คุณ 5 เอ็มได้อ่านข่าวที่เอามาลงบ้างป่าวคับ ผมเสียเวลาอ่านอันแรกไปให้นะครับ สรุปโดยรวม ทหารรายหนึ่งรับว่ายิงเข้ากำแพงวัด 1 นัด ย้ำๆ กำแพงวัดครับ 1นัดครับ
หลังจากนั้น 4 คน ดังกล่าวได้วิ่งหลบหายไปหลังตอม่อ พยานได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจด้านซ้ายของรางรถไฟฟ้าด้านที่ติดกับห้างสยามพารากอน และหน่วยของพยานได้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ มาถึงคลองตรงระหว่างห้างสยามพารากอนกับวัดปทุมฯ มองไปยังกุฏิวัดปทุมฯ เห็นบุคคลอยู่บริเวณนั้น เป็นชายสวมเสื้อสีขาว กางเกงลายพรางสวมโม่งสีดำถืออาวุธปืน M16 เล็งมาที่พยานอยู่ ประมาณ 18.10 น. เศษ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มืด และพยานห่างจากชขายเสื้อขาวดังกล่าวประมาณ 30 เมตร พยานได้ยิงไปยังแนวกำแพงวัดด้านข้างติดกับคลอง 1 นัด ชายคนดังกล่าวจึงได้หลบไปด้านในกุฏิวัด ต่อจากนั้นพยานได้เคลื่อนไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีภัยคุกคามอยู่ด้านหน้า และต้องทำหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง
แค่พาดหัวข่าวให้เร้าใจ คนเราก็บ้าจี้ตามๆกันไปเนอะ หรือกระสุนที่ยิงใส่ตอม่อเด้งไปโดนครบ 6 ศพเลยก็เป็นได้ครับ แบบว่าเด้งตอม่อ กระดอนไปโดนมุมหลังคาเด้งกลับลงพื้น พุ่งขึ้นเสียบตูดอะไรประมาณนี้
กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ให้การว่า ได้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.53 และได้เห็นกลุ่ม นปช.ฮาร์ดคอร์ใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ทหาร ยิงรถดับเพลิง ในวันที่ 14-19 พ.ค. โดยในจำนวนนี้หลายรายถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ บางคนมีหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ได้รับการประกันออกไป เนื่องจากมีทนายของพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นไปขอยื่นประกันตัวออกมาแล้วหลบหนีไป
ที่มา; http://www.tnews.co....กำลังชุดดำ.html
ดูข่าวต่อ
http://prachatai.com...l/2013/02/45337
ต่อมาก่อน 15.00 น. ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา คือ พ.ท.นิมิตร ให้เข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่างที่มีกองยาง ถังน้ำมันและสิ่งกีดขวางอื่นๆ ที่อยู่บริเวณหน้าสนามกีฬาไปจนถึงแยกปทุมวัน รวมทั้งให้ดูแลคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เนื่องจากในตอนนั้นโรงภาพยนตร์ สยาม เกิดเหลิงไหม้แล้ว
ซึ่งขณะนั้นพยานเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการมีกำลัง 9 นาย หลังจากได้รับคำสั่งให้เคลียร์พื้นที่เข้าไปในพบเต้นท์และสิ่งกีดขวางกองอยู่และได้ยินเสียงปืนมาจากด้านหน้า โดยก่อนหน้าพยานจะเข้าไป ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปชุดหนึ่งแล้วในพื้นราบ ขณะนั้นพยานอยู่เลยบริเวณแยกปทุมวันฯ ไปประมาณ 15 เมตร จึงทำให้เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกยิงโดนมาจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย จึงกลับไปอยู่ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ อย่างไรก็ตามตอนที่ได้รับแจ้งว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงสกัดนั้น พยานไม่ได้เห็นด้วยตาแต่มีการวิทยุมาแจ้ง
จนกระทั้งเวลา 17.00 น.เศษ มีการจัดกำลังใหม่ เคลื่อนที่ไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยมีคำสั่งจาก พ.ท.นิมิตร เนื่องจากในตอนนั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ห้าง CTW สำหรับเหตุที่ต้องเคลื่อนกำลังเนื่องจากตอนนั้นหน่วย ร.31 พัน 2 รอ. จะต้องเคลื่อนไปด้านล่าง หน่วยของพยานมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับหน่วยดังกล่าว แกละจะต้องพาพนักงานดับเพลิงไปดับไฟด้วย โดยขณะนั้นหน่วยของพยานได้เคลื่อนไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม บนชานชรารถไฟฟ้าชั้นล่าง เริ่มออกเวลาประมาณ 17.30 น. ก่อนถึงสถานีสยามประมาณ 5 เมตร พบบังเกอร์และสแลนตาข่ายสีเขียวดำที่เป็นของฝ่าย นปช. อยู่บนรางรถไฟ จึงเข้าตรวจวัตถุระเบิดบริเวณดังกล่าวก่อน และเมื่อเข้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม เวลา 18.00 น. เพราะขณะนั้นได้ยินเสียงเพลงชาติจากด้านหน้า เมื่อเข้าไปในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้าสยามก็ควบคุมพื้นที่ พบร่องรอยการอยู่อาศัย มีกล่องอาหาร หนังสือพิมพ์สำหรับปูนอน และถังน้ำมันชุดคบเพลิงไว้ในถัง ขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่มีเศษผ้าที่ปากขวดสามารถจุดไฟแล้วกว้างให้เกิดเพลิงได้
ระหว่างตรวจสอบสถานที่นั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นด้านล่าง และเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่างได้เรียกให้หน่วยของพยานคุ้มกันจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหาร โดยที่ขณะนั้นพยานยังไม่เห็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายดังกล่าว พยานจึงแจ้งผ่านวิทยุสื่อสารไปที่ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.นิมิตร เพื่อขออนุมัติให้คุ้มกัน จึงได้มีคำสั่งมาให้คุ้มกัน หลังจากนั้นพยานเคลื่อนที่ออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้นแรกเคลื่อนที่ไปทางห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ประมาณ 5 เมตร พยานได้โผล่หน้าไปตรวจการพบชายชุดดำ 4 คน อยู่ตรงบริเวณตอม่อรถไฟฟ้าถืออาวุธปืนยาว และหนึ่งในนั้นได้ยิงขึ้นมาแต่ไม่โดนใคร หลังจากนั้นพยานจึงได้ยิงสวนไปยังตอม่อบริเวณแยกเฉลิมเผ่า 4-5 นัด ในเวลาประมาณ 18.10 น. กระสุนถูกตอม่อรถไฟฟ้า แต่ไม่โดนใคร
ดูคลิปประกอบ
หลังจากนั้น 4 คน ดังกล่าวได้วิ่งหลบหายไปหลังตอม่อ พยานได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจด้านซ้ายของรางรถไฟฟ้าด้านที่ติดกับห้างสยามพารากอน และหน่วยของพยานได้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ มาถึงคลองตรงระหว่างห้างสยามพารากอนกับวัดปทุมฯ มองไปยังกุฏิวัดปทุมฯ เห็นบุคคลอยู่บริเวณนั้น เป็นชายสวมเสื้อสีขาว กางเกงลายพรางสวมโม่งสีดำถืออาวุธปืน M16 เล็งมาที่พยานอยู่ ประมาณ 18.10 น. เศษ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มืด และพยานห่างจากชขายเสื้อขาวดังกล่าวประมาณ 30 เมตร พยานได้ยิงไปยังแนวกำแพงวัดด้านข้างติดกับคลอง 1 นัด ชายคนดังกล่าวจึงได้หลบไปด้านในกุฏิวัด ต่อจากนั้นพยานได้เคลื่อนไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีภัยคุกคามอยู่ด้านหน้า และต้องทำหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง --> สอดคล้องกับคำให้การนี้ -> คดี-6-ศพวัดปทุม-อีกหนึ่งผลงานอ/page-2#entry807320
จนกระทั้ง 18.25 น. ได้รับการสั่งการจาก พ.ท.นิมิตร สั่งถอนกลับไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม แต่ช่วงที่เคลื่อนมาประจำอยู่นั้นพยานอยู่บนรางหน้าวัดปทุมฯ ตางหน้าเป็นสระน้ำ มีกลังที่แบ่งไปทางด้านหน้าพยาน(ไปทางห้าง CTW) 10 เมตร จำนวน 3 นาย โดยมีพยานยืนตรงกลาง และมีการกระจายกำลังไปด้านหนังพยานห่างไป 3 เมตรด้วย ขณะนั้นพยานใช้อาวุธ M16 A 2 เป็นอาวุธประจำกายในการปฏิบัติหน้าที่ โดยทาง ศอฉ.และผู้บังคับบัญชากำชับให้ใช้จากเบาไปหาหนัก ห้ามยิงใส่กลุ่มคน เด็กและสตรี โดยให้ยิงขึ้นฟ้าหรือในทิศทางที่ปลอดภัย และหากยังปรากฏภัยคุกคามอีกให้ยิงไปทางส่วนล่างของร่างกายที่ไม่เป็นอันตราย
นอกจากตัวพยานยิงไปที่ตอม่อรถไฟฟ้าและกำแพงวัดแล้วยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกที่ยิง และมีมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในส่วนหน้าได้ยิงไปที่แนวถนนและกำแพงวัดอีกด้วย โดยได้รับแจ้งจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่ามีชายชุดดำอยู่บริเวณดังกล่าวทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชายิงไปยังบริเวณนั้น ขณะปฏิบัติหน้าที่นั้นหน่วยของพยานไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังจากถอนกำลังไปอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ แล้วพยานอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 23 พ.ค.53 จึงถอนกำลังกลับออกไป
จ่าสิบเอก สมยศ ได้ตอบการซักของทนายญาติผู้ตายด้วยว่า การมาปฏิบัติหน้าที่มาวันที่ 5 พ.ค.53 โดยมาปฏิบัติหน้าที่ทดแทนกำลังที่มีอยู่ ปืนประจำกายเป็นปืน M16 A2 นั้นได้มาจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ถอนกำลังออกไป เช่นเดียวกับทหารในหน่วยของพยานด้วย สำหรับ M16 A2 นั้น พยานสามารถถอดประกอบเพื่อเอามาทำความสะอาดได้ ในระดับผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งสมารถถอดได้ทั้งในส่วนล่าง ส่วนบนและลูกเลื่อน ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีสำหรับถอด และ 5 นาทีสำหรับการประกอบ โดย M16 A2 มีระยะในการยิงหวังผลที่มีเป้าหมายเป็นจุดอยู่ที่ 150 เมตร แต่ถ้าเป็นพื้นที่กว้าง 350 เมตร อาวุธปืนชนิดนี้มีแรงสะท้อนถอยหลัง โดยการเล็กนั้นเป็นการเล็กจากศูนย์หลังไปศูนย์หน้า สำหรับระยะ 150 เมตร หากเล็งแบบปราณีก็จะแม่นยำ โดยปืนชนิดนี้จะมีการปรับการยิงได้แบบ 1 นัด และ 3 นัด แต่ไม่สามารถยิงแบบออโต้ได้
ในวันที่ 19 พ.ค.53 พยานเป็นหัวหน้าชุด รวมตัวพยานด้วยชุดนั้น มี 9 นาย ตอนเคลื่อนมาจากสนามกีฬาเพื่อมาที่สยามพารากอนนั้น ในช่วงแรกมีกำลังส่วนหน้าบนพื้นราบอยู่ ส่วนที่ไม่ได้เคลื่อนไปต่อในครั้งแรกนั้น เพราะถูกต่อต้านจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย โดยช่วยที่เคลื่อนไปช่วงแรงนั้นหน่วยของพยานไม่ได้ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้า ส่วนการเคลื่อนอีกครั้งในเวลา 17.30 น. นั้นพยานได้มีการยิงไปที่ตอม่อรถไฟฟ้าร่วมกับ ส.อ.วิฑูรย์ อินทำ โดยบริเวณนั้นมีชายชุดดำ พยานยิงไป 4-5 นัด ส่วน ส.อ.วิฑูรย์ ยิงไป 2 นัด โดยยิงแบบชะโงกหน้าไปยิงตรงช่องว่าง โดยในขณะนั้นไม่มีประชาชนที่อยู่บริเวณถนนพระราม 1 แล้ว หลังจากที่พยานได้ยิงแล้วนั้น 4-5 คนนั้นก็หลบไปหลังตอม่อ แต่ยังคงได้ยินเสียงยิงปะทะกันด้านล่าง เสียงดังเป็นระยะๆ ต่อๆ กัน จากทั้งทางฝั่งทหารและจากด้านหน้าข้างล่างบนถนน
ความสูงของผนังรางรถไฟฟ้าที่พยานอยู่ประมาณ 1.2 เมตร การเคลื่อนที่ไปนั้นเป็นการเคลื่อนแล้วหยุด แล้วขยับไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจการ โดยในขณะนั้นฝั่งสำหนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการอยู่ ขณะตรวจการมองไปที่วัดปทุมนั้นยังคงเห็นได้ชัดเจน ในวัดมีคนประมาณการไม่ได้ แต่มีมากพอสมควร ส่วนบริเวณริมสระน้ำด้านในนั้นมีกลุ่มเล็กๆอยู่ แต่เข้าไปในวัดมีมากพอสมควร มีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา ที่เป็นผู้ชุมนุมหลบเข้าไป และทราบว่าที่นั่นเป็นเขตอภัยทาน
ตอนถอนกำลังกลับไปนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รายงานกับพยานโดยการยิงทั้งหมดยิงไปด้วยกระสุนจริง สำหรับการตัดสินใจยิงนั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจของแต่ละบุคคล โดยพยานไม่ได้สั่ง สำหรับระยะเวลาที่เคลื่อนกำลังไปหน้าวัดปทุมถึงถอนกำลังนั้น ใช้เวลา 15 นาที ขณะที่พยานใช้อาวุธปืนยิงนั้นตัวพยานไม่ได้เตือน แต่มีลูกน้องคือ ส.อ.วิฑูรย์ ที่แจ้งว่ามีชายชุดดำหลบอยู่ใต้รถ และแจ้งชายดังกล่าวให้ออกมา แต่พยานไม่ทราบว่า ส.อ.วิฑูรย์ ได้ยิงคนที่หลบอยู่ใต้รถหรือไม่ แต่ ส.อ.วิฑูรย์ มีการยิงไปในบริเวณนั้น
ทนายญาติผู้ตายได้นำภาพชายแต่งกายคลายทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ ให้ จ่าสิบเอก สมยศ ดู พร้อมกับสอบถามว่าเป็นใคร จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่าไม่ทราบว่าคนในภาพเป็นใคร แต่คิดว่าเป็นทหาร และบนรางรถไฟฟ้าตรงหน้าวัดปทุมฯนั้น มีเฉพาะชุดของพยาน 9 นาย โดยการปฏิบัติการนั้นพยานกับลูกน้องมีกระสุนคนละ 140 นัด เวลาส่งกระสุนคืนจะมีนายสิบประจำหมวดรวบรวมนับส่งคืน ในการปฏิบัติการตรงนั้นพยานใช้ไป 5 นัด ส่วนคนอื่นนั้นไม่ทราบว่าใช้ไปกี่นัด
ส.อ.วิฑูรย์ อยู่หน้าพยาน ซึ่งมี 3 นาย ห่างไปจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 10-15 เมตร และตรงจุดนั้นหลังวันที่ 19 พยานได้เคยเดินไปและหากมองจากจุดนั้นจะมองเห็นด้านหน้าประตูทางเข้าวัดปทุมได้ชัด วันที่ 20 พ.ค.53 ยังมีเต้นท์และเห็นรถที่จอดอยู่หลายคัน โดย ส.อ.วิฑูรย์ ได้แจ้งให้กับพยานทราบว่าเห็นชายชุดดำหลบเข้าไปในรถ และ ส.อ.วิฑูรย์ ยังแจ้งพยานด้วยว่าได้ยิงไปยังพื้นถนนหน้าวัดด้วย
หลังจากนั้นทนายได้นำภาพกลุ่มคนที่แต่งกลายคล้ายทหารมาให้พยานพิจารณาอีกครั้ง จำนวน 4 ภาพพร้อมตั้งคำถาว่าจากในภาพมีการหลบหรือไม่ จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่า เป็นไปได้ว่าจะเป็นการหลบกระสุนหรืออาจจะกำลังเล็งก็ได้ โดยการหลบกระสุนปืนต้องหลบให้ต่ำกว่าแนวที่บังถึงจะหลบได้ แต่ถ้าหลบจากแนวกำแพงที่กระสุนมาจากด้านล่างก็เพียงแค่หลบวิถีกระสุนก็ได้ มันอาจไม้ต้องหลบตามแนวทั้งหมด แต่เป็นการหลบในลักษณะตกใจก็ได้
ส.อ.เดชาธร มาขุนทด เบิกความว่า เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เมื่อ เม.ย.53 โดยมาในส่วนของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มี พ.ท.นิมิตร วีรพงษ์ (ยศขณะนั้น พ.ต.) เป็ยผู้บังคับบัญชา ได้รับคำสั่งให้เป็นหน่วยคุ้มกันให้กับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่สีลม ก่อนจะกลับไปที่ราบ 11 หลังจากนั้นวันที่ 18 พ.ค.53 เวลาประมาณ 17.00 น. ได้เคลื่อนกำลังจาก ราบ 11 มาที่กระทรวงพลังงาน โดยมีหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. เหมือนเดิม เวลาตี 1 ของวันที่ 19 พ.ค.53 ได้เคลื่อนกำลังจากกระทรวงพลังงานมายังสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ จนกระทั้งบ่าย 3 โมง โดยประมาณ ขณะนั้นเกิดเพลิงไหม่ที่โรงหนังสยาม มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าไประงับเหตุได้ เนื่องจากบริเวณด้านหน้าทางเข้ามีสิ่งกีดขวาง พยานและหน่วยจึงเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง เพื่อให้รถดับเพลิงสามารถไปดับเพลิงได้ โดยเริ่มเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่แยกสนามกีฬาฯ มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ แต่เคลียร์ไปได้เล็กน้อยเนื่องจากมีเสียงปืนดังมาจากด้านหน้าพยานฝั่งทางโรงหนังสยาม หลังจากนั้น พ.ท.นิมิตร ได้สั่งให้พยานถอนกำลังกลับมายังที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ
เวลา 17.30 น. พยานได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ระวังป้องกันให้ ร.31 พัน 2 รอ. เพราะหน่วยดังกล่าวจะต้องเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง โดยพยานมี จ่าสิบเอก สมยศ เป็นหัวหน้าชุด ปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า โดยจ่าสิบเอกสมยศ ให้พยานเคลียร์พื้นที่บนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ ถึง สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ ซึ่งขณะนั้นพบสิ่งกีดขวางเป็นยางรถยนต์กับสแลนสีดำเขียวขวางอยู่ระหว่างสถานีสนามกีฬาฯ กับสถานีสยามฯ วางอยู่บนรางรถไฟฟ้า หลังจากเคลียร์แล้วก็เคลื่อนคู่ขนานไปกับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง ถึงสถานีสยามในเวลา 18.00 น. ทราบเวลาจากการได้ยินเสียงเพลงชาติ หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนจากรอบทิศทาง มีทหารด้านล่างตะโกนให้หน่วยของพยานคุ้มกัน หน่วยของพยานจึงได้ทำการตรวจการด้วยสายตาโดยมองไปด้านล่างพบเป็นชายผมสั้นเสื้อขาวสวมหมวกโม่ง กางเกงลายพราง ถือปืนตรงข้างกำแพงวัด พยานจึงได้แจ้งไปยังจ่าฯสมยศ ทราบ แต่ไม่ทราบว่าจ่าฯ สมยศได้ยิงลงไปหรือไม่เนื่องจากพยานเดินไปด้านหน้าต่อเพื่อตรวจการ ขณะนั้นเห็นชายชุดดำบริเวณกำแพง 1 คน จึงได้แจ้งให้ ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง เพื่อให้ตรวจดูชายชุดดำแทนพยาน เนื่องจากพยานต้องการเคลื่อนไปหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์
ระหว่างตรวจการอยู่บนรางรถไฟฟ้า พยานไม่เห็นชุดของจ่าสิบเอกสมยศ ยิงปืนไปทางด้านใด เนื่องจากพยานอยู่ทางด้านหน้า ต่อมาผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้หน่วยของพยานถอนกำลังไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม พยานอยู่ตรงนั้นจนถึงวันที่ 22 พ.ค.53 จึงกลับลพบุรี
ในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้น ชุดของพยานและทหารในบังคับบัญชาของ พ.ท.นิมิตร แต่งกายชุดลายพรางและมีสติ๊กเกอร์ สีชมพูติดด้านหลังหมวกทุกนาย ที่ติดสติ๊กเกอร์ ที่หมวกเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์บอกว่าเป็นทหารหน่วยเดียวกัน ซึ่งปกติจะไม่ติดมีการติดในวันที่ 19 พ.ค.วันเดียว สำหรับในหน่วย 9 นายที่พยานอยู่นั้นพยานทำหน้าที่เป็นพนักงานวิทยุ
บนรางรถไฟฟ้าไม่มีการยิงปะทะกันเนื่องจากไม่มีใครอยู่บนรางนั้น ส่วนกรณีชายเสื้อขาวสวมหมวกไหมพรมนั้นถืออาวุธ M16 ในท่าเล็งมาทางรางรถไฟฟ้า ระยะห่างจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 50 เมตร นอกจากคนนั้นแล้วไม่พบคนอื่นอยู่บริเวณนั้น โดยขณะที่พยานเห็นบุคคลดังกล่าวไม่มีการยิง แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่ามีการยิงขึ้นมาหรือไม่ ระหว่างที่อยู่หน้าวัดปทุมไม่เห็นและไม่ได้ยินทหารในชุดของพยานยิงปืน ในระหว่างที่เดินตรวจการนั้นเห็นประชาชนเดินในวัดปทุมฯ ตัวพยานนั้นไม่ถูกใครยิงปืนใส่และไม่ได้รับบาดเจ็บ
Edited by Stargate-1, 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556 - 11:15.