http://www.thaipost....ws/270713/76994
ครวญใคร่บนความเป็น 'ไทยประเทศ'
เสาร์นี้ ๒๗ กรกฎา เป็น "เสาร์สิ้น" และที่เหลืออีก ๕ เดือนต่อจากนี้ จะสิ้นปี ๒๕๕๖ แต่ละเสาร์จะเป็น "เสาร์สู่" ไปจนถึงปี ๒๕๕๗ ที่หลายคนเกรงว่าสภาฯ เปิด และ ๗-๘ สิงหา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับวรชัยจะถูกหยิบยกขึ้นมาถก แล้วจะเกิดสงครามระหว่าง "กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ" กับ "กองกำลัง นปช.พิทักษ์รัฐบาลระบอบทักษิณ" นั้น
ย.ห.แปลว่าอย่าห่วง!
เดือนสิงหายังกิน-เที่ยว-เล่น และเก็งกำไรซื้อ-ขายหุ้นได้ตามอัธยาศัย ถึงใครจะชุมนุม ก็เป็นการชุมนุมวิถีประชาธิปไตย ในเมื่อรัฐบาลบริหารนำสู่ล่มจม ด้วยนโยบาย ด้วยทุจริต-คอรัปชั่น ประชาชนในฐานะเจ้าของเงินและเจ้าของประเทศ
เขาจะมาตั้งประเด็นถามให้รัฐบาลตอบ นั่นจะเป็นการก่อความไม่สงบได้อย่างไร?
ถ้าจะไม่สงบ ไม่ใช่มาจากประชาชน แต่จะมาจากตำรวจ ที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ระดมมาเป็นกองร้อย-กองพันนั่นแหละ
คงได้ใจ จากที่มันตีนไปเมื่อคราว "ม็อบ เสธ.อ้าย"!
แต่ถ้าทำอย่างนั้นอีกกับ "กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ" ที่จะมากันแบบ "มิลินทปัญหา" คือมาถามปัญหาบริหารประเทศกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่มาด้วยเป้าหมายขับไล่-โค่นล้มรัฐบาลดื้อๆ ถ้าตำรวจไล่กระทืบ ทุบตี จับกุม อย่างเมาอำนาจอีกละก็
แล้วจะรู้ "อำนาจประชาชน" มีจริง!
ถ้าใครเครียดนัก วันเสาร์นี้ตอนบ่าย ๒ โมง ก็ไปโน่นซีครับ "หอประชุมจุฬาฯ" ไปดู-ไปฟังคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ "เปียโนคอนแชร์โตแห่งกรุงสยาม" ผลงานสร้างสรรค์ด้านดุริยางคศิลป์ของ ณรงฤทธิ์ ธรรมบุตร
ฟรีครับ แต่งตัวให้เหมาะกับงานกับสถานที่หน่อยละกัน เพราะไม่ใช่งานวัด!
ไปฟัง ไปชม พันเอกชูชาติ พิทักษากร ประดิษฐ์แนวเดี่ยวเปียโน ไปฟัง ไปชม อาจารย์ณัชชา พันธุ์เจริญ เดี่ยวเปียโน อภิชัย เลี่ยมทอง เดี่ยวเชลโล ณัฏฐา ควรขจร เดี่ยวโอโบ/อิงลิชฮอร์น และ นรอรรถ จันทร์กล่ำ ผู้อำนวยเพลง
โดยวงซิมโฟนีออร์เคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย!
ฟังดนตรีเย็นใจในห้องประชุมแล้ว ก็มาเรื่องอุ่นๆ ในท้องถนนกันต่อ ทำไมผมจึงว่า...เดือนสิงหายังไม่มีอะไร?
นั่นเพราะ ถ้ามีมวลชนชุมนุม ก็จะเป็นมวลชน "กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ" มวลชนกลุ่มนี้ไม่ใช่มวลชนอันธพาล ที่จะมาบู๊ล้างผลาญให้เข้าตานายใหญ่-นายหญิง เป็นการสร้างราคาหน้าบิล!
กองทัพประชาชนฯ โดยการนำของ "พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ" เป็นกองทัพเหตุและผลเพื่อพิทักษ์บ้านเมือง ไม่ใช่กองทัพที่เกิดขึ้นจากอาชญากรหนีคดี ใช้เงินสร้างมวลชนเป็นเครื่องมือ ใช้ล่มชาติ-ล่มแผ่นดิน
เมื่อมวลชนแต่ละฝ่ายเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ต่างกันเช่นนี้ ชัดว่ากองทัพของ พล.ร.อ.ชัย เป้าหมายพิทักษ์บ้านเมืองคุณธรรม
ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่า การเคลื่อนไหวหวังสรรค์สร้าง ย่อมใช้สติปัญญา และความรับผิดชอบ มากกว่าใช้กำลังไปในทางทำลายล้างผลาญ ทั้งสถานที่ ทั้งตัวบุคคลเหมือนบางพวก
และเท่าที่ฟัง ฝ่ายกองกำลัง นปช.เสื้อแดงของรัฐบาล นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประกาศไม่ระดมกำลังไปเผชิญหน้า ในเมื่อฝ่ายนิยมบู๊ล้างผลาญไม่ออกปะทะ ก็แน่นอนว่า การประชุมสภาฯ ๗-๘ สิงหานี้
อย่างดีแค่ตื่นเต้น แต่ไม่ตูมตาม!
ส่วนพวก นปช.ที่แตกหน่อเป็นฮาร์ดคอร์ สวมเสื้อแดงเร่จัดอีเวนต์เป็นอาชีพยังชีพ จะยกขบวนออกมาประจันหน้า "กองทัพประชาชนฯ" นั้น คงไม่มีกลุ่มไหนโง่ออกมาล้มทับตีนประชาชนหรอก!
แต่ประเด็นสำคัญที่ฟันธงได้เลย อยู่ตรงที่ ๔ พิธีใหญ่ชุบชีวิตทักษิณ ยังไม่สำเร็จซักพิธี แล้วจะอหังการท้าชนกับมวลชนที่ประกาศโค่นล้มระบอบทักษิณได้อย่างไร?
พวก "กุนซือหลังซิ่น" ที่กั้นม่านวางหมากให้ยิ่งลักษณ์เดินแต่ละช็อต คงไม่โง่กว่านายของมันที่จะทำอย่างนั้น ในสถานการณ์ที่ "งานสำคัญ" ยังไม่เสร็จตามแผน
มีอะไรบ้างล่ะที่รัฐบาลยังต้องอาศัยรัฐสภาเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ๑.พ.ร.บ.ล้างโทษให้ทักษิณกลับเท่ๆ ๒.เงินกู้ ๒ ล้านล้าน ๓.งบประมาณประจำปี ๕๗ และ
๔.แก้รัฐธรรมนูญ ตั้ง ส.ส.ร.เขียนใหม่ทั้งฉบับ!
นี่...เข้าใจหรือยัง ทั้ง ๔ พิธีกรรมนี้ ถ้าไม่สำเร็จทั้งหมด อย่างน้อยต้องสำเร็จ ๒ พิธีก่อน ถึงจะโฟนอินส่งสัญญาณ "ลุยกะมัน***เลย" ได้ สองพิธีนั้นคือ
๑.ล้างโทษ เอากูกลับบ้านก่อน และ ๒.เอางบประมาณ ๕๗ ผ่านสภาฯ มาให้กูก่อน!
ส่วนอีก ๒ พิธีนั้น ก็เข้าทำนอง เมื่อไม่ไร้แมกไม้ ก็ย่อมไม่ไร้ฟืนไฟ หมายความว่า เมื่อตัวกู-นายใหญ่ได้กลับมากั้นม่านบัญชาการเอง และงบประมาณคู่กับอำนาจบริหารประเทศยังอยู่ในมือ
เรื่องอื่น มันฟุตบอลในตีน!
ตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการ-นักวิชาการ-สื่อ เหมือนเต่า เหมือนตะพาบในไห ล้วงควักขึ้นมายำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วทุกอย่างในประเทศ มันจะไปทางไหนเสีย!
พูดถึง "นักวิชาการ" ประเภทกระดุมเป้ากางเกงทักษิณ ติดตามเสพความคิดหลายๆ ท่าน ผมว่ากลุ่มอาจารย์สำนักธรรมศาสตร์ อย่างอาจารย์สมศักดิ์ อาจารย์วรเจตน์ และอาจารย์เกษียร ลึกเข้าไปในเจตนาแห่งเนื้อหาของแต่ละท่าน
เหมือนบอระเพ็ด เหมือนยาดำ แหละครับ!
ถ้ามองแค่เปลือก และตัดสินเนื้อหาจากแค่รสขมปลายลิ้น โดยไม่ทำความเข้าใจกับความจริงที่เป็นจริงว่า ยาที่ใช้รักษาไข้-รักษาโรค "ให้หายชะงัด" นั้น มวลสารสกัดต้องใช้
"บอระเพ็ด-ยาดำ" ผสมทั้งนั้น!
โดยเฉพาะอาจารย์สมศักดิ์ที่เกลียดกันมากนั้น "จิตเดิมแท้" ของท่าน จากที่ผมใคร่ครวญบนความเป็นตัวตนท่าน จากแก่นเนื้อหาและที่มาแต่เบื้องปฐม ถ้าใครเข้าใจตัวท่าน ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจความคิดท่าน!
คือเข้าใจว่า ด้วยกรอบจำกัดเก็บกดอันเป็นตัวตนท่าน อย่าว่าแต่คนภายนอกไม่เข้าใจท่านเลย บางครั้งตัวท่านเอง คล้ายมีความคิดโต้แย้งภายในตัวเอง ด้วยผลึกดำบางอย่างที่พยายามทำความเข้าใจ แต่ก็คล้ายมะลำเมลือง
ด้วยอธรรมสังคมเจ็บปวดสั่งสมตอนเป็นนักศึกษา ด้วยความจริงสังคมเชิงประจักษ์บางด้าน ด้วยศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อปัจจุบัน บวกกับสิ่งที่เรียกว่าซูเปอร์ซับคอนเชียสอันยากตัวเองและคนอื่นจะเข้าใจ
อาจารย์สมศักดิ์ เมื่อหยิบ "สังคมจริง" มาพูด จึงทระนงในความคิดเห็นบนพื้นฐานจริง ไม่ยอมทรยศความคิดนั้น แม้แค่จะนำความเป็นจริงนั้น เคลือบ "ลีลาภาษา" ให้ซอฟต์
ก็ไม่รู้นะ ใครๆ ว่าอาจารย์สมศักดิ์ เจียม พูดเป็นปฏิปักษ์สถาบัน แต่ผมกลับมองว่า ลึกเข้าไปในจิตเจตนาที่เป็นรูปธรรม ท่านไม่มีเจตนามุ่งร้าย หวังทำลายสถาบันที่ทรงคุณธรรมประเสริฐ เพียงแต่ภาษาที่ท่านใช้สื่อสาร
เป็นภาษา "สมศักดิ์ เจียม สไตล์" ผ่าตรง สะใจคนพูด แสลงใจคนฟัง ไม่ถูกจริตสังคมประเล้า-ประโลม ที่หลายๆ อย่าง ทนช้ำกล้ำกลืน ยอมอยู่กันแบบเลี่ยงๆ มาตลอด!
คล้ายๆ บุคลิกอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ซึ่งถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่าแต่ละเรื่อง อาจารย์ ส.พูดแยกแยะด้วยกุศลเจตนา แต่จริตสังคมคนส่วนใหญ่ ทั้งที่เข้าใจว่า "หวานเป็นลม-ขมเป็นยา"
แต่ชอบ "หวาน" มากกว่า "ขม"!?
ตถตา...มันเป็นอย่างนั้นเอง โดยเนื้อแท้ อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ท่านไม่ใช่คนเจตนามุ่งร้าย-มุ่งทำลายสถาบัน
แต่ท่านทระนงในเจตนาตรงว่า "พูดด้วยหวังดี" ตามพุทธภาษิต "ผู้ชี้โทษ คือผู้บอกขุมทรัพย์" ด้วยเหตุนั้น ส.ศิวรักษ์ จึงเป็น ส.ศิวรักษ์ ที่เปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้ เหมือน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่จะเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ ขุนค้อน หรือสมศักดิ์ มัชฌิมา ไม่ได้เด็ดขาด
"พูดตรง คือพูดตาย" จึงพอใช้เป็นนิยามถึง ๒ อาจารย์ที่ต่างยุค-ต่างสมัย แต่ไม่ต่างในความเป็นตัวตน...คนอย่างกู ณ พ.ศ.๒๕๕๖ นี้!
สังคมประเทศ จะเอาเฉพาะถูกหู-ถูกใจอย่างเดียว โดยไม่เอาถูกต้อง-ถูกเหตุผล "มันก็ยาก" ถึงอยู่ได้ มันก็จะ อยู่-อย่าง-ยาก ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องเรียนรู้ ต้องพยายามเข้าใจความคิด-จิตเจตนา ของแต่ละฝ่าย แล้วเจียระไนเหลี่ยมแต่ละคน-แต่ละฝ่ายเข้าประสานกันให้จงได้
เพราะมีเหลี่ยม ด้วยแต่ละเหลี่ยมนั้น จึงประสานน้ำหนักให้ผนึกเป็นปึกแผ่น แต่เพราะไม่มีเหลี่ยม จึงหลุดลุ่ย
หิน-ทราย แต่ละก้อน แต่ละเม็ด มีเหลี่ยม จึงผนึกแน่นหล่อเป็นเสา ลูกหิน-ลูกแก้วกลมเกลี้ยง จึงโดดเดี่ยวอยู่หน้าตึก เพราะไม่สามารถเกี่ยวผนึกเป็นปึกแผ่นกับอะไรได้
"สังคมไทย-สังคมประเทศ" ก็ประมาณนั้น!
Edited by คนกรุงธน, 27 July 2013 - 01:33.