ยุคทักษิณ “รัฐประหาร” ยุคยิ่งลักษณ์ ผู้เปลี่ยนแปลงคือ “ประชาชน”
เห็นภาพยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับ “ข้อเสนอทางออกประเทศไทย” แล้ว อดนึกย้อนไปในช่วงปลายของยุคนักโทษหนีคดีที่อำนาจกำลังสั่นคลอนอย่างหนักไม่ได้
เหมือนกับหนังเรื่องหนึ่งสร้างมานานแต่ยังหาตอนจบไม่ได้ กำลังจะเดินเข้าสู่จุดไคลแมกซ์ที่จะทำให้หนังเรื่องนี้จบอย่างสมบูรณ์เสียที
ในช่วงที่สถานการณ์รุมเร้า ทักษิณ ออกเดินสายต่างจังหวัดถี่ขึ้น ปลุกเร้ามวลชนด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวต่อกลุ่มผู้ต่อต้านโดยไม่มีลักษณะประนีประนอม หรือเคารพการเคลื่อนไหวภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ มิหนำซ้ำยังใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือข่มขู่ คุกคาม ทำร้ายประชาชนด้วย
ส่วนยิ่งลักษณ์เริ่มขมักเขม้นเดินทางออกทัวร์นกขมิ้น ปลิ้นงบประมาณแจกจนกระเป๋าประเทศฉีกแบบรายสัปดาห์ แม้จะไม่ปลุกเร้ามวลชนให้ออกมาต่อสู้ทัดท่านกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลด้วยตัวเอง แต่ก็ส่งลิ่วล้อออกมาพ่นพิษเห่าหอนกันไม่เว้นแต่ละวัน โดยไม่มีการห้ามปรามหรือพยายามยับยั้งการสุมฟืนเข้ากองไฟแต่อย่างใด ในขณะที่ปากยังกล้าพร่ำพูดถึง “ความปรองดอง”
ถ้าเทียบกันชอตต่อชอตแบบนี้จะเห็นได้ว่า พี่ชายนักโทษ อ่อนหัดกว่า ยิ่งลักษณ์ มากมายนัก โดยเฉพาะการเสแสร้งแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาทางการเมือง ทั้งที่เห็นกองเลือดอยู่ตรงหน้าก็พร้อมจะเดินข้ามได้อย่างไม่แยแส
ในยุคของทักษิณ เมื่อสถานการณ์ใกล้ถึงทางตัน การต่อต้านขยายวงกว้างมากขึ้นทุกขณะ จากการบริหารที่ไม่ชอบธรรม ทุจริตคอร์รัปชั่น เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ขาดธรรมมาภิบาล รวบอำนาจ ย่ำยีรัฐธรรมนูญปี 40 จนเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองกันอีกครั้ง
ทักษิณ ก็เล่นปาหี่ด้วยการเชิญพรรคเล็กที่แทบจะไม่มีใครรู้จักในประเทศนี้มาประชุม แล้วเอออออห่อหมกกันเองพอเป็นพิธีว่าได้คุยกับพรรคการเมืองอื่นแล้ว ในขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน และพรรคชาติไทย บอยคอตไม่เข้าร่วมสังฆกรรมด้วย จนนำไปสู่การไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง
วันที่ 4 เมษายน 2549 เวลา 20.30 น. ทักษิณ ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า แม้พรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้ง 2 เมษายน แต่ตนจะไม่ขอรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นการสร้างความสมานฉันท์ และปรองดองในชาติ แต่ยังจำเป็นจะต้องรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนกว่าการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่จะแล้วเสร็จ แต่เมื่อยังคงมีกระแสต่อต้านจากพรรค ฝ่ายค้าน และกลุ่มพันธมิตรฯ ทักษิณ จึงลาราชการในวันที่ 6 เมษายน 2549 และแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน
แต่ทักษิณก็มิได้ปฏิบัติตามสัญญาที่จะเว้นวรรคทางการเมืองอย่างจริงจัง เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะ ทักษิณ ก็ตระบัดสัตย์ กลืนน้ำลายตัวเองด้วยการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวันที่ 23 พ.ค.2549 ท่ามกลางความตึงเครียดของบ้านเมือง ระหว่างรอการเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ซึ่งไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้น เนื่องจากมีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เกิดขึ้นเสียก่อน
จะเห็นได้ว่าหนังเรื่องเดิมที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน อดีตประธานคมช.ทำรัฐประหารแต่ไม่สามารถทำให้หนังเรื่อง “คนโกงชาติ” จบลงอย่างบริบูรณ์ได้ แต่กลับไปเปิดช่องต่อยอดจนมีตัวละครเพิ่มขึ้นมากมาย ในขณะที่ปัญหาของชาติมีความซับซ้อนมากขึ้นกำลังย้อนกลับมาเพื่อให้คนไทยได้ช่วยกันกำหนดบทสร้างหนังเรื่องนี้ต่อให้จบสิ้นกันเสียที
ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศมาสองปี โดยที่ไม่มีวิกฤตใด ๆ มาขัดขวางสร้างความปวดหัว เดินทางไปต่างประเทศไม่ตำ่กว่า 50 ครั้ง ใช้งบไปแล้วไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท สำหรับการออนทัวร์ในแบบฉบับ “นกแก้ว” อย่างสบายใจเฉิบด้วยการเหมาเครื่องบินเหมาลำทุกครั้ง
แต่กลเกมทางการเมืองที่อยู่ในมือคนกำหนดยุทธศาสตร์ชุดเดียวกับของนักโทษชายทักษิณ ทำให้เธอกำลังเดินซ้ำรอยพี่ชายอย่างน่าเสียดาย
กงล้อประวัติศาสตร์ในปี 2549 กำลังวนกลับมาทับซ้อนกันพอดิบพอดีในปี 2556 !
กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ ประกาศชุมนุมใหญ่วันที่ 4 ส.ค.56 เพื่อต่อต้าน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และล้มล้างระบอบทักษิณ ขณะที่รัฐบาลประกาศใช้ฏหมายความมั่นคงมา “สร้างความปรองดอง” กำหนด “เขตปรองดอง” เป็นพื้นที่หวงห้าม 12 เส้นทางไม่ให้ประชาชนสัญจรไปมา
หลายฝ่ายเสนอความเห็นหลากหลายเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ เพียงแค่ถอนร่างกฎหมายนนิรโทษกรรมที่จะล้มล้างระบบกฎหมายไทยออกไปจากสภา ความตึงเครียดก็จะลดลง บรรยากาศแห่งการพูดคุยก็จะกลับมา แต่เธอก็เล่นบท “หนูไม่รู้” หรือไม่ก็ “มีเสียงเดียวในสภาไปถอนร่างไม่ได้”
เหลี่ยมคูทางการเมืองที่แสดงผ่าน ยิ่งลักษณ์ จึงมิได้แตกต่างไปจากยุคที่ทักษิณเรืองอำนาจแม้แต่น้อย คือ หน้าฉากดูดี แต่หลังฉากสุดอำมหิต
แล้วจู่ ๆ ยิ่งลักษณ์ก็ประกาศเสนอทางออกประเทศในวันที่ 2 ส.ค.56 ก่อนที่จะมีการชุมนุมเพียงแค่ 2 วัน ความรู้สึกช้าเกินไปหรือเปล่า?
แถมยังเป็นข้อเสนอที่ นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาพล.อ.ร่มเกล้า สรุปไว้อย่างกระชับแต่ลึกซึ้งถึงแก่นด้วยข้อความเพียงแค่สองประโยค ว่า “ห้ามทำทุกอย่างที่ตนเคยทำ ไม่ทำซักอย่างที่ตนเคยพูด”
ไม่แน่ใจว่าสติปัญญาอย่างอดีตเจ้าแม่เรียลเอสเตทจะมีสำนึกไหม
ในขณะที่คนเป็นนายกประกาศอยากปรองดอง พวกคุณเตรียมตำรวจมหาโหดไว้กระทืบประชาชนอย่างไร้ปราณี
นี่หรือการแสดงออกถึงความพร้อมที่จะรับฟังคนเห็นต่าง
นี่หรือคือความต้องการที่จะเห็นความสงบสันติในสังคมไทย เพราะในขณะที่เสื้อแดงยึดถนน สร้างหมู่บ้าน คุกคามคนอื่นอย่างอิสระ แต่คนที่เห็นต่างจากรัฐบาลแค่ชุมนุมหน้ากระทรวงกลาโหมประท้วงยิ่งลักษณ์ก็ถูกจับยัดข้อหา แค่ผู้กองปูเค็มไปยืนชุมนุมประท้วงหน้าพรรคเพื่อไทยคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ถูกจับไป สน.มักกะสัน พฤติกรรมปากอย่างทำอย่างของรัฐบาลเพื่อไทยจึงไม่มีทางสร้างความสงบสุขได้ มีแต่จะราดน้ำมันลงในกองเพลิงให้ลุกโชนมากขึ้นทุกที
ยิ่งลักษณ์อ้างว่าได้ดำเนินการเพื่อให้เกิดการปรองดองขึ้นในชาติด้วยความพยายามอย่างจริงใจที่จะเดินหน้า อดทน ไม่ตอบโต้ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดอง สร้างสรรค์และความไว้วางใจ รวมทั้ง การเปิดพื้นที่ให้กับทุกกลุ่มที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมือง และรัฐบาลพร้อมที่จะประนีประนอมกับทุกฝ่าย และพยายามผลักดันให้มีการใช้เวทีรัฐสภามากกว่า ท้องถนนในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
แต่ความจริงคือ ยิ่งลักษณ์ตระบัดสัตย์ไม่ปฏิบัติตามคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ที่จะเดินหน้าปรองดองตามแนวทางของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. แต่เธอกลับทำจน คณิต ณ นคร อดีตประธาน คอป.ออกปากว่า” เขาใช้ผมเป็นเครื่องมือที่ไปให้เงินเยียวยา 7 ล้านกว่าบาท"
ส่วนข้อเสนออื่น ๆ ที่สรุปออกมาเป็นรายงานการค้นหาความจริง มีชายชุดดำ ผู้ชุมนุมไม่สงบ มีการละเมิดกฎหมาย ฯลฯ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับไม่ยอมรับ และยังปล่อยให้ขี้ข้าม้าใช้ออกมาฉีกรายงานของ คอป. ซึ่งก็เท่าฉีกคำแถลงนโยบายของรัฐบาลเอง
เช่นนี้แล้วคิดว่าใครจะเชื่อคำพูดของผู้หญิงที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
วรรคทองที่สะท้อนว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยส่องกระจกมองตัวเองคือ
“ที่น่าเสียใจที่สุดคือ การที่มีบุคคลบางกลุ่มต้องการการเคลื่อนไหวบนท้องถนน ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่การแสดงออกกลับมีท่าทีที่ไม่ยอมรับกติกาของประชาธิปไตย มีการยั่วยุ กระตุ้นเพื่อนำไปสู่การล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร และใช้ความรุนแรง”
ใครจะเชื่อว่าเธอจะทำหน้าซื่อตาใส ความทรงจำสั้น จำไม่ได้ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อสีแดงเดินเข้าไปร่วมชุมนุมบนท้องถนน ที่มีีการปลุกระดมให้ประชาชนใช้ความรุนแรงชิงอำนาจจากรัฐบาลประชาธิปไตย เหมือนที่ นิชา ผู้ที่ไปชุมนุมในขณะนั้นไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย เพราะขณะนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยอยู่แล้ว และพล.อ.ร่มเกล้า รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคนไปปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องประชาธิปไตยที่กำลังถูกคุกคามโดยผู้ที่ละเมิดกฎหมาย
ยิ่งลักษณ์ ลืมไปแล้วหรือว่าการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมีคำสั่งของศาลแพ่งชี้ถึงสองครั้งว่าเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ มีการใช้อาวุธ รัฐบาลในขณะนั้นมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และสามารถใช้อาวุธได้ตามความจำเป็น ยึดหลักสากล
คนที่ทำให้เมืองหลวงกลายเป็นทะเลเพลิงก็คือพวกเดียวกับ “ยิ่งลักษณ์” เป็นเนื้อเดียวกับ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งในประเทศนี้รับรองได้เลยว่าไม่มีมวลชนกลุ่มไหนไปแข่งความถ่อยกับพวกท่านได้อย่างแน่นอน
ยิ่งลักษณ์ ยังกล้าอ้างว่าได้รับฟังความเห็นประชาชนในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ และการนิรโทษกรรม และจะรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือสองปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยละความพยายามที่จะพานักโทษหนีคดีกลับบ้านอย่างเท่ห์ ๆ ทั้งงุบงิบคิดจะออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษแต่ไม่สำเร็จ เสนอร่างกฎหมายทั้งชื่อปรองดอง - นิรโทษกรรม รวม 7 ฉบับ ซึ่งกำลังเข้าสู่การพิจารณาในสภาวันที่ 7 ส.ค.นี้ และเป็นชนวนที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจเตรียมออกมาชุมนุมเพื่อต่อต้านการล้างผิดล้มกฎหมาย
เด็กป.1 ก็ยังดูออกว่า ยิ่งลักษณ์ทำตรงข้ามกับที่พูด หรือความจริงแล้วเธอไม่เคยคิดที่จะทำตามคำพูด นอกจากพูดออกมาเพื่อสร้างภาพกลบความเน่าข้างในเท่านั้น
ตลกไปกว่านั้นคือ ยิ่งลักษณ์เสนอเปิดโต๊ะเจรจาทุกฝ่ายในสัปดาห์หน้า คำถามคือ จะเชิญทุกกลุ่มไปพูดคุยในวันไหน?
ในเมื่อชนวนระเบิดอยู่ที่วันที่ 7 ส.ค.นี้แล้ว
ถ้ายิ่งลักษณ์เกิดจิตเป็นเป็นกุศล ต้องการหยุดความขัดแย้งก็ต้องกำหนดวันให้ชัดเจนและต้องทำตั้งแต่ก่อนที่จะมีการนัดชุมนุมในวันที่ 4 ส.ค.ด้วย แต่เธอไม่ได้ทำ เลือกที่จะมาประกาศในวันที่ 2 ส.ค. โดยไม่กำหนดเวลานัดที่ชัดเจนว่าจะเป็นวันใด จึงตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า พยายามตบตาว่ารัฐบาลไม่ต้องการใช้ความรุนแรง เป็นกลเกมตื้น ๆ ที่ต้องการชิงความชอบธรรมไว้กับตัวเองโยนบาปให้ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ยั่วยุจนเกิดความรุนแรง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่รักษากฎหมาย
ประชาธิปไตยไทยไม่จำเป็นต้องออกแบบใหม่ แค่นักการเมืองชั่ว ๆ ส่องกระจกชะโงกดูเงาของตัวเองแล้วปรับปรุงตัวเองอย่างจริงจังเพื่อชาติบ้านเมืองตามปาก ก็จะรู้ว่าใครคือปัญหาของบ้านเมืองนี้ และถ้าจะแก้ไขต้องกำจัดส่วนไหนเป็นอันดับแรก
ผู้เขียนเคยตั้งข้อสังเกตว่า ทักษิณไม่ครบบาท วิบัติชาติจึงเกิดขึ้น แต่สำหรับ ยิ่งลักษณ์ หากยังพอมีสำนึกอยู่บ้างก็อยากเตือนสติตามคำโบราณที่ว่า “เรือดีพายดีจงขี่ข้าม อย่าเอาเรือรั่วน้ำมาข้ามขี่ ราชการงานเมืองจะเอาดี อย่าเอาคนอัปรีย์มาทำงาน”
อยากปรองดองทำง่ายนิดเดียว ถอนกฎหมายนิรโทษกรรมออกไปให้หมดไม่ว่าจะใช้ชื่อไหนก็ตาม เดินหน้าทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชน แล้วก็อย่าเอาคนอัปรีย์มาทำงาน หรือว่ามันเลือกไม่ได้เพราะทุกคนที่มาเป็นขี้ข้าให้ล้วนแต่สปีชี่เดียวกันทั้งนั้น
จุดจบของหนังเรื่อง “คนโกงชาติ” ใกล้มาถึงเต็มที่ ปี 49 จบลงด้วยรัฐประหารจากประชาชน แต่ปี 56 หรืออาจยืดเยื้อยาวนานกว่านั้นจะจบลงที่ การเปลี่ยนแปลงโดยประชาชน