http://www.manager.c...D=9560000102489
ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยัน “นิยามหนี้ครัวเรือน” หมายถึง สินเชื่อที่ปล่อยให้บุคคลธรรมดา และกิจการขนาดเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งเป็นนิยามเดิมที่ ธปท.ใช้ และเป็นนิยามเหมือนกับในต่างประเทศ ยอมรับตัวเลขพุ่งขึ้น 80% น่าตระหนก แต่ยังไม่ใช้ยาแรงคุม เพราะอาจกระทบ ศก. ชะลอตัวหนัก เตือนหากแตะ 85% ของจีดีพีอาจซ้ำรอยวิกฤต “ซับไพรม์” ในสหรัฐฯ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาตำหนิคำนิยามหนี้ครัวเรือนในงานวิจัยของ ธปท. ไม่เป็นสากล โดยยืนยันว่า นิยามหนี้ครัวเรือนของ ธปท. คือสินเชื่อที่ปล่อยให้บุคคลธรรมดา และกิจการขนาดเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งเป็นนิยามเดิมที่ ธปท.ใช้ และเป็นนิยามเหมือนกับในต่างประเทศ
ทั้งนี้ ประเด็นที่ ธปท. เป็นห่วงคือ การเร่งตัวของหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากร้อยละ 50 ของจีดีพี เป็นร้อยละ 80 ของจีดีพี หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท จากมูลค่าจีดีพี 10 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน โดยประมาณร้อยละ 2 เป็นสินเชื่อเพื่อธุรกิจ สินเชื่อการค้า ซึ่งเมื่อลบส่วนนี้ออกไปสัดส่วนหนี้ครัวเรือนยังสูงอยู่ถึงร้อยละ 78 ที่มาจากสินเชื่อบ้าน รถยนต์ และอุปโภคบริโภค
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ พบว่า หนี้ครัวเรือนเร่งตัวสูงกว่ารายได้มาก และเกรงว่าจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ให้ลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้เฝ้าระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่เป็นปัญหาที่รุนแรงจนถึงขั้นที่ ธปท. ต้องออกมาตรการพิเศษมาดูแลหนี้ครัวเรือน
“การออกมาตรการจะต้องมีความระมัดระวัง เพราะอาจกระทบให้เศรษฐกิจภาพรวมยิ่งชะลอตัวลงแรง หากมีการใช้มาตรการแรงเกินไป เพราะในขณะนี้การอุปโภคบริโภคชะลอตัวลงมาก ซึ่งเป็นการปรับตัวของประชาชนที่ระมัดระวังการใช้จ่ายหลังจากที่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ ธปท. ได้ให้ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือ ศคง. รณรงค์ผ่านสื่อให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่าย อย่าก่อหนี้สูงเกินตัว และรู้จักเก็บออม ผ่านโครงการ รู้จักแบ่ง ก็ไม่ต้องแบกหนี้ เพื่อป้องกันปัญหาก่อนเกิดวิกฤต เพราะหากปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้นจนถึงร้อยละ 85 ของจีดีพี อาจจะเกิดปัญหาเหมือนที่สหรัฐฯ มีปัญหาหนี้ครัวเรือนจนเกิดวิกฤต เพราะไม่สามารถขายสินทรัพย์ เช่น บ้าน และรถยนต์เพื่อเสริมสภาพคล่องได้ เพราะทรัพย์สินเหล่านี้ราคาตก ขายไม่ออก
นายประสาร ยอมรับว่า การดูแลเศรษฐกิจจำเป็นต้องสร้างความสมดุลใน 3 ด้าน คือ หนี้ภาคธุรกิจ หนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน ซึ่งขณะนี้หนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ในระบบทั้งหมด 8 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้ในระบบสถาบันการเงินราว 3.8 ล้านล้านบาท หนี้กับธนาคารเฉพาะกิจอยู่ 2 ล้านล้านบาท หนี้ในระบบสหกรณ์ 1 ล้านล้านบาท หนี้ในระบบ non-bank และอื่นๆ อีก 1 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้ที่ ธปท.ดูแลมีเพียงหนี้ในระบบสถาบันการเงินเท่านั้น ยังมีหนี้ส่วนอื่นยังอยู่นอกเหนืออำนาจของ ธปท.กระจายอยู่หลายกลุ่ม
ดังนั้น จึงต้องอยู่ในความไม่ประมาท และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลในส่วนนี้ ส่วนหนี้สาธารณะที่มีอยู่ในระดับร้อยละ 44 ของจีดีพี ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ เช่นเดียวกับหนี้ภาคเอกชนที่ระดับหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับ 2 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าช่วงปี 2540 ที่สูงถึง 8-9 เท่า ซึ่งไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
*************************************************************************
ข่าวก่อนหน้านี้ทคือนางโต้งเจ้าน้ำตาผู้มาจากตลาดทุน บังอาจไปตำหนินิยามหนี้ครัวเรือนของธปท. ผู้เชี่ยวชาญตลาดเงินโดยเฉพาะ
ใหญ่คับฟ้ามากเลยนะโต้ง
http://www.manager.c...D=9560000102390
“กิตติรัตน์” ฉุน ธปท. ออกบทวิจัย “หนี้ครัวเรือนพุ่ง” อัดใช้คำนิยามผิดหลักสากล
“กิตติรัตน์” ฉุน ธปท. ออกบทวิจัย “หนี้ครัวเรือนพุ่ง” ชี้ชัดผิดตั้งแต่ต้นเพราะใช้คำนิยามผิดจากหลักสากล แนะให้กลับไปศึกษาบทวิเคราะห์หน่วยงานอื่นเทียบเคียง หวั่นถ้าเอาจีดีพีไปเทียบเคียงกับประเทศอื่นอาจจะเกิดข้อผิดพลาด และเกิดความกังวล ลั่นสถาบันการเงินต่างๆ ล้วนทราบดี
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกบทความเชิงวิจัย โดยวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน โดยระบุว่ามาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ดอกเบี้ยต่ำ นโยบายรัฐ และการแข่งขันของสถาบันการเงิน โดยระบุว่า ในความเห็นส่วนตัวยืนยันว่าการนิยามคำว่าหนี้ครัวเรือนของ ธปท.ผิดตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้ เนื่องจากคำว่าหนี้ครัวเรือนที่สากลใช้กันนั้น ส่วนใหญ่จะหมายถึงหนี้ที่เกิดจากบุคคลธรรมดาที่มีความสามารถในการก่อหนี้เพื่อลงทุนในทรัพย์สินที่มีความจำเป็น และเป็นประโยชน์ในระยะยาว เช่น การซื้อบ้าน รถยนต์ หรือการดูแลคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น ขณะที่ประชาชนที่มีวัตถุประสงค์ในการกู้เพื่อนำไปประกอบกิจการ ต้องมีการนิยามหนี้ในกลุ่มนี้ใหม่ว่า เป็นสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจมากกว่า
“ผมเชื่อว่าสถาบันการเงินต่างๆ ทราบดีว่า การกู้จากประชาชนกลุ่มนี้ไม่ใช่หนี้ครัวเรือน เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อให้เพื่อไปประกอบธุรกิจ และสุดท้ายก็จะมีเงินมาใช้คืนหนี้ และในส่วนของ ธปท.เอง เมื่อมันไม่ถูกมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น ในแง่การวิจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเอาจีดีพีไปคำนวณเปรียบเทียบกับอัตราหนี้ครัวเรือนของประเทศอื่น ก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาด และเกิดความกังวล เพราะต้องเข้าใจด้วยว่ายังมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่จะวิเคราะห์ได้”
นายกิตติรัตน์ ยืนยันว่า ตนเองไม่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบทวิเคราะห์ของ ธปท. จนอาจจะทำให้เกิดการขาดความเป็นประโยชน์ แต่อยากให้ไปดูบทวิเคราะห์ของสถาบันต่างๆ และนำไปศึกษาเปรียบเทียบกับมาตรฐานของหน่วยงานอื่นๆ ด้วย ทั้งหน่วยงานด้านสถิติต่างๆ เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมไปถึงหน่วยงานในระดับสากลอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่มีการกำหนดคำนิยามของคำว่าหนี้ครัวเรือนไว้อย่างชัดเจน
ส่วนการพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรได้ภายในเดือน ส.ค.นี้ โดยเชื่อมั่นว่า กฎหมายกู้เงินดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบของที่ประชุม และสามารถผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการได้ทันที