนอีก 42 แห่ง รวมของเดิมเป็น 58 แห่ง
- แล้วรัฐบาลไทยก็ตกลงเข้ารับการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยลงนามใน Letter of Intent (LOI) ฉบับที่1 เมื่อ14 สค. 40 เพื่อรับวงเงินช่วยเหลือ 17.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งผมขอยืนยันว่า IMF เป็นอัศวิน เป็นพระเอกตัวจริงคนหนึ่ง (มีหลายคนเหมือนคุณชายวังบางขุนพรหม เอ๊ย จุฑาเทพ) ที่มาช่วยให้ไทยตั้งหลักเดินหน้าได้อีก ไม่ได้เป็นผู้ร้าย***เหมือนบางคนป้ายสี ถึงแม้บางครั้งพระเอกอาจพลั้งเผลอ ซุ่มซ่าม ขัดขา หรือเอาศอกกระทุ้งหน้านางเอกอย่างไม่ตั้งใจบ้าง แต่โดยรวม ถ้าไม่มี IMF นางเอกยับเยินกว่านี้แน่นอน (ไว้แล้วจะอธิบายภายหลังนะครับ)
- ดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ แถมประเทศอื่นๆ ก็เป็นโรคลุกลามไปทั่ว เราเลยยิ่งทรุด เพราะกลัวว่าถ้า 17.2 ไม่พอ คุณพี่ IMF คงไม่เหลือกำลังเพิ่มให้เท่าไหร่ คนก็เลยไม่เชื่อ
- 22 ตค.40 ออก พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน เพื่อจัดการกับ บง. 58 แห่งที่ถูกพักการดำเนินการ
- ดร.ทนง พิทยะ รมต.คลัง ลาออก 24 ตค. ปรับ ครม. ดึง ดร.โกร่ง (วีรพงษ์ รามางกูร) เป็น รองนายกฯ อ.โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เป็นรมต.คลัง
- 6 พย. 40 โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ท่ามกลางความงงงวยของทุกฝ่าย พล อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากการเป็นนายกฯ ตรงนี้มีเกร็ดนิดหนึ่ง ก่อนหน้านั้น วันอาทิตย์ที่ 19 ตค.มีผู้ใหญ่ตามผม กับ อจ.เปี๋ยม ไปพบบิ๊กจิ๋วที่ทำเนียบตอน 7 โมงเช้า เพื่อสรุปสถานะการ ศก. โดยมี รมต.เสนาะ รมต.โภคิน มรว.ปรีดิยาธร ร่วมอยู่ด้วย ผมจำได้ว่าท่านถึงกับอึ้ง แถมมาตรการต่างๆ ก็เป็นเรื่อง "กัดลูกปืน" (bite the bullets) อย่างรุนแรงขนาดเลือดกลบปากทั้งนั้น
ผมยังจำได้ว่า ป๋าเสนาะ ซึ่งนั่งตรวจรายชื่อโยกย้ายของมหาดไทยเป็นส่วนใหญ่ ถึงกับเงยหน้ามาพูดว่า "อย่างนี้มันก็ชิบหายจริงๆสิ ไม่ใช่ไอ้ฝ่ายค้านสร้างเรื่อง" หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ ท่านก็ลาออก ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่อันดับสองที่ท่านทำให้กับประเทศไทย (อันดับ1 คือนโยบาย 66/2523 ที่ทำให้ยุตติสงครามก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศ) จริงๆ แล้วท่ายังทำประโยชน์อื่นอีกแยะนะครับ
- ระหว่างที่น้าชาติเตรียมตัวกลับมาเป็นนายกฯ อีกที ก็เกิดกรณีงูเห่า (ฝีมือเสธฯ หนั่น) ทำให้คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ เมื่อ 14 พย. 40 มีคุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็น รมต.คลัง (พระเอกของผมโผล่เข้าฉากอีก 2 คน)
- 8 ธค. 40 คณะกรรมการ ปรส. มีมติให้ปิดถาวรสถาบันการเงิน 56 แห่ง ให้เปิดดำเนินการต่อได้เพียง 2 แห่ง คือ บางกอกอินเวสเม้นท์ ที่ยักษ์ใหญ่ AIA เข้าอุ้ม กับ บงล. เกียรตินาคิน. ที่เสนอแผนดีเสียจนปฏิเสธไม่ได้ (โดยมี ภัทรฯ เป็นที่ปรึกษา... ขอโม้หน่อยนะครับ) นัยว่าเป็นไปตามคำแนะนำของ IMF ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันจนปัจจุบันว่าถูกต้องหรือเปล่า
ในความเห็นผม พบว่าในภายหลัง NPL ของบง.เหล่านี้ สูงถึงกว่า70% และแม้สถาบันการเงินอื่นที่ไม่ได้ถูกปิดตอนนั้น เช่น ธนาคารหลายแห่ง ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ต้องให้รัฐเข้ายึด รวมทั้ง บงล.ภัทรธนกิจ ที่ผมย้ายไปเป็น CEO ก็ยังต้องปิดตัวเองลงในปี 2542 (เรียกว่าเจ๊งคามือแหละครับ....รายละเอียดเรื่องนี้ถ้ามีคนอยากรู้บอกมาเยอะๆ จะเล่าให้ฟังวันหน้านะครับ) ดังนั้น เรื่องปิดสถาบันการเงินนี้ ผมมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
- สถานการณ์เริ่มเข้าสู่เสถียรภาพ แต่ค่าเงินยังไหลลงเรื่อยๆ จนต่ำสุดที่ 55.3 บาทต่อเหรียญช่วงต้นปี 41 ก่อนจะเริ่มปรับเข้าสู่ดุลยภาพที่ประมาณ 40 บาทต่อเหรียญช่วง พค.และอยู่แถวนั้นอีกหลายปี
- พค. 40 หม่อมเต่า (มรว.จัตตุมงคล โสณะกุล) พระเอกคนที่ 4 ของผม ก็ข้ามห้วยจากคลัง มานั่งผู้ว่า ธปท. ผมว่าท่านได้ทำประโยชน์ใหญ่ๆ ในเรื่องนี้ 3 อย่าง (ในความเห็นผม) คือกู้ศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของ ธปท.กลับมา ร่วมกับคุณธารินทร์ทำให้สถาบันการเงินมีเสถียรภาพขึ้นไม่ต้องถูกยึดให้เป็นของรัฐทั้งหมด และได้นำระบบ Inflation Targetting มาใช้เป็นแกนของนโยบายการเงินจนทุกวันนี้ (ซึ่งทำให้รัฐบาลปัจจุบัน รวมทั้งพี่โกร่ง หงุดหงิดอยู่ไงครับ) ส่วนเรื่องที่ท่านเจ้าคิด เจ้าแค้น อาละวาดจะจับคนเข้าคุกให้หมด ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่ผมลืมๆ แล้ว (คนไม่ลืมน่าจะมีเยอะนะครับ)
วันนี้เห็นจะต้องแค่นี้ก่อนครับ พรุ่งนี้จะว่าถึงกระบวนการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง เช่น เรื่องระบบการเงิน การขายสินทรัพย์ ปรส. การงบประมาณ กฎหมายขายชาติ นโยบายดอกเบี้ย ฯลฯ แล้วจึงจะสรุปบทเรียน หวังว่าน่าจะไม่เกินอีกสองตอน จะพยายามให้จบในสุดสัปดาห์นี้ ก่อนคุณชายจุฑาเทพจะจบนะครับ
"ต้มยำกุ้ง ภาค 3" ..... หนังที่จา พนม ไม่ได้ร่วมแสดง
ลงโรงเมื่อ...6 กค. 2556
เมื่อวานซืนฉายตอนสอง คนมาshare มา like เหลือ 600 จากตอนแรก 1,400 แต่คิดดูยังน่าคุ้มทุน เลยตัดสินใจถ่ายทำภาค 3 (ถ้าลดต่ำกว่า 500 ก็คงต้องลาโรง เดี๋ยวเจ๊งเหมือนหนังท่านมุ้ย)
ตอนนี้น่าจะวิชาการหน่อยนะครับ เพราะจะว่าถึงกระบวนการแก้ปัญหาของเหล่าพระเอกทั้งหลายที่มาร่วมชุมนุมกัน ใช้เวลาร่วม 2 ปีกว่าจะตั้งหลักเดินได้อีก
ผมและ ดร.ศุภวุฒิ ค่อนข้างโชคดีที่มีโอกาสรับรู้ค่อนข้างใกล้ชิดในระดับริงไซด์ (ไม่ได้เพื่อเอาอินไซด์ไปหาประโยชน์อะไรนะ...ดักคอพวกจิตอกุศลไว้ก่อน) เพราะเราทำวิเคราะห์ วิจัยไว้เยอะ ตั้งแต่ก่อนวิกฤต มีข้อมูลที่ทางการไม่มีอยู่เยอะ แค่ปลายปี 96 เราก็ค่อนข้างฟันธงว่าประเทศไทยน่าจะกำลังเดินหน้าเข้าสู่วิกฤติการเงิน ถึงจะมีความหวังบ้างว่าอาจจะมี soft landing (คำเพราะ ที่ไม่เคยเห็นมีใครทำได้สำเร็จ....รอดูจีนละกัน) แต่ก็ดูริบหรี่ เพราะการกัดลูกปืน (bite the bullets) ก่อนเกิดฉิบหายไม่เป็นที่นิยมของชาวประชา ไม่เคยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไหนทำได้ (จีนถึงมีหวังไง)
ฝ่ายวิจัยของภัทรฯ ทำเปเปอร์เรื่องนี้ไว้เยอะตั้งแต่ปลายปี 96 อ.เปี๋ยมถึงกับแวะไป World Bank ที่ DC เพื่อหาข้อมูลบทเรียนของวิกฤติที่เกิดก่อนเรา เช่น Mexico Sweden เราค่อนข้างมั่นใจว่าค่าเงินเอาไม่อยู่ แล้วสถาบันการเงินก็จะต้องมีปัญหาแน่ (ตอนที่แล้วเล่าถึงงานวิเคราะห์ของ คุณธีรพงศ์ วชิรพงษ์ แล้ว )
น่าเสียดายที่เราตัดสินใจไม่เผยแพร่บทความอย่างกว้างขวาง เพราะกลัวว่าท่านๆ จะหาว่ามาทำลายความมั่นใจของมหาชนที่พวกท่านกำลังสร้างกันอยู่ แล้วพอเกิดวิกฤติก็คงถูกใส่เกลียวเขาให้เป็นแพะ เป็นตัวการ ถูกรุมกระทืบตามธรรมเนียมสังคมไทย เหมือนพวกวิจารณ์เรื่องข้าวเน่า ข้าวเสีย ที่ทำให้ข้าวไทยขายไม่ออกไง (อ้าว...แวะไปอีกและ ไอ้เตา)
เราได้เอาเปเปอร์ของเราไปนำเสนอให้กับลูกค้าสำคัญหลายคน รวมทั้งทางการ ทั้งคลัง ทั้งแบงค์ชาติ ซึ่งบ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ เพราะคนอื่นๆ โหร ศก.ที่มีชื่อเสียงสุดยอด ท่านก็ต่างยืนยันว่าไม่น่าห่วง เรายังโชติช่วงอยู่ โดยเฉพาะทางการประสานเสียงเดียวกันว่า "รู้แล้ว กำลังแก้อยู่ พวกมึงหุบปากได้ไหม อย่าโวยวายไป"
สำหรับลูกค้าที่เชื่อเราก็ปิด position เงินกู้ ตปท. หรืออาจสร้าง position ตรงข้ามบ้าง ทำให้ไม่เจ็บหนัก แก้ไม่ยากภายหลัง และแน่นอน เราต้องเสนอต่อ บ.ชินคอร์ป ซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญที่สุดรายหนึ่งตลอดมา
ดร.ทักษิณ ท่านเห็นด้วยกับงานวิเคราะห์ของเรา ทำให้ไม่มีความเสียหายจากค่าเงินเลย ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าท่านได้อินไซด์จาก ดร.ทนง ก่อนลดค่าเงิน ไม่น่าจะมีมูลความจริง เพราะท่าน clear positionตั้งแต่ต้นปีก่อนวิกฤติตั้งนาน ท่านเชื่อเราต่างหาก
ที่น่าเจ็บใจ น่าเขกกระบาลสุดแรงก็คือตัวเราเอง ทำเป็นแสนรู้ขนาดนี้ ปิด position เงินกู้ ตปท. แต่เราก็ยังคาดการณ์ความรุนแรงของวิกฤติผิดไปเยอะ เพราะ บงล.ภัทรธนกิจ ทำเพียงแค่หยุดการเติบโต ผมไม่สามารถ convince ให้หดตัวอย่างรวดเร็วรุนแรงได้ เราถึงต้องปิดตัวเองลงในปลายปี 42 (ยื้อต่อได้แค่ 2 ปีเศษ)
พอเกิดวิกฤติ เราก็เลยได้มีโอกาสร่วมให้ข้อมูลความเห็นกับทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ได้พบพูดคุยกับ ทีม IMF, World Bank, ADB
คุณ Kerrigan (อดีตประธาน FED NY ที่ปรึกษาคุณธารินทร์) แม้กระทั่ง Krugman ผู้โด่งดังจากวิกฤตินี้ แวะมาเมืองไทย ก็ยังแวะคุยกับเรา ส่วนทางการเราก็ได้ร่วมให้ข้อมูลรวมทั้งเสนอมาตรการต่างๆ ที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์ ทั้งที่ถามมา หรือเราเสนอหน้าเอง(ก็รักชาติ อยากช่วยชาตินี่ครับ) ส่วนใหญ่ก็เป็น ดร.ศุภวุฒิ แหละครับ ผมคอยติดตามเพราะสอดรู้สอดเห็น และขอยืนยันว่าเราไม่เคยได้รับข้อมูลที่ไม่สมควรเป็นการตอบแทนใดๆ เลย
เล่าเบื้องหลังการถ่ายทำเสียยืดยาวขอกลับเข้าสู่ฉากหลักครับ
พอเปลี่ยนรัฐบาลเพราะแกงค์งูเห่าลงนาม LOI ฉบับที่ 2 เมื่อ 25 พย.40 ทาง IMF ก็ส่งทีม rescue นำโดยพระเอกหัวเกรียน Hubert Neiss มาประจำประเทศไทย ร่วมกับรัฐแก้ปัญหา ซึ่งแน่นอนที่สุด ระยะแรกจะต้องหยุดยั้งความระส่ำระสาย สร้างเสถียรภาพให้เกิดให้ได้ โดยเฉพาะระบบการเงิน ซึ่งเป็นทั้งต้นเหตุ และเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจอยู่
วิกฤตครั้งนั้นเป็นวิกฤตภาคเอกชนซึ่งกู้หนี้ยืมสินระยะสั้นจาก ตปท.มาลงทุน แล้วไม่มีผลผลิตออกมาให้คุ้มกับที่ลง พอเขาขอเงินคืนก็เลยคว่ำ (ไม่เหมือนภาครัฐนะครับ เจ๊งแค่ไหนก็ยื้อต่อได้ เช่น Airport Link, Elite Card เงินภาษีซะอย่าง. ไอ้เตา...ไปอีกละ กลับม้าาา)
ทีนี้พอลดค่าเงินก็เลยเจ๊งลึกใหญ่ เพราะกู้เขามา 100,000 ล้านเหรียญ ตอนกู้ได้บาท 2.5 ล้านๆ แต่พอเขาขอคืนที่ 50 บาทต่อเหรียญ ต้องคืน 5 ล้านๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องชักดาบ ไม่มีคืน ถ้าเป็นเอกชนก็พักหนี้ เจรจากันไป แต่ถ้าเป็นสถาบันการเงินเบี้ยวไม่ได้ ระบบล่ม รัฐจึงต้องเข้าช่วย เข้าค้ำ ต่อท่ออัดเงินเข้าไปตลอด เงินสำรองก็***น เลยต้องไปแปะ IMF ไงครับ (มาเลย์โชคดี ที่คว่ำโดยยังไม่โดนโจมตี ไม่ทันได้สู้ สำรองไม่ร่อยหรอ คุณพี่มหาเด่ย์ เลยทำเท่ห์ได้ ไม่ต้องพึ่ง แถมด่า IMF ทุกวัน ใช้ ้Capital Control แก้ปัญหาแทน แถมโชคดีน้ำมันขึ้น เลยฟื้นเร็ว ขืนเราทำตาม เละหยังเขียดแน่ ไม่รู้ป่านนี้ฟื้นหรือยัง)
ถึงจะทำงานกันอย่างหนัก แต่กว่าจะสร้างเสถียรภาพได้ก็ล่วงไปไตรมาส ๒ ปี 41 ค่าเงินเริ่มขึ้นจาก 55 บาทต่อเหรียญ มาอยู่แถวสี่สิบต้นๆ แล้วก็เริ่มดุลยภาพแถวนั้น ไม่ผันผวนมากอีกร่วมสิบปี ก่อนจะค่อยๆ แข็งขึ้นมาให้ผู้ส่งออกที่ไม่เคยคิดจะปรับปรุงผลิตภาพร้องโอ๊กอยู่ทุกวันนี้.
จากนี้จะขอเล่าการแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไม่เล่าตาม time line แล้วนะครับ
เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด คือเรื่องระบบสถาบันการเงิน ตอนเกิดวิกฤต มีเงินให้กู้ทั้งระบบอยู่ประมาณ 6 ล้านๆบาท ซึ่งโดยเฉลี่ย สถาบันการเงินจะมีเงินกองทุนอยู่ประมาณ 12% คือ 700,000 ล้าน สุดท้าย NPL เราไปหยุดที่เฉลี่ย 45% คือ 2.7 ล้านๆ บาท
โดยทั่วไปในวิกฤติเศรษฐกิจ NPL recovery rate อย่างเก่งก็ได้ 55% อย่างสวีเดน ส่วนเม็กซิโกได้แค่สี่สิบกว่าๆเอง คือจะเสียหายครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือ 1.35 ล้านๆ ซึ่งมากกว่าเงินกองทุนอยู่ 650,000 ล้าน ซึ่งโดยหลักรัฐที่เป็นผู้ค้ำ้ประกันเงินฝากและหนี้สินจะต้องรับภาระส่วนนี้ (นี่ประเมินคร่าวๆ นะครับ เพราะจริงๆ รัฐเสียหายรวมจากการแก้ปัญหาสถาบันการเงิน 1.4 ล้านๆ บาทจากกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่รวมดอกเบี้ย อาจได้คืนบ้างจากทรัพย์สินที่มีอยู่ ..ธปท.น่าจะประกาศบ้างเป็นระยะนะครับ เหมือนที่เรียกร้องให้เค้าประกาศเรื่องข้าวน่ะครับ) และไม่มีสถาบันการเงินไทยไหนเลยที่มี NPL ต่ำกว่า 40% และมีเงินกองทุนเกิน 15%
สรุปได้ว่า ทุกแห่งมีเงินทุนติดลบ ซึ่งแปลว่าในที่สุดจะเจ๊งเรียบ รัฐซึ่งเป็นผู้ค้ำจะต้องเข้ายึดเป็นของรัฐหมด
เรื่องความเสียหายเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่จะต้องมีระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพเพื่อหล่อเลี้ยงระบบ ศก.สำคัญกว่า และถ้าทุกธนาคารเป็นของรัฐทั้งหมด ลองนึกภาพว่าเรามีแต่ธนาคารอิสลาม ธนาคาร SMEs อาคารสงเคราะห์ ออมสิน สิครับ
มันเป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วว่าถ้ารัฐทำไม่ห่วย ก็เ-ี้ย หรือของขาด ทีนี้เลยเป็นโจทย์ใหญ่แสนยากของคลัง ธปท. และ IMF ว่าทำอย่างไรจึงจะให้ระบบคงอยู่ และยังเป็นของเอกชนในสัดส่วนที่สูง โดยที่จะต้องไม่เข้าไปอุ้มผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารอย่างไม่สมควร ซึ่งพระเอกของเราทำได้สำเร็จ เป็นเรื่องของฝีมือ เก่ง บวกด้วยเฮง ด้วยอีกนิดหน่อย ขอขยายให้ฟัง
- ขั้นแรกถึงจะเจ๊งหมด ก็ต้องแกล้งบอกว่ายังไม่เจ๊งก่อน เพราะไหนๆ รัฐก็ค้ำแล้ว วิธีการก็คือ แทนที่จะให้บันทึกความเสียหายทั้งหมดในคราวเดียว ก็ยอมว่าถ้าหนี้ค้างยังไม่ถึง 12 เดือน ก็ถือว่ายังไม่เสียมาก (แค่ตุๆ) ไม่ต้องตั้งสำรองเต็มที่ แถมการตั้งสำรองก็ให้เวลาตั้งสามปี ห้าปี มาตรฐาน BIS ยกเว้นให้ก่อน ซึ่งเป็นการซื้อเวลาให้ไปแก้คุณภาพสินทรัพย์ทางหนึ่ง กับให้ไปหาเงินมาเพิ่มทุนที่ติดลบอีกทางหนึ่ง (ดูเผินๆ คล้ายโครงการจำนำข้าวที่บอกว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน เพียงแต่วัตถุประสงค์ ความโปร่งใส ชัดเจนกว่าเยอะ)
- กระนั้นก็ตาม ถ้าธนาคารไหนไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากเงินและผู้ให้กู้ได้ ต้องใช้เงินช่วยที่ ธปท.ต่อท่อให้เกินระดับจนทำให้ท่อแทบแตก รัฐก็จะเข้าควบคุมและยึดเป็นของรัฐ รวมทั้งหลังจากให้เวลาแล้วถ้าใครยังแก้ไขเงินกองทุนไม่ได้ก็ถูกยึด ถูกยุบ ถูกรวม เหมือนกัน จึงจะเห็นได้ว่า ในที่สุดกว่าครึ่งก็ค่อยๆ เดินพาเหรดมามอบตัวเป็นของรัฐ เช่น ธ.ศรีนคร นครหลวงไทย นครธน มหานคร แหลมทอง สหธนาคาร รัตนสิน กรุงเทพพาณิชย์ ฯลฯ เป็นเครื่องยืนยันว่าเงินกองทุนติดลบจนเกินกว่ามูลค่าของ license หรือ franchise value ใดๆ (เดี๋ยวนี้มีค่าเป็นหมื่นล้านบาท) เลยไม่มีใครใส่ทุนให้
- ทีนี้ก็มีเรื่องโชคช่วยบ้าง ปลายไตรมาสแรกของปี 41 ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวคึกคักขึ้นมาเพราะนักลงทุนเริ่มมั่นใจในแนวทางแก้ไข และเห็นเสถียรภาพเริ่มกลับมา ธนาคารกสิกรไทยก็ริเริ่มรีบออกหุ้นเพิ่มทุน (ซึ่งที่ทำได้เร็วก็เพราะที่ปรึกษาเก่งอ่ะ คือ ภัทร กับ Goldman Sachs)
ผมยังจำได้ถึงความยากลำบากในการขายหุ้นครั้งนั้นเพราะเป็นการขายหุ้นแรกจากประเทศที่เกิดวิกฤติ ผมร่วมเดินทางรอบโลกไป Roadshow (อ้อนวอนให้เขาซื้อ) กับคุณปั้น(คุณบัณฑูรย์ ล่ำซำ) ไปจนค่อนโลกแล้วยังไม่มีใครยอมจองเลย แถม ธ.กรุงเทพฯ รีบประกาศ ทำบ้าง กว่าจะขายได้หมดเลือดตาแทบกระเด็น น้ำลายแห้งเหือดไปหลายเดือน meeting หลายร้อยครั้ง (ลองนึกถึงคุณปั้นที่ต้องพูดมากกว่าผมอีก 5 เท่า แถมเป็นคนไม่พูดมาก ขนาดผมชอบพล่ามทั้งวันยังเสร็จเลย) การขายหุ้นธนาคาร กสิกรไทย จำนวน 376 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 88 บาทได้เงิน 33,088 ล้านบาท (ตัวเลขพวกนี้จำได้ขึ้นใจไม่ต้องค้นเลยครับ ผมเชื่อว่าคุณปั้นก็จำได้เหมือนกัน) ตามด้วยการขายหุ้นแบงค์กรุงเทพ อีก 43,000 ล้านในเดือนถัดมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิกฤติ แล้วหลังจากนั้นตลาดหุ้นก็รูดม่านปิดสนิทอีกเป็นปี กว่าจะมีใครขายหุ้นได้อีก
- ส่วนธนาคารที่เหลือที่ตกรถไฟก็มีอาการพะงาบๆ ต่ออีกพัก จนรัฐต้องออกมาตรการ 14 สค. 2541 เพื่อช่วยเพิ่มทุนให้ แบบวัดครึ่งกรรมการครึ่ง แต่กว่าจะเพิ่มได้จริงก็ข้ามปี เช่น ไทยพาณิชย์ ที่มี คุณชุมพล ณ ลำเลียง (พระเอกคนที่ 5) เข้ามาช่วยฟื้นฟู หลังจากที่ท่านเอาปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งก็เซแซ่ดไปเหมือนกัน ตั้งหลักได้ดีแล้ว ก็เพิ่มทุนทีเดียว 65,000 ล้าน ในเดือน พค.42 แต่ก็เลยมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด จนกระทั่งทรัพย์สินฯ ต้องเอาที่ดินโรงพยาบาลรามาธิบดีไปแลกกลับมาในภายหลัง ธนาคารอื่น เช่น ทหารไทย กรุงศรี ก็ทะยอยเพิ่มทุนได้ จนระบบเริ่มมีเสถียรภาพ โดยยังคงมีธนาคารเอกชนเป็นหลักอยู่สี่ห้าแห่ง
- แต่อย่างไรก็ดี ระบบธนาคารก็ยังคงไม่ยอมขยายตัว มัวแต่ซ่อมแซม แต่งตัว เข็ดขี้อ่อน ขี้แก่ ทำให้ ศก.ไม่ค่อยขยาย ตัวจนกระทั่งสมัยรัฐบาลท่านทักษิ ที่ใช้ธนาคารกรุงไทยที่มี คุณวิโรจน์ นวลแข เข้ามาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวแบบไอเวนโฮ (ถ้าใครจำโฆษณาได้) ลุยปล่อยสินเชื่อนำร่องจนทุกแบงค์ต้องลุกออกมาจากกระดองเพื่อแข่งขันบ้าง
วันนี้ว่าเรื่องแก้สถาบันการเงินแค่ฉากเดียวก็ยาวลาก คนดูหลับไปครึ่งโรง แถม ผอ.สร้างไม่ได้ทำอะไรมาครึ่งวันแล้ว สงสัยต้องยกไปภาคต่ออีก น่ากลัวพรุ่งนี้ก็ยังจบไม่ลง เดิมทีตั้งใจจะเขียนสั้นๆ ระลึกถึง 2 กค.40 เท่านั้น ไหงไถลมาได้ตั้งหลายวันก็ไม่รู้ ยิ่งเล่ายิ่งมัน (คนเล่า)
แต่เอาเถอะครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงมีคนอ่านแค่สิบคนก็จะเขียนต่อให้จบ เพราะเป็นประสบการณ์ช่วงที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตผม ตั้งใจจะเขียนบันทึกกันลืมไว้ตั้งนานแล้ว ไม่ได้เริ่มซะที เพิ่งจะมีคนหลอกให้เล่น fb มาสองเดือน เลยยิ่งเขียนยิ่งมัน เพราะมีคนคอยคุยด้วยตลอดเวลา อ่านแล้ามาเมนต์มาคุยกันบ้างนะครับ ด่าทอมาบ้างก็ได้ ถ้าพบตรงไหนไม่เข้าท่า เจอกันพรุ่งนี้ครับ
Edited by แม้ว ถั่งเช่า, 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 - 00:01.