ผมว่าคนคิดพาดหัวไทยโพสต์เนี่ย...ถ้าไม่ฮาเอามากๆก็ต้องเกลียดรัฐบาลนี้มาก แต่ละหัว-แสบๆทั้งนั้น
แล้วดูเนื้อในข่าวด้วยนะ ยิ่งอ่านยิ่งฮา
แรด!ภัยมั่นคงนายกฯ รับเป็นคดีพิเศษ‘ธาริต’ขู่ฟัน โพสต์-แชร์ตัดต่อ‘ปู’ชมสัตว์
http://www.thaipost....ws/150813/77836
“เกสตาโป” อายม้วนเมื่อเจอ “ดีเอสไอ” ธาริตรับคดีทนายแดงฟ้องมัลลิกาโพสต์ภาพ “ยิ่งลักษณ์” ถ่ายกับป้าย “เสือ-สิงห์-กระทิง” ที่กุยบุรีเป็นคดีพิเศษ เตรียมล่าทั้งผู้โพสต์-แชร์ ยกเว้นพวกกดไลค์ อ้างปูเป็นประมุขประเทศ ปล่อยผ่านไม่ได้ “ติ่ง” ลั่นไม่กลัว เตรียมย้อนศรกรณีโอ๊ค “พิสิษฐ์” เมินเสียงค้าน เดินหน้าสอบไลน์ ยกต่างชาติก็ทำ “อดุลย์” เริ่มเสียงอ่อน ต้องดูช่องกฎหมาย “กลุ่มกรีน” ยื่น กสม.สอบละเมิดสิทธิ์
เมื่อวันพุธ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์ให้สอบสวนและดำเนินคดีอาญากับ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กรณีโพสต์รูปถ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และได้ยืนถ่ายภาพคู่ป้ายจุดชมช้างป่า กระทิง เมื่อวันที่ 8 ส.ค.
โดยนายวิญญัติระบุว่า ภาพในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ของ น.ส.มัลลิกา มีการตัดต่อภาพ โดยคำว่า “จุดชมช้างป่า กระทิง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี” เป็นคำว่า เสือ สิงห์ กระทิง และมีภาพนายกฯ ยืนต่อจากคำว่ากระทิง ซึ่งเป็นข้อความที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงความจริง การกระทำของ น.ส.มัลลิกา จึงเป็นการกระทำที่นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ และสร้างความเสียหายกับนายกฯ ที่เป็นผู้นำประเทศ เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 40 (1) (5) และอาจเข้าข่ายมาตรา 16 ที่ระบุว่า ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้าง ตัดต่อ ดัดแปลงด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีอื่นใดที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เมื่อถามว่า ทำไมผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษไม่ไปร้องทุกข์กับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) นายวิญญัติแจงว่า นายกฯ เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในประเทศ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานในอำนาจดีเอสไอ และมีศักยภาพสามารถดำเนินการได้ ซึ่งนอกจาก น.ส.มัลลิกาแล้ว หากดีเอสไอตรวจสอบพบว่ามีใครเป็นผู้กระทำตัดต่อภาพ ก็ขอให้ดำเนินคดีด้วย แต่คงไม่ไปเอาผิดถึงผู้ที่กดไลค์ หรือแสดงความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นการกีดกันประชาชน ส่วนคนที่กดแชร์ภาพนั้น ขอให้ดีเอสไอตรวจสอบทั้งหมดด้วย
ขณะที่นายธาริตตอบรับทันทีว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวกับผู้นำประเทศ ดังนั้นได้สั่งให้รับเป็นคดีคดีพิเศษทันที ไม่ต้องเข้าที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นความผิด พ.ร.บ.แนบท้ายการสอบสวนคดีพิเศษ เพราะบุคคลในภาพเป็นถึงนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อหรือโพสต์เอง ถือว่ามีความผิดตามข้อกฎหมายชัดเจน ซึ่งดีเอสไอจะเริ่มสอบสวนตั้งแต่ น.ส.มัลลิกาเป็นต้นไป และจะมอบหมายให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะเพื่อเดินหน้าคดีดังกล่าวทันที โดยจะเร่งทำความจริงให้ปรากฏและพิสูจน์ความถูกผิด
ยกปูประมุขประเทศ!
“ดีเอสไอเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการรักษาบ้านเมืองก็ต้องทำหน้าที่ และยืนยันว่าดีเอสไอไม่ได้รับใช้การเมือง แต่ว่าประมุขของประเทศในฐานะนายกฯ ถูกกระทำเช่นนี้ ซึ่งมีความผิดชัดเจน ดีเอสไอก็ต้องรีบดำเนินการและให้ความสำคัญกับคดีนี้มากกว่าปกติ” นายธาริตแถลง โดยหลังจบการแถลงข่าวนายธาริตได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ยุทธนาสอบปากคำนายวิญญัติในฐานะผู้ร้องทันที
ด้าน น.ส.มัลลิกา กล่าวหลังทราบเรื่องว่า ไม่รู้สึกกังวล เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ภาพที่เอามาโพสต์ไม่ได้ตัดต่อขึ้นมาเอง แต่มีการโพสต์และแชร์จากเฟซบุ๊กคนอื่น ซึ่งพอทราบว่าเป็นรูปที่ตัดต่อขึ้นมาก็ได้ขอโทษ และนำภาพจริงมาเปรียบเทียบกับภาพตัดต่อเพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิด แต่การที่นายธาริตบอกว่าได้สั่งการให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษทันทีนั้น อยากถามว่า 1.นายธาริตแม้จะเป็นเลขาธิการคณะกรรมการคดีพิเศษ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจรับคดีพิเศษ โดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ซึ่งถือเป็นความผิด 2.หากคณะกรรมการฯ รับเป็นคดีพิเศษแล้ว อยากทราบเหตุผลที่รับเป็นคดีพิเศษ
“3.หากรับเป็นคดีพิเศษ ดิฉันก็จะใช้คดีนี้เป็นหอกแทงกลับไปยังนายธาริต เพราะการกระทำของดิฉัน เทียบเคียงได้กับกรณีการโพสต์รูปตัดต่อของนายพานทองแท้ ชินวัตร ที่โพสต์รูปการจัดทอล์กโชว์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีพื้นหลังคำว่า กรรเชียงปู เป็นคำว่าห้ามตะโกนในโรงหนัง ห้ามใช้เสียงในระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นการกระทำลักษณะเดียวกัน ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ดังนั้นหากกรณีนี้มีความผิดโทษรุนแรง นายธาริตก็ต้องดำเนินการกับนายพานทองแท้ด้วย หากไม่ดำเนินการก็จะเป็นการกระทำสองมาตรฐาน” น.ส.มัลลิกากล่าว
สำหรับกรณีการตรวจสอบแอพพลิเคชั่นไลน์นั้น พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผบก.ปอท. ยืนยันว่า ได้ติดต่อกับบริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น แล้ว โดยจะขอตรวจสอบข้อความที่อาจเข้าตามเงื่อนไข ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุการออกมาปฏิเสธจากบริษัทไลน์ แต่หลังจากนี้ ปอท.จะประสานไปอย่างต่อเนื่อง ต้องเดินหน้าต่อ ซึ่งในไทยมีคนใช้โปรแกรมไลน์กว่า 15 ล้านคน ส่วนเฟซบุ๊กนั้นมีถึง 20 ล้านคน โดย ปอท.ไม่ได้ตรวจสอบโปรแกรมไลน์เพียงอย่างเดียว แต่รวมโซเชียลเน็ตเวิร์กในภาพรวม โดยการกระทำความผิดตั้งไว้ 3 เงื่อนไขหลัก คือ 1.ความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและประเทศชาติ 2.ความผิดที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน 3.ความผิดที่กระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
อ้างนานาชาติก็ทำ
พล.ต.ต.พิสิษฐ์กล่าวอีกว่า ในระดับนานาชาติ หรือในการประชุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของตำรวจสากล ตัวเเทนทุกประเทศมีความเห็นตรงกันว่า เรื่องภัยทางโลกอินเทอร์เน็ตหรือทางแอพพลิเคชั่นเป็นเรื่องหลัก เนื่องจากพบว่าในช่วงหลังมีแนวโน้มมีความผิดมากขึ้น อย่างการค้าอาวุธปืนเถื่อน ยาเสพติด การพนัน รวมถึงการค้าประเวณี ซึ่งขอยืนยันว่าการดำเนินการของ ปอท.จะยึดตามมาตรา 18 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เป็นหลัก ตำรวจจะไม่ดักฟังข้อมูลโดยพลการ ต้องได้รับความยินยอมจากโอเปอเรเตอร์ตามคำสั่งศาล เจ้าหน้าที่ต้องส่งหลักฐานเเละคำร้องต่อศาล เพื่อขออนุมัติตรวจสอบรายกรณี เเละจะเน้นการตรวจสอบกรณีที่มีเเนวโน้มกระทำความผิด โดย ปอท.จะดำเนินการรายกรณีตามเงื่อนไขที่ศาลระบุ
“ทุกประเทศเจอปัญหาการให้ความร่วมมือของผู้ให้บริการโปรเเกรมเหล่านี้ เเม้มีหมายศาลไทยเพื่อขอความร่วมมือก็ตาม เพราะผู้ให้บริการทุกรายไม่ให้ข้อมูลโดยอ้างสิทธิส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ แต่เรื่องนี้เราจะต้องดำเนินการต่อ ส่วนจะขยายผลการตรวจสอบไปยังแอพพลิเคชั่นแชตอื่นๆ หรือไม่ กำลังพิจารณาอยู่” พล.ต.ต.พิสิษฐ์กล่าว
ส่วน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. กล่าวเช่นกันว่า ได้คุยกับ บก.ปอท.แล้ว โดยหลักคือต้องไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เรื่องส่วนตัวเราไม่เข้าไป เราคำนึงถึงความมั่นคงมากกว่า เรื่องที่กระทบต่อความมั่นคง เช่น การปล่อยข่าวลือ เราไม่ได้จะเข้าตรวจสอบทุกรายทุกคน จะเข้าตรวจสอบเฉพาะรายกรณีที่พบพฤติกรรม แต่ทำภายใต้กรอบกฎหมายแน่นอน แต่ขอตรวจสอบอีกครั้งว่ามีข้อกฎหมายใดที่ใช้ได้กับตรงนี้หรือไม่
"ประชาชนทั่วไปยังสามารถใช้ไลน์ในการสื่อสารได้ปกติ หากตำรวจจะเข้าตรวจสอบผู้ใด ก็จะทำภายใต้กรอบกฎหมาย เพราะตำรวจก็ใช้ไลน์ในการสื่อสารเหมือนกัน การตรวจสอบใดๆ ต้องดูว่ากฎหมายให้อำนาจหรือไม่" ผบ.ตร.ระบุ
ซัดพฤติกรรมตรงข้าม ปชต.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวในเรื่องนี้ว่า รู้สึกงงว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆ เป็นอะไรกับปัญหาพื้นที่การใช้สื่อ และพยายามควบคุม ซึ่งไม่สอดคล้องกับการอวดอ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย กำลังทำตัวสวนทางกับหลักการ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบ หรือหลักเรื่องความโปร่งใส หลักความรับผิดชอบ ซึ่งต้องเรียกร้องรัฐบาลว่าในขณะพยายามไปอวดอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น ทำไมไม่เคารพหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน การแสดงออก การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง และการมีพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายที่จะแสดงออก
“ที่ ปอท.อ้างว่าการตรวจไลน์ เพราะจะใช้ไลน์ส่งข้อความเกี่ยวกับการก่อการร้าย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตรวจสอบเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ รวมทั้งแอบฟังคนคุยกันด้วย ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านเมืองในภาพรวมก็สงบเรียบร้อยดี ถ้ารัฐบาลไม่สร้างความขัดแย้งขึ้นมา ทั้งนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าบริษัทไลน์คงไม่ยอมให้ตรวจสอบ เพราะเขามีหน้าที่ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้” นายอภิสิทธิ์ระบุ
วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ ผู้ช่วยประสานงานกลุ่มกรีน ได้ยื่นหนังสือต่อกรรมการสิทธิฯ ผ่าน น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิพลเมือง สิทธิการเมือง เพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและการสื่อสาร จากกรณี ปอท.จะตรวจสอบผู้ใช้บริการไลน์ และเฟซบุ๊กที่มีการกดไลค์ กดแชร์ เพราะเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อแทรกแซง หรือปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นการสื่อสารของประชาชน
นพ.นิรันดร์กล่าวว่า โดยหลักการแล้ว การบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 ต้องยึดโยงกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 , มาตรา 27, มาตรา 36 และมาตรา 45 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้บุคคลมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสื่อสาร แต่สังคมไทยมองความเห็นต่างเป็นศัตรู ตีความความมั่นคงของรัฐเป็นความมั่นคงของรัฐบาล ซึ่งระบบประชาธิปไตยต้องยอมรับความเห็นต่างที่หลากหลาย ถ้าเราไม่ยอมรับสังคมไทยจะตกอยู่ในยุคอำนาจมืด อำนาจเถื่อน
“การที่ ปอท.จะให้ใช้กฎหมายคอมพิวเตอร์มาดำเนินการนั้น ต้องระวังไม่ให้ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 36 และต้องระมัดระวังไม่ให้ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การบังคับใช้กฎหมายต้องยึดหลักกฎหมายที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ เป็นห่วงเรื่องนี้ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์หน้า กสม.จะเรียก พล.ต.ต.พิสิษฐ์มาให้คำชี้แจงต่อกรณีดังกล่าว” นพ.นิรันดร์ระบุ.
Edited by ผึ้งน้อย For Vendetta, 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556 - 03:07.