(ภาพจาก "คมชัดลึก")
นครวัดเมื่อก่อนนั้น ก็เหมือนนิวยอร์คเวลานี้ เป็นจุดรุ่งเรืองเสมือนศูนย์กลางของโลก ดินแดนแห่งสุริยะวรมันที่ 2 ซึ่งหลังสิ้นพระชนม์ได้ถูกขนานนามเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ จากแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ก่อนอาณาจักรสุโขทัยในครั้งโน้น ขอมศักดิ์สิทธิ์ทลายยุคเรืองรุ่งละทิ้งปราสาทราชวังมากมายตามเส้นทางบูรพาทิศนี้ สู่ดินแดนแห่งสงคราม 4 ฝ่ายในประวัติศาสตร์ใหม่ของกัมพูเจีย จากสีหนุ พอลพต มาสู่วันนี้ กัมพูชาของฮุนเซ็น!
วันนี้ นครวัด-นครธม ล้วนถูกสัมปทานกิจการท่องเที่ยวโดยคนสนิทของนายกฯ ฮุนเซ็น ค่าเข้าชม 20 ดอลล่าห์สหรัฐต่อวันนั้น ไปไม่ถึงรัฐบาลทั้งหมดเพื่อใช้ในกิจการบูรณะสังขรณ์ จะว่าไปสีเทาหรือสีขาวในกัมพูชา มันก็กลายเป็นสีเดียวกันของประเทศไปแล้วในเวลานี้ นับตั้งแต่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2528 ขณะอายุเพียง 33 ปี เท่านั้น ภายใต้การจัดการประเทศของนายกรัฐมนตรีที่ผูกขาดอำนาจมากว่า 28 ปี ถึงเวลานี้ อาจกล่าวได้ว่า กัมพูชา = ฮุนเซ็น
ผมเคยไปกัมพูชาและเสียมเรียบ มีมิตรสหายหลายคนที่นั่น, เขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ฮุนเซ็น" มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างยิ่ง สูงลิบลิ่วไม่ต่างจากเผด็จการทหารหรือเผด็จการรัฐสภา เขาควบคุมทหารได้ ควบคุมการตรวจสอบถ่วงดุลตนเอง กระทั่งควบคุมสื่อในอาณัติของเขา เขาวางโครงสร้างอำนาจทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ และกระบวนการยุติธรรม, บ้านของเขานอกเมืองพนมเปญว่ากันว่ามีอาณาเขตกว้างกว่า 10 ตารางกิโลเมตร และใช้ทหารกว่า 5,000 นายเป็นยามรักษาความปลอดภัย แต่แน่นอน... เขามาจากการเลือกตั้ง
จากการเผด็จอำนาจที่ผ่านมา เขาเคยสามารถผลักดันให้อดีตนายกรัฐมนตรีร่วม นโรดม รณฤทธิ์ ย้ายไปเป็นประธานรัฐสภา และไร้สภาวะอำนาจไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่มาเลเซียอย่างซ่อมซ่อ ท่ามกลางการโจมตีกล่าวหาอย่างดุดันไร้ปราณีจากเขา กระทั่งมีคนกล่าวว่า เขาคือกษัตริย์องค์ใหม่ของกัมพูชา, ผู้ซึ่งใครก็นินทาในที่สาธารณะไม่ได้!! เมื่อเราสนทนาว่ากล่าว มิตรสหายที่นั่นต่างบอกกล่าวกันว่า "เบาๆ"... การพูดถึงผู้นำของประเทศในทางเสียหายในที่สาธารณะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องเพราะมันมีความหวาดกลัวชนิดหนึ่งซึ่งเข้มแข็งมาช้านานแล้ว ขนาดสมเด็จนโรดม รณฤทธิ์ ยังถูกเล่นงานทางการเมืองจนแทบไม่มีแผ่นดินอยู่...
นายสม รังสี (Sam Rainsy) เองก็เช่นกัน, เขาเป็นหัวหน้าพรรคสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านในสภา แต่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เขาถูกเนรเทศ เดินทางกลับกัมพูชาไม่ได้ เพราะถูกพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุนเซน ลงมติให้ถอดเอกสิทธิ์คุ้มครอง ตั้งข้อหาว่ามีพฤติกรรมทำลายล้างและโน้มน้าวให้ประชาชนกระทำความผิดทางอาญา ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา กษัตริย์นโรดม สีหมุนี ได้พระราชทานอภัยโทษให้กับเขา และได้เดินทางกลับพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อช่วยพรรครณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวานนี้ แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กัมพูชา จะตัดสิทธิ์ทางการเมืองโดยระบุว่าเขาขาดคุณสมบัติที่จะสมัครเป็นผู้แทนก็ตาม
การเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชา เมื่อวานนี้ ได้จบลงด้วยความน่าสงสัยของคะแนนที่ฝ่ายรัฐบาลรีบประกาศผลก่อน กกต. ประกาศรับรอง โดยนายเขียว กันหฤทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข่าวสารและโฆษกพรรค ได้เปิดเผยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ โดยการประกาศผ่านทาง Facebook อ้างชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ โดยระบุว่า CPP ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้ที่นั่งอย่างน้อย 68 ที่นั่ง ขณะที่พรรคฝ่ายค้านภายใต้การนำของนายสม รังสี ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นเป็น 55 ที่นั่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุนเซ็น ได้ที่นั่งในสภาลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองกัมพูชา ภายหลังการเข้ามาจัดการเลือกตั้งโดยสหประชาชาติ (UN) เนื่องจากปัญญาชนคนชั้นกลางวัยหนุ่มสาวของกัมพูชาจำนวนมากได้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงกันอย่างมากมาย และทำให้พรรคฝ่ายค้าน คือพรรคสงเคราะห์ชาติ (จากความร่วมมือของพรรคสม รังสี และพรรคสิทธิมนุษยชนกัมพูชา) ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในพนมเปญ รวมถึงคะแนนเสียงในเมืองใหญ่ ๆ ตกเป็นของพรรคฝ่ายค้านเกือบทั้งหมด
สม รังสี ผู้นำพรรคสงเคราะห์ชาติ ปราศรัยกับผู้สนับสนุนที่เสียมราฐ เมื่อ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา
(ภาพโดยสถานีวิทยุ VOD กัมพูชา)
หลังปิดหีบการเลือกตั้งไม่นาน มีการเผยแพร่คำประกาศของนายสม รังสี ผู้นำพรรคสงเคราะห์ชาติ ซึ่งอ้างว่าชนะการเลือกตั้ง ซึ่งตอนแรกพบว่าได้คะแนนเสียงชนะพรรคพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุนเซ็นหลายที่นั่ง แต่ต่อมาก็ได้ถอนคำประกาศดังกล่าว และมีการประท้วงและก่อการจลาจลหลายแห่ง เนื่องจากฝ่ายค้านเชื่อว่าถูกโกงการเลือกตั้ง นอกจากนี้ นักสังเกตการเลือกตั้งระหว่างประเทศและ Comfrel ซึ่งเป็นองค์กรอิสระภาคประชาชนตรวจสอบการเลือกตั้งในกัมพูชาได้ออกมาระบุเรื่องที่น่าเคลือบแคลงและไม่โปร่งใสว่า มีรายชื่อผู้มีสิทธิแต่ไม่ได้ลงคะแนนมากกว่าหนึ่งล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิทั้งประเทศราว 9 ล้านคน ซึ่งอาจมีการเวียนเทียน ลงคะแนนผี เกิดขึ้นในต่างจังหวัดที่พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุนเซ็นชนะ และการประท้วงยังดำเนินต่อไปโดย Human Rights Watch ออกมาแถลงว่า การเลือกตั้งกัมพูชาเป็นเพียงกลไกให้ประชาชนมาใช้สิทธิตามกระบวนการเพื่อรับรองให้พรรครัฐบาลได้บริหารประเทศต่อไปเท่านั้น
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ฝูงชนที่โกรธแค้นได้จุดไฟเผารถตำรวจ 2 คัน ที่บริเวณนอกคูหาเลือกตั้งแห่งหนึ่ง สารวัตรทหารได้ปิดถนนที่มุ่งไปยังบ้านของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ที่ทำการพัก CPP และสำนักงานของ กกต. แม้จะมีรถบรรทุกทหารแล่นเข้าสู่กรุงพนมเปญ แต่ก็พบว่า ถนนทั่วไปอยู่ในความสงบ, จนกว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ หากเป็นไปตามตัวเลขดังกล่าว เท่ากับว่า พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุนเซ็น อาจไม่ได้ที่นั่ง 2 ใน 3 พอจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ นอกจากร่วมมือกับพรรคอื่น
ตัวแปรสำคัญที่สั่นคลอนบัลลังก์ที่นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ครอบครองมานาน 28 ปี คือ คนหนุ่มสาวที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง มีประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 9.67 ล้านคน ใน 19,009 เขตเลือกตั้ง ซึ่งมากกว่า 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิมีอายุไม่ถึง 30 ปี! พวกเขาส่วนใหญ่จึงออกมาสนับสนุนนายสม รังสี กับพรรคฝ่ายค้าน, จากผู้นำประเทศที่มีอำนาจบริหารสูงสุด ถึงวันนี้ ประชาชนกัมพูชากำลังเตือนผู้นำของตนเองว่า มันหมดเวลาของการครองอำนาจแต่เพียงผู้เดียวแล้วในโลกยุคปัจจุบัน
อ้างอิง:
www.facebook.com/sakoolz
www.prachatai3.info/journal/2013/07/47894
www.oknation.net/blog/inter/2013/07/29/entry-1
www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2011/02/10/entry-1
www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2009/09/30/entry-1
www.bbc.co.uk/news/world-asia-23484224
http://www.oknation....3/07/29/entry-1
ต้นแบบวีรบุรุษ ปชต. ที่คนไทยหนักแผ่นดิน... กราบตีน...
Edited by wat, 29 July 2013 - 19:26.