Jump to content


Photo
- - - - -

"งบลงทุน" 2 ล้านล้านบาท ที่แยกจาก "งบรายจ่ายประจำปี" 2.2 ล้านล้านบาท พท.ไปเอามาจากไหน

งบลงทุน

  • Please log in to reply
15 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 08:31

คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ บอกว่า งบประมาณสมัยก่อนเราทำผิด เราจะปฏิรูปงบประมาณรายจ่ายของเราให้เป็นแบบสากล เราจะต้องแยกกันคือ "งบรายจ่ายประจำ" กับ "งบลงทุน" โดยงบลงทุนจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 

           1. ให้ประชาชนใช้ฟรี เช่น ถนนหนทาง เราจะตัดออกเป็นค่าใช้จ่าย 30 ปี แล้วรัฐบาลให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรให้ธนาคารแห่งประเทศไทย แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยก็ให้เงินรัฐบาลมาใช้

          สมมุติงบประมาณปี 2551 นี้ มี 1.65 ล้านล้านบาท 450,000 ล้านบาท เป็นงบลงทุน เราจะตัดจ่าย 30 ปี แบ่งเป็นปีละ 15,000 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย แทนที่จะจ่าย 450,000 ล้านบาท ก็จ่ายปีละ 15,000 ล้านบาท 

           2. สิ่งที่เราทำเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในราคาถูก เช่น รถไฟฟ้า 10 สาย ต้องใช้เงินประมาณ 6 แสนล้านบาท เราคิดว่าคืนทุนภายใน 30 ปี เราก็จะออกพันธบัตรไว้ 40 ปี คือเผื่อไว้ติดขัดอะไรเล็กน้อย แล้วเมื่อเก็บเงินค่าเดินทางเข้ามาได้ก็เอามาคืน

          ดังนั้นเราจะมีเงินเหลืออีก 450,000 ล้านบาท เราก็นำไปขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เพราะเมกะโปรเจคท์ หรือการประกันราคาพืชผล เราต้องใช้เงินมหาศาล ถ้าเจ้าหน้าที่ทุจริตโครงการเหล่านี้ก็พังพินาศหมด ต้องป้องกันปราบปรามการคอร์รัปชั่นให้ได้เด็ดขาด

          ดังนั้นเราต้องขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เพราะเงินเดือนข้าราชการขั้นต่ำแค่ 7,000 บาท มันอยู่ไม่ได้ ก็ปรับฐานให้เป็น 12,000 บาท ให้เท่ากับเอกชน ทุกคนก็อยู่ได้ เรื่องคอร์รัปชั่นก็เลิกคิดกัน

          ถ้าเราเก็บรายรับมากกว่ารายจ่าย 10% เราจะนำรายรับที่เกินมาไปจ่ายโบนัสให้กับรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ หากทำให้รายได้ของรัฐบาลมากกว่ารายจ่าย ทุกคนจะได้มีกำลังใจในการทำงานราชการ บริการประชาชนเต็มที่เพื่อให้ได้รายรับเข้ามามากๆ เงินคงคลังจะสูง รัฐบาลก็จะแข็งแกร่ง ข้าราชการก็ไม่ต้องคอร์รัปชั่น และเราจะให้ข้าราชการพักหนี้ไว้ 10 ปี โดยทยอยจ่ายไปถ้าจ่ายเร็วก็กู้ใหม่ได้ จ่ายช้าก็กู้ใหม่ไม่ได้

          รถไฟฟ้าถ้าสร้างเสร็จ 10 สาย สิ่งปลูกสร้างต่างๆ จะตามมา รัฐบาลก็เก็บภาษีเพิ่มได้อีก ปีนี้เราจะเกินดุลอย่างน้อย 2-3 แสนล้านบาท ข้าราชการจะมีบ้านทุกคน โดยจะนำงบประมาณมาจากงบลงทุน เช่น รัฐบาลต้องสร้าง 1 แสนล้านบาท รัฐบาลก็ออกพันธบัตรมาและคิดว่าจะให้ข้าราชการผ่อน 15 ปี เราก็ออกพันธบัตรมา 20 ปี พอผ่อนมาก็คืนแบงก์ชาติไป ข้าราชการก็มีแรงส่ง เพราะมีเงินเดือนเพิ่มขึ้น ก็หักจากเงินเดือนไปทีละนิด

          อย่างบ้านหลังหนึ่งตก 1 ล้านบาทก็แบ่งไป 15 ปี ปีหนึ่งก็ตก 7-8 หมื่นบาท ผ่อนเดือนละ 4-5 พันบาท ข้าราชการยังจะมีเงินเหลือ เพราะเราขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการแล้ว

การออกพันธบัตรจะไม่มีปัญหาหรือ?

          พันธบัตรต้องมีทางคืนเงินได้ ไม่ใช่เอามาเพื่อชำระหนี้ของรัฐบาล มันใช้ไม่ได้

          พันธบัตรเหมือนเราไปกู้แบงก์ เราทำโครงการไปกู้แบงก์ก็ต้องทำความเป็นไปได้ของโครงการ ว่าจะสามารถคืนเงินได้ภายในกี่ปี พอทำไปถ้าทุกอย่างลงตัวก็กู้ได้ ไม่เสียวินัยทางการเงินการคลัง

          ถ้ากู้ไปแล้วคืนไม่ได้ก็ส่งผลเสีย แต่ถ้าอะไรที่ให้ประชาชนใช้ฟรีก็แปลว่าต่อไปอีก 30 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะต้องเอางบประมาณมาชำระตรงนี้ให้ได้ เพราะเป็นการบริการฟรีให้ประชาชน เพราะเราถือว่าเราได้เงินภาษีจากประชาชน ก็เอาเงินภาษีมาคืนตรงนี้

 

matchima_chart_3.jpg


Edited by Stargate-1, 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 17:42.

Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#2 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 09:09

“คำนูณ” ถามรัฐบาลกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ทำไมไม่ทำเป็น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งตรวจสอบได้เข้มข้นกว่า        
              
      นายคำนูณกล่าวถึง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ว่า โครงการการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานครั้งนี้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4.24 ล้านล้านบาท โดยแยกอยู่ในร่าง พ.ร.บ.กู้เงินประมาณ 2 ล้านล้านบาท ส่วนอีก 2.2 ล้านล้านบาท จะกระจายอยู่ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นโครงการของหน่วยงานต่างๆ ปัญหา คือ โครงการใหญ่ขนาดนี้มันไม่ได้ใช้งบหมดภายในทีเดียว สามารถที่จะตั้งเป็น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งงบประมาณประจำปีนี้กระบวนการทำงานจะทำเกือบทั้งปีโดยข้าราชการประจำ สำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ฯ แล้วก็ผ่าน 2 สภา โดยในชั้นสภาผู้แทนราษฎรสามารถแปรญัตติตัดงบได้ การตรวจสอบจะเข้มข้นกว่า แต่การใช้เงินนอกงบประมาณมันมีแต่ราคากลมๆมา เป็นต้นว่า 2.2 ล้านล้านบาท มาจากไหน ไม่มีรายละเอียดเพราะโครงการยังไม่เกิด การตรวจสอบก็ทำได้น้อย
       
       แล้วงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้นเปรียบเสมือนการดูงบดุลของประเทศในแต่ละปี สามารถดูฐานะประเทศได้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าเรามีเงินนอกงบประมาณเขาก็จะบอกว่าให้ยกเว้นไม่ต้องส่งคลัง เท่ากับว่าเราดูสถานะประเทศเฉพาะในงบไม่ได้แล้ว เพราะยังมีหนี้ก้อนอื่นอีก
       
       โครงการนี้จะยิ่งสับสนกันไปใหญ่เพราะมันไม่ใช่แค่ 2.2 ล้านล้านบาท แต่มันเป็น 4.2 ล้านล้านบาท ระบบเลยกลายเป็นสองระบบ การที่ดูสถานะของประเทศจะดูไม่ออก เราก็วิเคราะห์ไม่ได้ว่าควรทำไม่ทำอะไรอย่างไร เป็นต้นว่าการลงทุนเยอะขนาดนี้ทำไมไม่คิดถึงรายได้ของประเทศ ทำไมไม่เอามาใส่ในร่างงบประมาณประจำปี โดยการตรวจสอบทำได้เป็นไปตามปกติ แล้วทำให้เห็นภาพรวมของประเทศ ทำไมต้องแยกเป็นเงินนอกงบประมาณ ทำให้ประเทศมีสองระบบขึ้นมาทันที


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#3 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 09:13

ที่หน้าด้านไปกว่านั้น

 

ยังมีหน้ามาคุยอีกว่า ทำงบประมาณขาดดุลย์น้อยกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์

 

:lol: 



#4 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 10:19

คลิป “ระบบนิติรัฐกับทางออก...ของประเทศไทย”

 

 

169 เขียนว่าอย่างไร  การจ่ายเงินแผ่นดิน  จะกระทำได้ ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฏหมาย..... 4 กฏหมายเท่านั้น.... นาทีที่ 8:06

 

... เงินกู้ตามนี้ มิให้ถือว่าเป็นเงินแผ่นดิน ... นาทีที่ 8:56

 

"ไม่ใช่เงินแผ่นดิน แล้วเงินพ่อเงินแม่*คุณ*เหรอ" นาทีที่ 9:12


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#5 แม้ว ม.7

แม้ว ม.7

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,237 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:29

ที่หน้าด้านไปกว่านั้น

 

ยังมีหน้ามาคุยอีกว่า ทำงบประมาณขาดดุลย์น้อยกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์

 

:lol: 

 

บอกว่าของแพงคิดไปเองก็ทำมาแล้ว บอกว่าเสื้อแดงไม่ได้เผาก็ทำมาแล้ว

 

แค่โกหกแค่นี้เด็กๆ


พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูดตัดพ้อกับคนที่เดินทางไปพบว่า “พรรคเพื่อไทยมีคนเก่งๆ เยอะ ทั้งนักวิชาการ ด็อกเตอร์ ทูต แต่ไม่กล้าออกมาสู้ คนหน้าตาดีไม่ออกมา พวกที่ออกมาหน้าตาไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายตรงข้าม คนมีความรู้ นักวิชาการออกมาเยอะแยะเลย คนจริงใจกับผมมันน้อย วางยาผม เพราะตัวเองอยากอยู่นานๆ เห็นว่านายกฯ ไม่แข็ง แต่ท่านนายกฯ ก็ดี แต่คนรอบข้างไม่เป็นการเมือง ผมส่งคนเป็นการเมืองไปนายกฯ ก็ไม่เอา ผมก็สงสารนายกฯ จึงไม่อยากจู้จี้ แต่คนที่เมืองไทยมันไม่ได้ดั่งใจ” 

http://astv.mobi/AlgEYM7

แปลสั้นๆ เขาด่าไอ้เสร่อแกนนำแดงว่า"โง่แต่ขยัน"


#6 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 16:10

 นักวิชาการชำแหละเงินกู้ 2 ล้านล้าน

    นายบรรเจิด กล่าวว่า พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท เนื้อหากระบวนการต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมีความเป็นไปได้ที่ ส.ส. 1 ใน 10 จะเข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะมาตรา 6 ระบุว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดใช้ปกครองประเทศบรรดากฎหมายทั้งหลายจะขัดไม่ได้ตรงนี้คือฐานแม่บท ขณะที่มาตรา 3 บอกว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยวรรค 2 ระบุคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และองค์กรอิสระต้องปฎิบัติเป็นไปตามหลักนิติธรรมที่เป็นหลักของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมองได้ว่า พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทขัดรัฐธรรมนูญมีอยู่จำนวน 4- 5 เรื่อง เช่น ในมาตรา 169 การใช้จ่ายเงินแผ่นดินจะทำได้ที่อนุญาตไว้ต้องเป็นเงินงบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับการเงิน การโอนงบประมาณที่เป็นเงินคงคลัง เว้นแต่เป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายไปก่อนย่อมทำได้แต่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติเอาไว้ เช่น การออก พ.ร.ก.กฎหมายกู้ยืมเงิน จึงจะเป็นข้อยกเว้น โดยที่รัฐบาลต้องไปทำรายจ่ายเพื่อข้อยกเว้นเงินคงคลัง แต่กรณี 2 ล้านล้านบาทไม่ใช่การตราพระราชกำหนดเป็นการตราพระราชบัญญัติทั่วไป จึงมีประเด็นว่า เป็นเงินแผ่นดินหรือไม่

      "ผมมองว่า พ.ร.บ.นี้ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เรียนว่า เงินเหล่านี้ถ้าไม่ใช่เงินแผ่นดิน มันยกเว้นกฎหมายหมดเลย แล้วสินทรัพย์ที่ได้มา กระบวนการจัดซื้อ จัดจ้าง ระเบียบพัสดุทั้งหลายทั้งปวง โครงการเหล่านี้ถ้าเป็นเงินของแผ่นดินแล้วมันก็จะตกเป็นของแผ่นดินไปหมด ดังนั้นกระบวนการทุกอย่างต้องมีด้วย ส่วนเนื้อหาในเชิงกฎหมายรัฐธรรมนูญเขียนไว้ ถ้ากฎหมายไปกระทบอะไรต่างๆการไปใช้อำนาจของรัฐจัดการดำเนินการต้องเป็นไปตามหลักความจำเป็นที่เขียนไว้ในมาตรา 29 วรรคแรกของรัฐธรรมนูญไทย ที่รัฐต้องใช้อำนาจให้พอแก่เหตุถ้ามีผลไปกระทบกับประชาชนให้เลือกแนวทางอื่นถ้ามีอยู่ด้วยการพิจารณาผลประโยชน์ที่เกิดกับสาธารณะกับประชาชนได้ดุลยภาพกันหรือไม่ ถ้าประโยชน์ที่เกิดนิดเดียวกระทบกับประชาชนมากถือว่า ไม่ได้ดุลยภาพแสดงว่า กฎหมายฉบับนั้นไม่เป็นไปตามหลักความพอสมควรแก่เหตุ"นายบรรเจิด กล่าว

http://www.bangkokbi...ฅเน เธฒเธ .html


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#7 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 10:48

"มาเลเซียวางแผนใช้งบประมาณราว 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) ในการพัฒนาเครือข่ายทางรถไฟในอีก 7 ปีข้างหน้า  ที่รวมถึงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมระหว่างกรุงกัวลาลัมเปอร์และสิงคโปร์ ในปี 2020 และระบบรถไฟมวลชนในเขตเมืองภายในปี 2017"

 

เปรียบเทียบงบประมาณของมาเลเซีย กับของไทย ว่าใครโปร่งใสกว่ากัน

 

คลิป “ระบบนิติรัฐกับทางออก...ของประเทศไทย”

 

 

169 เขียนว่าอย่างไร  การจ่ายเงินแผ่นดิน  จะกระทำได้ ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฏหมาย..... 4 กฏหมายเท่านั้น.... นาทีที่ 8:06

 

... เงินกู้ตามนี้ มิให้ถือว่าเป็นเงินแผ่นดิน ... นาทีที่ 8:56

 

"ไม่ใช่เงินแผ่นดิน แล้วเงินพ่อเงินแม่*คุณ*เหรอ" นาทีที่ 9:12


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#8 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:28

ลาว’ตั้งเป้าเริ่มสร้าง‘ทางรถไฟไฮสปีด’เดือนสิงหาคมนี้

 

         ลาวมีความมุ่งหมายที่จะเริ่มการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงในประเทศของตนให้ได้ในเดือนสิงหาคมนี้ เส้นทางรถไฟดังกล่าวจะเริ่มจากพรมแดนภาคตะวันตกของลาวที่ติดต่อกับประเทศไทย ไปจนถึงชายแดนลาวติดต่อกับเวียดนาม อย่างไรก็ตาม บริษัทมาเลเซียซึ่งรับหน้าที่ก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ยังทำงานออกแบบโครงการไม่ทันเสร็จสิ้น อีกทั้งพวกเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจก็ยังไม่ได้เห็นรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องผ่านการอนุมัติ จึงจะสามารถเดินหน้าทำการก่อสร้างได้ 

 

"ญี่ปุ่น" กับโครงการ รถไฟฟ้าความเร็วสูง
 
updated: 10 ก.ย. 2556 เวลา 15:45:29 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คอลัมน์ เวทีอาเซียน
โดย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ

 

ปัจจุบันความต้องการในการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงกำลังเริ่มเป็นที่ต้องการอย่างสูงในระบบขนส่งมวลชนของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย อาทิ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย โดยระยะทางรวมของเส้นทางในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคมีระยะทางรวมถึง 10,000 กิโลเมตร

เมื่อเทียบแล้วระยะทางดังกล่าวถือว่ายาวกว่าเครือข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าภายในจีนที่ได้ก่อสร้างเสร็จไปแล้วและมีระยะทางเป็น 4 เท่าของเครือข่ายรถไฟฟ้าชินคันเซนในญี่ปุ่นซึ่งยาว 2,400 กิโลเมตร

ในปัจจุบันการแข่งขันประมูลโครงการระบบรถไฟฟ้ากำลังเป็นไปอย่างดุเดือด มีทั้งระบบรถไฟฟ้าชินคันเซนของญี่ปุ่น และระบบของคู่แข่งจากยุโรป จีน และเกาหลีใต้

ด้วยเหตุนี้เอง จึงได้มีบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟฟ้าหลายแห่งได้แข่งขันในการประมูลงาน อาทิ บ.Siemens ของเยอรมนี บ.Alstom ของฝรั่งเศส รวมถึงจีนซึ่งแสดงความมุ่งหวังที่จะได้รับสัมปทานการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเส้นทางจากคุนหมิง ในมณฑลยูนนานยาวไปจนถึงสิงคโปร์ (ผ่านไทย)

ในเบื้องต้นคาดว่าจีนจะได้รับสัมปทานการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้า เส้นทางคุนหมิง-เวียงจันทน์ จากรัฐบาล สปป.ลาว และคาดว่าจีนน่าจะให้ความสำคัญกับโครงการก่อสร้างเส้นทางกัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์ด้วยเช่นกัน โดยอาจร่วมมือกับบริษัทของมาเลเซียในการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว

แต่บริษัทผู้ร่วมประมูลที่น่าจับตามองมากที่สุดในการประมูลเส้นทางระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงครั้งนี้คือ บริษัทจากญี่ปุ่น โดยเป็นการรวมตัวของภาครัฐและภาคเอกชนญี่ปุ่น

นำโดย Japan Railway (JR) และบริษัทการค้าต่าง ๆ จุดแข็งของการนำเสนอโครงการ คือ การนำเสนอด้วยรูปแบบที่ควบคู่ไปกับความช่วยเหลือด้านเงินทุนจากองค์กรการเงินภาครัฐ

โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจ ได้แก่

1) เส้นทางกรุงกัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์ ระยะทางประมาณ 300 กม. ใช้เวลาเดินทาง 15 ชั่วโมง ทั้งสองประเทศได้กำหนดเป้าหมายที่จะเปิดเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงเส้นทางดังกล่าวในปี 2563 และคาดว่าจะมีการเริ่มประมูลผู้ก่อสร้างภายในปี 2556 โดยมีมูลค่าการก่อสร้างประมาณ 3 หมื่นล้านริงกิต (ประมาณ 9 แสนล้านเยน หรือ 2.7 แสนล้านบาท)

2) โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง 4 เส้นทางในไทย ซึ่งรัฐบาลไทยตั้งงบประมาณไว้ 2.5 ล้านเยน (7.8 แสนล้านบาท) โดยเส้นทางที่ญี่ปุ่นคาดหวังมากที่สุด ได้แก่ เส้นทางเชื่อมจากกรุงเทพฯ-นิคมอุตสาหกรรมใน จ.ระยอง ระยะทาง 250 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2562 และคาดว่าจะมีการประมูลเกิดขึ้นในปี 2557

3) เส้นทางเชื่อมรถไฟฟ้ามุมไบ-อาห์เมดาบาด และเส้นทางอื่น ๆ รวม 7 สายของอินเดีย ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นและอินเดียได้ตกลงที่จะสำรวจสร้างรถไฟฟ้าเชื่อมมุมไบ-อาห์เมดาบาดร่วมกันแล้ว และคาดว่าจะเริ่มการสำรวจในฤดูใบไม้ร่วงในปี 2556 นี้

4) เส้นทางรถไฟเชื่อมกรุงฮานอย-นครโฮจิมินห์ของเวียดนาม โดยปัจจุบันญี่ปุ่นได้ปรับแผนจากการสร้างระบบรถไฟระบบชินคันเซน เป็นระบบรถไฟกึ่งความเร็วสูง ซึ่งมีความเร็วช้ากว่าชินคันเซน ทั้งนี้คู่แข่งที่น่ากลัวของญี่ปุ่นในโครงการนี้ ได้แก่ เกาหลีใต้

5) เส้นทางรถไฟเชื่อม Surabaya-Bandung ของอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดของโครงการที่แน่ชัด

เส้นทางการเชื่อมเอเชียด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะมีส่วนเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของเอเชียและโลก เพราะจะทำให้ประชาชนเดินทางไปมาหาสู่ที่สะดวกขึ้น ขนส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น รวมทั้งมีส่วนกระตุ้นการท่องเที่ยวในเอเชียอีกด้วย


 

 

รถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย

 

พ.ศ. 2556 รัฐบาลไทยได้ยกร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินราว 2 ล้านล้านบาท สำหรับใช้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยโครงการรถไฟความเร็วสูงเป็นหนึ่งในโครงการที่ถูกบรรจุอยู่ในเนื้อหาของพรบ. โดยมีแนวทางที่รัฐบาลไทยจะเป็นเจ้าของระบบรางและให้สัมปทานการดำเนินงานแก่เอกชน วางแผนให้สามารถทำการประกวดราคาได้ภายในไตรมาส 1/2557

สายเหนือ (กรุงเทพ - เชียงใหม่)[แก้] สายตะวันออก (กรุงเทพ - ระยอง)[แก้] ระยะที่ 1 (กรุงเทพ - พัทยา)[แก้] สายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพ - หนองคาย)[แก้] ระยะที่ 1 (ภาชี - นครราชสีมา)[แก้]
  • ระยะทาง: 194 กิโลเมตร
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ: ภายใน พ.ศ. 2563
สายใต้ (กรุงเทพ - ปาดังเบซาร์)[แก้] ระยะที่ 1 (กรุงเทพ - หัวหิน)[แก้]
  • ระยะทาง: 225 กิโลเมตร
  • มูลค่าการลงทุน: ประมาณ 82,000 ล้านบาท
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ: ภายใน พ.ศ. 2562

 


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#9 ริวมะคุง

ริวมะคุง

    ห้ามให้อาหารสัตว์

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,577 posts

ตอบ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:32

2.2 นี่แหละที่จะทำให้รัฐวิสาหกิจอยู่ในมือมันอย่างสมบูรณ์


Posted Image

#10 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 16:38

'อภิสิทธิ์'ชี้เงินกู้2ล้านล้านเลี่ยงตรวจสอบ

"อภิสิทธิ์"ระบุเงินกู้ 2 ล้านล้าน หลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบ กังขารถไฟตกรางถี่ จงใจให้เงินกู้ผ่าน

        นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ที่จะเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรในสัปดาห์หน้าว่า รัฐบาลต้องการเร่งรัดเรื่องนี้โดยมีการเพิ่มวันประชุมในวันศุกร์ขึ้นมาอีก 1 วัน อย่างไรก็ตามร่างพ.ร.บ.นี้มีผู้สงวนคำแปรญัตติไว้จำนวนมาก แต่ก็เห็นว่ามีความพยายามในการที่จะปิดอภิปราย จะทำเช่นเดียวกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนเห็นว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะมันขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุม

        นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีกระบวนการที่จะบอกว่า หากเงินกู้ไม่ผ่านสภาฯก็จะเป็นปัญหา โดยเฉพาะการนำเงินไปปรับปรุงทางรถไฟใหม่ ซึ่งมีสื่อบางฉบับบอกว่า เงินกู้ไม่ผ่านรถไฟก็จะตกรางอีกมาก ตนขอชี้แจงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่โครงการรถไฟความเร็วสูง เพราะการปรับปรุงทางรถไฟใหม่หรือโครงการรถไฟรางคู่สามารถใช้งบประมาณปกติได้ไม่จำเป็นต้องกู้เงิน การที่พรรคฝ่ายค้านค้านกฎหมายฉบับนี้ เพราะเห็นว่า เป็นการหลีกเลี่ยงระบบการตรวจสอบกระบวนการจัดทำงบประมาณปกติ และหากไม่ผ่านแล้วรัฐบาลเสนอของบประมาณเพิ่มเพื่อโครงการปรับปรุงทางรถไฟนี้ ฝ่ายค้านก็จะสนับสนุนเต็มที่ ดังนั้นไม่ต้องมาเบี่ยงเบนประเด็นนำเรื่องรถไฟตกรางมาเป็นตัวประกันประเทศเพื่อกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท

        "ผมไม่ได้ปฏิเสธว่า โครงสร้างรถไฟเราชำรุดทรุดโทรมต้องมีการปรับเปลี่ยน และปัจจุบันรถไฟก็ตกรางมากขึ้น ดังนั้นก็ต้องตั้งคำถามว่าทำไมมันตกมากขึ้น และแต่ละครั้งมาจากสาเหตุใด ซึ่งขณะนี้การรถไฟเองก็กำลังมีโครงการซ่อมทางรถไฟอยู่ โดยรัฐบาลที่แล้วได้มีการอนุมติโครงการนี้แต่รัฐบาลชุดนี้กลับตัดงบประมาณแล้วนำไปวางในโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งผมกำลังจะบอกว่า จริงๆ ต้องกล่าวหารัฐบาลทำให้รถไฟตกรางใช่หรือไม่ เพราะว่าถ้าไม่มาหมกมุ่นกับเงินกู้นี้ ก็ควรจะเอาโครงการนี้ใส่ไปในงบประมาณปี 57 ตั้งแต่แรก แล้วก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว "นายอภิสิทธิ์ กล่าว


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#11 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 17:17

โครงการรถไฟสี่รางทางคู่

 

       ในขณะที่การพัฒนาถนนให้เป็น 4 เลน กำลังดำเนินการไปและคืบหน้าไปเรื่อย ๆ ผมไม่ลืมที่จะพัฒนาระบบรางรถไฟให้มันเป็นรางแบบ 4 รางทางคู่ (Double rail tracks) เพื่อควบคู่กับถนน 4 เลนไปในขณะเดียวกัน เมื่อสร้างถนน 4 เลน ให้รถยนต์วิ่งสวนกันได้สะดวกและปลอดภัยแล้วก็ควรจะสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่เพื่อให้รถไฟสามารถวิ่งสวนกันได้ด้วย ถ้าไม่พัฒนาหรือไม่สร้างรถไฟ 4 รางทางคู่ รถไฟก็จะ “ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ” เพราะมีรางคู่เดียว วิ่งสวนกันไม่ได้ ก็ต้องรอหลีก เสียเวลา

       อีกประการหนึ่ง ระบบรางรถไฟยังเป็นระบบการขนส่งที่ประหยัดกว่าการขนส่งทางรถยนต์ปลอดภัยกว่าระบบถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟคือพาหนะของคนชั้นรากหญ้าที่รัฐจะต้องโอบอุ้ม

       หลาย ๆ คนมักตำหนิว่ารถไฟไทยขาดทุน ผมเคยชี้แจงใน ครม . ว่าถ้าจะทำให้รถไฟไม่ขาดทุนนั้นไม่ยาก ถ้ารัฐบาลปล่อยให้ค่าขนส่ง ค่าโดยสารลอยตัวเมือไร เมื่อนั้นรถไฟไม่ขาดทุนแถมยังมีกำไรซะอีก แต่ถ้าทำอย่างนั้นเหมือนตัดขาคนชั้นรากหญ้า คนจนไปไหนมาไหนไม่ได้ ค่าโดยสารแพง รัฐบาลไหนๆ ในโลกยอมให้รถไฟขาดทุนเพื่อขนส่งคนจน สังเกตเห็นชัดเจนว่าคนเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ได้อาศัยรถไฟเป็นพาหนะ รัฐบาลชวน หลีกภัย จึงตัดสินใจสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่ไปทั่วประเทศเกือบ 3,000 กม.

 

winai_book13.jpg

รูปที่ 8 รูปวาดรถไฟ 4 ราง ทางคู่

winai_book14.jpg

รูปที่ 9 รูปวาดรถไฟ 4 ราง ทางคู่ (ไปทั่วทุกภูมิภาค)

        ผมทำเรื่องขออนุมัติ ครม. เพื่อสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่ ระยะทางเกือบ 3,000 กม. ตามเส้นทางหลักทั่วประเทศ เป็นงบประมาณ 80,000 บาท

ครม . ของรัฐบาลชวน 1 อนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการรถไฟ 4 รางทางคู่ได้ โดยในขั้นแรก (Phase ที่ 1) ท่านนายกชวน อนุมัติให้ก่อสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่ชานเมืองก่อนด้วยเม็ดเงิน 7,600 ล้านบาท เมื่อ Phase 1 เสร็จจึงจะดำเนิน Phase ต่อไปคือสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่ไป เหนือ ใต้ ออก ตก ทั่วประเทศ รถไฟ 4 รางทางคู่ชานเมืองนั้นหมายถึงสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่จากกรุงเทพ ฯ ไปภาคเหนือถึงลพบุรี ไปภาอีสานถึงสระบุรี ไปภาคตะวันออกถึงฉะเชิงเทรา และไปภาคใต้ถึงนครปฐม ซึ่งมีความหมายเป็นนัยๆ ว่า ลพบุรี สระบุรี ฉะเชิงเทรา และนครปฐม คือเมืองบริวารรอบๆ กรุงเทพ ฯ ระยะทางรถไฟชานเมือง 4 ทิศทางรวม 234 กม.

ท่านนายกชวน ท่านรองนายกบุญชู โรจนเสถียร และผมทำพิธีวางศิลาฤกษ์ตอกหมุดรถไฟ 4 รถไฟ 4 รางทางคู่โดยเริ่มก่อสร้างบริเวณเชิงสะพานพระราม 6 ผมยังมีรูปให้ดูเป็นอนุสรณ์

winai_book15.jpg

รูปที่ 10 รูปตอกหมุดรถไฟ 4 ราง ทางคู่

       การก่อสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2536 ขณะนี้ 2550 การสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่ชานเมืองทั้ง 4 ทิศทาง ( ลพบุรี สระบุรี ฉะเชิงเทรา และนครปฐม ) เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงแต่จัดขบวนรถไฟ Rolling Stock ชานเมืองมาวิ่งให้บริการ ผมก็ได้แต่รอการตัดสินใจของรัฐบาลหน้าหรือรัฐบาลหลังการปฏิวัติของ คมช. นั่นแหละครับ

       ผมเร่งรัดกวดขันการสร้างถนน 4 เลน และรถไฟ 4 รางทางคู่อย่างเอาจริงเอาจัง ไปไหนก็พูดแต่เรื่องนี้ด้วยเห็นว่าถ้าทำสำเร็จคนไทยจะได้ประโยชน์ จะส่งเสริมสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคม เรียกได้ว่าผมหายใจเป็นถนน 4 เลน และรถไฟ 4 รางทางคู่ ผมพูดจนติดปาก จนท่านรัฐมนตรีชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ท่านมักกระเซ้าผมเสมอว่า “ พี่วินัย ณ ถนน 4 เลน รถไฟ 4 รางทางคู่ ” อาจเป็นเพราะผมพูดถึงแต่เรื่องถนน 4 เลน และรถไฟ 4 รางทางคู่ซ้ำ ๆ เป็นแผ่นเสียงตกร่องนี่กระมัง

ระหว่างรถไฟ 4 รางทางคู่ดำเนินการก่อสร้างไป ผมไปไหน ๆ ก็มีบางท่านซักถามว่าจะสร้างรถไฟ 4 รางทางคู่ทั้งที น่าจะทำให้รางเป็นแบบมาตรฐาน ( รางกว้างแบบ 1.4 ม . ) การใช้รางแบบขนาด 1 เมตร เหมือนเดิมรถไฟวิ่งได้ช้าและโคลงเคลง

       คำถามซ้ำ ๆ ผมก็ต้องตอบซ้ำ ๆ อย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย เพื่อเจ้าของเงินภาษีจะได้เข้าใจ

 

เหตุผลที่ต้องสร้างรางรถไฟขนาด 1 เมตรเท่าเดิมเพราะ

  1. เพื่อประโยชน์ในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้รางขนาด 1 เมตรอยู่ อาทิเช่น พม่า เขมรมาเลเซีย และจีน 
  2. ถ้ายกเลิกใช้รางขนาด 1 เมตร แล้วสร้างขนาดมาตรฐาน 1.4 เมตร ซึ่งรางแบบใหม่นี้เมื่อปี พ . ศ . 2535 ราคาประมาณ 3 แสนล้านบาท หรือเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณแผ่นดินในช่วงปีนั้น 
  3. Rolling Stock รถจักร โบกี้ เก่าต้องทิ้งหมด แล้วซื้อ Rolling Stock ใหม่ เพื่อให้ใช้สำหรับรางขนาด 1.4 ม . ซึ่งราคาประเมินค่ามิได้ ข้อ 2 และ 3 นี้ บางประเทศ อย่างเช่นที่กล่าวขั้นต้น (As the developing countries) มีความต้องการที่จะใช้ระบบรางแบบ 1.4 ม . แต่กำลังซื้อไม่เพียงพอ (Lack of purchasing power) ซึ่งประเทศไทยก็อยู่ในข่ายเดียวกัน 
  4. จริงอยู่รางขนาด 1.4 ม . รถไฟจะวิ่งได้เร็ว 200-300 กม ./ ชม . ส่วนรถไฟแบบราง 1 ม . ที่เป็น Double rail tracks ความเร็วอยู่ที่ประมาณ 80-90 กม ./ ชม . การมี Double rail tracks จะลดเวลาได้ประมาณ 40% จาก Single rail track ตัวอย่างเช่น เคยเดินทางจากกรุงเทพ ฯ โคราช 6 ชม . เมื่อมี Double rail tracks ก็จะใช้เวลาไม่เกิน 4 ชม . อย่างนี้เป็นต้น

        อย่างไรก็แล้วแต่ โดยส่วนตัวผมก็ยังอยากมีระบบ 1.4 ม. อยากจะมีรถไฟความเร็วสูง เรื่องนี้จะเป็นไปได้ก่อนหลังตามกำลังซื้อของแต่ล่ะภูมิภาค รถไฟความเร็วสูงค่าโดยสารแพงพอ ๆ กับค่าเครื่องบิน รถไฟความเร็วสูงจะต้องเหมาะสมกับสภาพสังคมด้วยเพราะจะจอดรับผู้โดยสารทุก 5 กม . หรือ 10 กม . ไม่ได้ ข้อพิจาณาทางสังคมความต้องการของชุมชนจะเป็นข้อพิจารณา อีกประการหนึ่งในการพิจารณาตัดสินใจที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงนอกเหนือจากข้อพิจารณาเรื่องกำลังซื้อของผู้ปริโภค นอกจากนี้แล้วยังต้องพิจารณาความรู้สึกและการตอบสนองของสังคมส่วนใหญ่ด้วย มิใช่สร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อบริการคนรวยเท่านั้น

 

ที่มา: เบื้องหลังผลงานประชาธิปัตย์ เมกะโปรเจค คมนาคม


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#12 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 18:28

ชำแหละเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท “รบ.ยิ่งลักษณ์” จะเอาไปทำอะไร?
 

แม้จะมีการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนแก้ปัญหาอุกทกภัยเมื่อปี 2555 แต่ล่าสุดรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงเดินหน้ากู้เงินอีกระลอกใหญ่ เพื่อลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในปี 2556 ด้วยการออก “พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ...." วงเงิน 2 ล้านล้านบาท สำหรับระยะเวลา 7 ปี (ปี 2556-2563)

      ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าว จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือน ม.ค.นี้ ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาเสร็จภายในไตรมาสแรกปี 2556 ก่อนเริ่มกู้เงินตามแผนการลงทุนซึ่งกระทรวงการคลังเตรียมรายละเอียดไว้แล้วทันที

     กรอบการใช้เงินลงทุน ครอบคลุม 5 ด้าน ประกอบด้วย

     1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งด้วยระบบราง 1,185,692 ล้านบาท

     2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางบก  429,794 ล้านบาท

     3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางน้ำ 126,435 ล้านบาท

     4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางอากาศ 66,989 ล้านบาท

     5.โครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นๆ 392,786 ล้านบาท

        รายละเอียดยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว 7 ปี (ปี 2556-2563) กระทรวงคมนาคม ได้กำหนดภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการประกอบด้วย 3 ด้านสำคัญ ดังนี้

ด้านที่ 1 : การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางบกเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและเพื่อนบ้าน แบ่งออกเป็น 3 โครงข่าย คือ

โครงข่ายถนน

             เร่งพัฒนาระบบขนส่งทางถนน อาทิ เร่งสร้างโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) อีก 5 สายทาง คือ

            48be2683.gif บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา
            48be2683.gif บางปะอิน-นครสวรรค์
            48be2683.gif บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี
            48be2683.gif นครปฐม-สมุทรสงคราม-ชะอำ
            48be2683.gif ชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด

            รวมไปถึงการก่อสร้างทางหลวงสายหลักเชื่อมโยงเมืองหลักในภูมิภาค ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและขนส่งสินค้า

โครงข่ายรถไฟ

             เร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งทางราง ตามแผนการลงทุนระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553-2558 ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาให้ระบบรถไฟเป็นระบบหลักในการขนส่งสินค้า ระหว่างพื้นที่ผลิตภายในประเทศกับท่าเรือแหลมฉบัง และพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่าย, รูปแบบการขนส่ง เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งรูปแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
 
             รวมไปถึงโครงการจัดทำระบบรถไฟรางคู่ และรถไฟสายใหม่ คือ
   
             48be2683.gif บ้านไผ่-มหาสารคาม-มุกดาหาร
             48be2683.gif อรัญประเทศ-ปอยเปต
             48be2683.gif ท่าเรือฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน

             นอกจากนี้ ยังเตรียมการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค

โครงข่ายขนส่งมวลชน

           โครงข่ายนี้จะเน้นเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจะเร่งปรับปรุงให้ครอบคลุมพื้นที่บริการเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน

ด้านที่ 2 : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางอากาศ

            เร่งขยายขีดความสามารถและคุณภาพการให้บริการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ทันสมัย สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจากปีละ 45 ล้านคน เป็น 60 ล้านคน ตามโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2

 ด้านที่ 3 : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำภายในประเทศและเป็นประตูการขนส่งของอนุภูมิภาค

           เร่งพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นประตูการขนส่งสู่ท่าเรือหลักต่าง ๆ ของโลก และเป็นส่วนหนึ่งของท่าเรือหลักในภูมิภาคอาเซียน  รวมถึงพัฒนาระบบขนส่งชายฝั่งเชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบัง และการสร้างท่าเรือใหม่ในฝั่งอันดามัน เพื่อรองรับการค้ากับอินเดีย, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา และยุโรป เช่น ท่าเทียบเรือชายฝั่ง ท่าเรือชุมพร ท่าเรือน้ำลึกสงขลา และการศึกษาก่อสร้างท่าเรือปากบารา

สำหรับกรอบแผนการลงทุนเบื้องต้นนั้น ทางกระทรวงคมนาคมได้แบ่งออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย


1. ทางราง สัดส่วน 82.5 % 

        โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการเดิมที่ได้ประกาศไว้กับรัฐสภา 4 เส้นทาง คือ ไฮสปีดเทรน รวมทั้งรถไฟฟ้า 10 เส้นทาง ส่วนรถไฟรางคู่ ได้เพิ่มเส้นทางใหม่ เช่น เส้นทาง เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ, บ้านภาชี-นครหลวง, บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม


         สำหรับ รถไฟฟ้า 10 เส้นทาง มีดังต่อไปนี้

         48be2683.gif 1.รถไฟสายชานเมืองสายสีแดงเข้ม (ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต – มหาชัย) 
         48be2683.gif 2. รถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ศาลายา - หัวหมาก)
         48be2683.gif 3. Airport Rail Link (สนามบินดอนเมือง – สนามบินสุวรรณภูมิ)
         48be2683.gif 4. รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (ลำลูกกา - บางปู)
         48be2683.gif 5. รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน (ยศเส - บางหว้า)
         48be2683.gif 6. รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ – หัวลำโพง, ท่าพระ -  พุทธมณฑล สาย 4)
         48be2683.gif 7. รถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ - ราษฎร์บูรณะ)
         48be2683.gif 8. รถไฟฟ้าสายสีส้ม (จรัญสนิทวงศ์ - มีนบุรี)
         48be2683.gif 9. รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย - มีนบุรี)
        48be2683.gif 10. รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว - สำโรง)

2. ทางถนน สัดส่วน 15% 
        ทางรัฐบาลจะปรับยุทธศาสตร์ให้เน้นขยายถนน 4 ช่องทางในสายทางหลัก ที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดและภูมิภาคต่าง ๆ 

3. ทางน้ำ สัดส่วน 1.5 % 
        เตรียมสร้างท่าเรือเพิ่ม 3 แห่ง คือ ท่าเรือสงขลา, ท่าเรือชุมพร และท่าเรือปากบารา

4. ทางอากาศ (ลงทุนโดยบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน)

5. ส่วนอื่น ๆ สัดส่วน 1%

        เป็นตั้งงบไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด นอกจากนี้เงินจำนวนดังกล่าว ยังเตรียมสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่ม 15 แห่งทั่วประเทศ และด่านศุลกากร อีกด้วย
 

 


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#13 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 - 18:45

เปิดงบ ’57 กว่า 2.5 ล้านล้าน คลังได้เพิ่มมากที่สุด ควัก 4 หมื่นล้านให้รถคันแรก

23 พฤษภาคม 2013

%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%

เทศกาลการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีเวียนมาอีกครั้ง

โดยในวันที่ 29-31 พฤษภาคม นี้ จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ในการประชุมสมัยวิสามัญ

สำหรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 มีรายละเอียด 35 มาตรา วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 2,525,000 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณที่ผ่านมา 125,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2

คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

วงเงินดังกล่าวสามารถจำแนกออกเป็น 4 ประเภทของการใช้จ่าย ประกอบด้วย

1. รายจ่ายประจำ จำนวน 2,017,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 116,767 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 79.9 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด

2. รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 13,423 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.5 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด

3. รายจ่ายการลงทุน จำนวน 441,510 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 8,863 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.5 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด

4. รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 52,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3,672 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.1 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด

ทั้งนี้ หากจำแนกงบประมาณรายจ่ายปี 2557 ตามหน่วยงานนั้น หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ 1. กระทรวงศึกษาธิการ 481,337 ล้านบาท 2. งบกลาง 345,459 ล้านบาท 3. กระทรวงมหาดไทย 328,755 ล้านบาท 4. กระทรวงการคลัง 229,355 ล้านบาท 5. กระทรวงกลาโหม 184,737 ล้านบาท 6. กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน 155,231 ล้านบาท 7. รัฐวิสาหกิจ 150,745 ล้านบาท 8. กระทรวงสาธารณสุข 106,436 ล้านบาท 9. ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือ ทบวง 101,923 ล้านบาท และ 10. กระทรวงคมนาคม 99,389 ล้านบาท

%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับงบประมาณปี 2556 จะพบว่าหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมมากที่สุด 10 อันดับ ประกอบด้วย

1. กระทรวงการคลัง ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากปีที่ผ่านมามากที่สุด จำนวน 48,647 ล้านบาท โดยเมื่อพิจารณาจากรายละเอียดในเอกสารงบประมาณปี 2557 ของกระทรวงการคลัง พบว่างบประมาณรายจ่ายส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในเป้าหมายต่างๆ อาทิ การเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลัง (การบริหารหนี้สาธารณะ) 162,332 ล้านบาท และเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในโครงการรถยนต์คันแรก 40,000 ล้านบาท

2. งบกลาง เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 25,259 ล้านบาท โดยวงเงินงบประมาณทั้งหมดมีจำนวน 345,459 ล้านบาท ถูกนำไปใช้ในส่วนของการจ่ายเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ มากที่สุดจำนวน 132,277 ล้านบาท รองลงมาคือ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 72,500 ล้านบาท และเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐจำนวน 60,000 ล้านบาท เป็นต้น

3. รัฐวิสาหกิจ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 21,704 ล้านบาท โดยมีวงเงินงบประมาณจำนวนทั้งหมด 150,745 ล้านบาท เป็นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 82,861 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย 17,025 ล้านบาท เป็นต้น

4. กระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20,926 โดยวงเงินงบประมาณทั้งหมดจำนวน 481,337 ล้านบาท ถูกนำไปใช้ในเป้าหมายต่างๆ อาทิ ประชาชนได้รับการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มีมาตรฐานและคุณภาพ จำนวน 294,155 ล้านบาท ประชาชนได้รับโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานตามสิทธิที่กำหนดไว้ จำนวน 85,606 ล้านบาท และกำลังคนระดับกลางและระดับสูงมีคุณภาพมาตรฐานสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล จำนวน 72,172 ล้านบาท เป็นต้น

5. กระทรวงมหาดไทย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 19,920 ล้านบาท มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 328,755 ล้าน ถูกนำไปใช้ในเป้าหมายต่างๆ อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีขีดความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี วงเงิน 159,913 ล้านบาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีหลักประกันรายได้อย่างทั่วถึงเป็นธรรม หรือเบี้ยยังชีพ วงเงิน 60,999 ล้านบาท และประชาชนมีความพึงพอใจในการให้บริการและการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัด วงเงิน 40,605 ล้านบาท เป็นต้น

6. รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 13,423 ล้านบาท โดยมีวงเงินงบประมาณเท่ากับจำนวนที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 13,423 ล้านบาท เนื่องจากในปีงบประมาณ 2556 ไม่มีการจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้

7. กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 6,648 ล้านบาท วงเงินรวม 106,436 ล้านบาท ใช้ในเป้าหมายให้ประชาชนทุกคนในเขตเครือข่ายบริหารได้รับบริหารสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐานทุกระดับและเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยในเขตเครือข่ายบริหารได้ จำนวน 81,156 ล้านบาท และเป้าหมายให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สามารถลดภาวะโรคและภัยคุกคาม ตลอดจนได้รับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ 21,090 ล้านบาท เป็นต้น

8. สำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 6,496 ล้านบาท วงเงินรวมทั้งสิ้น 31,742 ล้านบาท เป็นของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จำนวน 8,544 ล้านบาท สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 5,955 ล้านบาท และกรมประชาสัมพันธ์ 2,973 ล้านบาท เป็นต้น

9. ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 4,624 ล้านบาท โดยมีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 101,923 ล้านบาท เป็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 86,388 ล้านบาท สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 5,344 ล้านบาท และสำนักพระราชวัง 3,219 ล้านบาท เป็นต้น

10. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 4,393 ล้านบาท วงเงินงบประมาณรวม 77,276 ล้านบาท ใช้ในเป้าหมายขยายพื้นที่ชลประทานไม่น้อยกว่าปีละ 2 แสนไร่ วงเงิน 43,422 ล้านบาท และฐานการผลิตภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง 25,058 ล้านบาทเป็นต้น

อย่างไรก็ตาม วงเงินงบประมาณในส่วนต่างๆ ยังเป็นเพียงการเสนอในส่วนของสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี เท่านั้น ซึ่งเมื่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ผ่านวาระที่ 1 จะนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว โดยในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการนั้นจะมีการ “ปรับลด” และ “ปรับเพิ่ม” งบประมาณของหน่วยงานรัฐตามความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป

การจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์

เงินงบประมาณปี 2557 กว่า 2.5 ล้านล้านบาท จะถูกนำไปใช้จ่ายตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ 8 ยุทธศาสตร์ 52 แผนงานและรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ซึ่งจะถูกกำหนดให้สอดคล้องกับการดำเนินงานตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2555-2558 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 รวมไปถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาล และสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม

โดยสามารถเรียงลำดับการจัดสรรงบประมาณแก่ยุทธศาสตร์ต่างๆ จากมากที่สุดไปน้อยที่สุดได้ดังนี้

1. ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม จำนวน 849,861 ล้านบาท ผ่านแผนงานขยายโอกาสและพัฒนาคุณภาพการศึกษา จำนวน 395,787 ล้านบาท แผนงานพัฒนาระบบประกันสุขภาพ จำนวน 270,916 ล้านบาท แผนงานสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 91,721 ล้านบาท แผนงานพัฒนาด้านสาธารณสุข 44,832 ล้านบาท แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและคุ้มครองแรงงาน จำนวน 18,664 ล้านบาท

แผนงานป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด จำนวน 10,146 ล้านบาท แผนงานอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม จำนวน 8,907 ล้านบาท แผนงานเสริมสร้างความมั่นคงของชีวิตและสังคม 7,534 ล้านบาท แผนงานสร้างโอกาสการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน 845 ล้านบาท แผนงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ 505 ล้านบาท

2. ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี งบประมาณจำนวน 351,399 ล้านบาท ในแผนงานส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 160,407 ล้านบาท แผนงานปฏิรูปกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม 81,723 ล้านบาท แผนงานพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน 50,896 ล้านบาท แผนงานสนับสนุนการจัดการของรัฐสภา ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 40,142 ล้านบาท แผนงานส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 18,170 ล้านบาท

3. ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน จำนวน 343,746 ล้านบาท แบ่งเป็นแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 102,019 ล้านบาท แผนงานเสริมสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร 85,276 ล้านบาท แผนงานยกระดับรายได้และเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน 44,327 ล้านบาท แผนงานบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคให้เกิดความยั่งยืน 29,462 ล้านบาท แผนงานส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน 15,379 ล้านบาท

แผนงานส่งเสริมและพัฒนาการกีฬา 9,393 ล้านบาท แผนงานพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 8,200 ล้านบาท แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน 8,036 ล้านบาท แผนงานยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม 4,369 ล้านบาท แผนงานพัฒนาการท่องเที่ยวและบริการ 2,624 ล้านบาท แผนงานพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 1,614 ล้านบาท

4. ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ จำนวน 210,783 ล้านบาท ผ่านแผนงานเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศ 181,006 ล้านบาท แผนงานเทิดทูน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ 13,670 ล้านบาท แผนงานรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ 15,684 ล้านบาท และแผนงานสร้างความปรองดองสมานฉันท์และฟื้นฟูประชาธิปไตย 421 ล้านบาท

5. ยุทธศาสตร์เร่งรัดการพัฒนาประเทศและเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน 145,006 ล้านบาท ในแผนงานดูแลผู้สูงอายุ เด็ก สตรี คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส 78,502 ล้านบาท แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ 25,921 ล้านบาท แผนงานเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการ 11,617 ล้านบาท แผนงานรองรับเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 8,039 ล้านบาท

แผนงานเชื่อมโยงระบบคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ 7,600 ล้านบาท แผนงานส่งเสริมสินค้าด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 7,455 ล้านบาท แผนงานยกระดับคุณภาพแรงงาน การจัดการแรงงานต่างด้าว และป้องกันการค้ามนุษย์ 2,353 ล้านบาท แผนงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 1,797 ล้านบาท และแผนงานพัฒนาศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชน 1,719 ล้านบาท

6. ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 112,288 ล้านบาท ในแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ 59,871 ล้านบาท แผนงานจัดการภัยพิบัติ 23,740 ล้านบาท แผนงานอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ 23,457 ล้านบาท แผนงานจัดการสิ่งแวดล้อม 4,071 ล้านบาท แผนงานป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ 1,147 ล้านบาท

7. ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม จำนวน 21,323 ล้านบาท ในแผนงานส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา 12,202 ล้านบาท แผนงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม 9,121 ล้านบาท

8. ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ จำนวน 9,004 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณทั้งหมดในแผนงานส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรักษาผลประโยชน์ของชาติ

ส่วนรายการค่าดำเนินการภาครัฐนั้น มีจำนวน 481,644 ล้านบาท แบ่งเป็นแผนงานบริหารบุคลากรภาครัฐ 208,184 ล้านบาท แผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ 185,861 ล้านบาท แผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 74,175 ล้านบาท และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 13,423 ล้านบาท


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#14 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 11:22

เปิดร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท 18 มาตรา

 

PNPOL560920001002001_20092013_124515.jpg
PICTURE
PNPOL560920001002001_20092013_124515.jpg
img-user.gif แหล่งที่มา : สำนักข่าว img-calendar.png วันที่ข่าว : 20 กันยายน 2556
หลักการของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ จะให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ของประเทศ มูลค่ารวมกันไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและการเพิ่มขึ้นของประชากรที่เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว และรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยจะเชื่อมโยงฐานการผลิตกับฐานการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งในภูมิภาคนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้ เรียกว่า “พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ...”
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
“ยุทธศาสตร์” หมายความว่า ยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ
“แผนงาน” หมายความว่า แผนงานตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ
“หน่วยงานเจ้าของโครงการ” หมายความว่า หน่วยงานของรัฐที่ได้รับอนุมัติหรือได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโครงการตามแผนงาน
มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมวด 1
การกู้เงินและการบริหารจัดการเงินกู้
มาตรา 5 ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์และแผนงาน และภายในวงเงินที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้
การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้มีมูลค่ารวมกันไม่เกินสองล้านล้านบาท และให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกิน วันที่ 31 ธันวาคม 2563
มาตรา 6 เงินที่ได้จากการกู้ตามมาตรา 5 ให้นำไปจ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
กระทรวงการคลังอาจนำเงินที่ได้จากการกู้ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐเพื่อให้นำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศก็ได้ แต่ต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
มาตรา 7 วงเงินกู้ การจัดการเงินกู้ และวิธีการเกี่ยวกับการกู้เงินในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ
มาตรา 8 ค่าใช้จ่ายในการกู้เงินและการออกและจัดการตราสารหนี้ อาจจ่ายจากเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือเงินกู้รายนั้นก็ได้
มาตรา 9 ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามาตรา 5 โดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม แปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนด ชำระขยายหรือย่นระยะเวลาการชำระหนี้ ต่ออายุ ซื้อคืนหรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาลหรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้
มาตรา 10 การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามาตรา 5 ให้กระทำได้เฉพาะเพื่อเป็นการประหยัด ลดความสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน หรือกระจายการชำระหนี้ โดยกระทรวงการคลังจะกู้เป็นสกุลเงินแตกต่างจากหนี้เดิมก็ได้
เงินกู้ตามวรรคหนึ่ง มิให้นับรวมในวงเงินตามาตรา 5 และต้องไม่เกินจำนวนเงินกู้ที่ยังค้างชำระ
ในกรณีที่หนี้เงินกู้ซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวนเงินมาก และกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่สมควรกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวในคราวเดียวกัน กระทรวงการคลังอาจทยอยกู้เงินเป็นการล่วงหน้าได้ไม่เกินสิบสองเดือนก่อนวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ
มาตรา 11 ให้กองทุนบริการเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ทำหน้าที่บริหารเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้
เงินที่ได้รับจากการกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรา 10 วรรคสาม ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศโดยให้นำเข้าบัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายในการชำระหนี้เงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว
มาตรา 12 ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารและจัดการการกู้เงิน การเบิกจ่ายเงินกู้การชำระหนี้และการอื่นใดที่เกี่ยวกับการกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้
การเบิกจ่ายเงินกู้ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด
ในกรณีที่กระทรวงการคลังได้มีการกู้เงินในคราวใดแล้ว แต่ยังมิได้มีการขอเบิกจ่ายเงินกู้จำนวนดังกล่าว และกระทรวงการคลังเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการเงินกู้หรือเป็นการประหยัดหรือลดภาระในการชำระหนี้ อาจให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะนำเงินกู้นั้นไปเก็บรักษาหรือฝากไว้ในบัญชีตามที่กระทรวงการคลังกำหนดก็ได้
มาตรา 13 นอกจากกรณีที่ได้บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะมาใช้บังคับกับการบริหารเงินกู้ตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลม
หมวด 2 การเสนอและการบริหารจัดการโครงการ
มาตรา 14 ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดการดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนงานท้ายพระราชบัญญัตินี้ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการดำเนินโครงการและการจัดสรรเงินกู้เพื่อการดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการก่อนเริ่มโครงการให้ครบถ้วนด้วย
ก่อนที่จะมีการเสนอคณะรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการโดยความเห็นชอบของกระทรวงเจ้าสังกัด เสนอโครงการต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณากลั่นกรอง และเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับความพร้อมของโครงการ กรอบวงเงินดำเนินการ และแผนการดำเนินงาน
มาตรา 15 เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการดำเนินโครงการและจัดสรรเงินกู้เพื่อการดำเนินโครงการแล้ว ให้บริหารจัดการโครงการและจัดสรรเงินกู้ตามวงเงินที่อนุมัติต่อไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา 16 เมื่อแผนงานใดได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าแผนงานนั้นมีเงินกู้เหลือจ่ายให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา 17 ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานการเบิกจ่ายเงินกู้ของโครงการและผลการดำเนินโครงการต่อกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างต่อเนื่องจนสิ้นสุดโครงการ
ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของหน่วยงานเจ้าของโครงการติดตามและประเมินผลโครงการและแผนงาน และรายงานผลการติดตามและประเมินผลโครงการและแผนงานต่อกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา 18 ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีรายงานการกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้ว ผลการดำเนินงานและการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานในแต่ละยุทธศาสตร์ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบ

Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#15 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 11:27

ระเบียบของพ.ร.ก. 3.5 แสนล้านว่าเป็นอย่างไร เมื่อเทียบ กับ พ.ร.ก. เงินกู้ไทยเข็มแข็ง 2555 
 
ระเบียบปฎิบัติ โครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
1 ระเบียบ1 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พศ.2552 ว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 Download
2
นร.0704/1 หลักเกณฑ์วิธีการโอนเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง Download
3
นร.0704/2 วิธีปฎิบัติการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พศ.2552 ไปพลางก่อน Download
4
นร.0704/94 วิธีปฎิบัติเกี่ยวกับการจ่ายเงินตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 Download
5
นร.0506/153 การเพิ่มความคล่องตัวในการปฎิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ สำหรับแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 Download
6
นร.0406.3/ว.80 หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินจากคลังตามโครงการ หรือ แผนงานภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 Download
7
กกพ.2272/2552 ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฎิบัติตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 กค. 2552  Download
8 E
กงผง.3647/2552 แนงทางปฎิบัติในการบริหารโครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555  Download
9
กตผง 1056/2552 ซักซ้อมความเข้าใจมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการ SP2 Download
10
นร.0506/11 มาตรการและแนวทางเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการไทยเข้มแข็ง 2555(วงเงิน 149,999.8371ล้านบาท) Download
11
นร.0704/47 วิธีปฎิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ฉบับที่ Download
12
กต.ผง. 390/2553 มติ ค.ร.ม. เมื่อ 8 มิ.ย. 53 มาตราการเร่งรัดไทยเข้มแข็ง 2555 Download
13
ผอ.กพ.10893/2553 แนวปฎิบัติสำหรับการโอนเงินเหลือจ่ายโครงการ SP2 สำหรับใบสั่งซื้อสั่งจ้าง(PO)   Download

 


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#16 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 11:36

ประธานวุฒิสภานัดสมาชิกประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน จันทร์ที่ 18 พ.ย.นี้ หลัง กมธ.พิจารณาเสร็จแล้ว เผยมีการแก้ไข 2 ประเด็นสำคัญ พร้อมชง 11 ข้อเสนอแนะเพื่อความโปร่งใส
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ไนัดประชุมวุฒิสภาวันจันทร์ที่ 18 พ.ย.เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 2 และ 3 หลังจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ที่มีนายธวัช บวรวนิชยกูร ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ได้พิจารณาเสร็จแล้ว ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.มีทั้งหมด 18 มาตรา
       
       โดยคณะ กมธ.ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.จำนวน 2 ประเด็น ประเด็นที่ 1 มาตรา 3 ว่าด้วยการกำหนดนิยามของถ้อยคำในกฎหมาย ซึ่งคณะ กมธ.ได้เพิ่มคำว่า “โครงการ” เข้าไป มีความหมายว่า “โครงการตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายร่าง พ.ร.บ.นี้” จากเดิมที่ร่าง พ.ร.บ.ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบไม่ได้บัญญัติคำว่าโครงการเอาไว้
       
       ประเด็นที่ 2 มาตรา 6 ว่าด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ซึ่งคณะ กมธ.ได้แก้ไขว่า “การกู้เงินตามมาตรา 5 ให้นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้ โดยต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง” จากเดิมที่ร่าง พ.ร.บ.ในชั้นของสภาฯ บัญญัติให้เงินกู้ดังกล่าวไม่ต้องนำส่งคลัง
       
       นอกจากนี้ คณะ กมธ.ยังได้จัดทำข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเอาไว้ทั้งหมด 11 ข้อ ประกอบด้วย 1. การติดตามและประเมินผลโครงการและแผนงาน รัฐบาลควรให้มีองค์กร หน่วยงาน สถาบันการศึกษาหรือตัวแทนจากภาคเอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
       
       2. รัฐบาลควรมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน การเตรียมความพร้อมในเรื่องวัสดุก่อสร้างและแรงงานให้เพียงพอกับโครงการที่จะดำเนินการตามร่าง พ.ร.บ.นี้ การเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาทางจราจรและการขนส่งในพื้นที่ที่มีการก่อสร้าง รวมทั้งการเตรียมการเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่จะได้รับจากโครงการเพื่อเป็นการสร้างบุคลากรของตัวเองและเตรียมบุคลากรสำหรับภาคการคมนาคมขนส่งของประเทศโดยรวมในอนาคต
       
       3. รัฐบาลควรส่งเสริมให้บริษัทคนไทยได้รับงานในโครงการต่างๆ โดยในการก่อสร้างควรแบ่งเป็นช่วงๆ ให้มีผู้รับจ้างหลายราย เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารเงินกู้ให้เกิดการกระจายตัวและไม่เกิดความล่าช้า
       
       4. ในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูง รัฐบาลควรกำหนดเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ให้ชัดเจน เพราะเทคโนโลยีของแต่ละประเทศมีราคาต่างกันมา เกรงว่าจะได้เทคโนโลยีที่ไม่คุ้มค่ากับราคาและควรมีการศึกษารายละเอียดโครงการอย่างรอบคอบ เช่น อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และ อัตราผลตอบแทนทางการเงิน
       
       5. การดำเนินโครงการตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้เกี่ยวกับแผนงานพัฒนาโครงข่ายเชื่อมต่อภูมิภาคในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมโยงกับพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และแผนงานพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจหลักภายในประเทศ รัฐบาลควรจัดให้มีเครื่องหมายจราจร สัญญาณจราจร อุปกรณ์ตรวจจับความเร็วและอุปกรณ์ตรวจจับควันดำที่มีคุณภาพและมีจำนวนที่เพียงพอตามมาตรฐานสากลในโครงข่ายทางหลวงพิเศษและทางหลวงเชื่อมโยงดังกล่าว
       
       6. การดำเนินโครงการจะมีการจ้างที่ปรึกษาและใช้วงเงินค่าจ้างเป็นจำนวนสูงมาก รัฐบาลควรกำหนดให้มีการจ้างบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องจากภายในประเทศเป็นหลัก และควรมีการกระจายงานของบริษัทที่ปรึกษาตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
       
       7. การดำเนินโครงการตามร่าง พ.ร.บ.นี้ รัฐบาลควรมีการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและการศึกษาของประเทศไปพร้อมกันโดยร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาและสถาบันการศึกษาอื่น ทั้งนี้เพื่อต่อยอดองค์ความรู้และสร้างความเข้มแข็งของบุคลากรภายในประเทศ อันจะทำให้การใช้งบประมาณเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
       
       8. รัฐบาลควรจัดให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีในโครงการรถไฟฟ้าและโครงการรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งระบบคมนาคมทางรางจากผู้รับจ้างและที่ปรึกษาต่างประเทศให้แก่ภาคอุตสาหกรรมไทย และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมทางรางขึ้นภายในประเทศ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพให้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษาของประเทศไทยด้วย
       
       9. การดำเนินโครงการตามร่าง พ.ร.บ.นี้ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าประหยัด รวมถึงประโยชน์ตอบแทนของโครงการ โดยจะต้องมีกระบวนการติดตามการใช้เงินและการประเมินผลการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด
       
       10. หลักเกณฑ์การเก็บรักษาหรือฝากเงินกู้ที่ยังมิได้มีการเบิกจ่ายควรมีการประกาศให้สาธารณชนทราบเพื่อความโปร่งใส
       
       11. การกู้เงินในส่วนที่เป็นเงินตราต่างประเทศ กระทรวงการคลังควรมีการพิจารณาให้มีการบริหารความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม
 


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน