ใช้เงินแบบ "ไม่สงสารประเทศ"
บทความพิเศษโดย นงนุช สิงหเดชะ
13 กันยายน พ.ศ. 2556
เห็นการใช้เงินในโครงการจำนำข้าวกันอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่สมกับประโยชน์ที่ชาวนาควรได้รับ ไม่คุ้มประโยชน์โดยรวมของประเทศ แถมปล่อยให้มีการทุจริตกันอย่างมหาศาล โดยไม่คิดจะป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตของรัฐบาลแล้ว ยังนั่งนึกอยู่เลยว่า ถ้าเป็นแบบนี้แล้วจะหวังเห็นการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ สุจริต โปร่งใส ในเรื่องอื่นๆ และโครงการอื่นๆ ภายใต้รัฐบาลนี้ได้อย่างไร
และก็เป็นไปตามนั้น
เพราะในเวลาต่อมาก็ได้พบกับเรื่องราวพิลึกพิลั่น ที่ได้ยินแล้วเจ็บใจ
ไหนจะการซื้อไอแพดราคาแพงแจก ส.ส. โดยมีค่าโน่นค่านี่ยุบยับแยกต่างหากเต็มไปหมด เช่น สายหูฟังก็ต้องซื้อแยกต่างหาก ทำให้ราคาไอแพดของสภาแพงกว่าราคาตลาด ทั้งที่การซื้อเป็นล็อตใหญ่ตามหลักการค้าควรได้รับส่วนลดมากด้วยซ้ำไป
และยังมีคำถามว่าทำไมต้องเป็นไอแพดซึ่งแพงสุด เป็นยี่ห้ออื่นรองๆ ลงมาที่มีราคาถูกกว่าแต่คุณสมบัติไม่ได้ด้อยกว่าอะไรนักหนาไม่ดีกว่าหรือ
งานของสภาไม่น่าจะต้องการไอแพดแบบไฮเอ็นด์สุดๆ ใช้เครื่องละไม่เกินหมื่นก็น่าจะเพียงพอเหลือแหล่เมื่อเทียบกับความจำเป็นในการใช้งานของ ส.ส. ส่วนใหญ่ (เพราะก็อย่างที่เห็น เอาไปเปิดดูรูปโป๊กันซะเยอะ)
แต่ก็มีการชี้แจงอ้างว่า พิมพ์ราคาผิด ที่จริงต้องเป็นเครื่องละ 2.6 หมื่นบาท แต่พิมพ์ผิดเป็น 2.8 หมื่นบาท ข้ออ้างนี้ฟังคุ้นๆ แบบเดียวกับการจัดซื้อรถตู้ให้โรงเรียนที่อ้างว่ามีการพิมพ์ราคาผิดเช่นกันลำดับถัดมา เป็นเรื่องการจัดซื้อนาฬิกาติดรัฐสภา ที่โค-ตะ-ระ แพง เรือนละ 7.5 หมื่นบาท จำนวน 200 เรือน รวมเป็นเงิน 15 ล้านบาท พอถูกคนจับได้ไล่ทัน โดยเช็กราคาจากเว็บไซต์ต่างประเทศ ก็พบว่ารุ่นแพงสุดๆ ของยี่ห้อนี้อยู่ที่ 1.6 หมื่นบาทเท่านั้น ก็มีการออกมาชี้แจงว่าราคาดังกล่าวรวมค่าบริหารจัดการเวลาของนาฬิกา นอกจากนี้ ยังเป็นนาฬิกาที่เชื่อมกับดาวเทียมและอินเตอร์เน็ตเพื่อให้นาฬิกาทุกเรือนเดินตรงกัน
มีการอ้างว่าเหตุที่ต้องใช้นาฬิกาแสนแพงเป็นเพราะสภาผู้แทนฯ ประสบปัญหาในการนัดหมายเวลากับสมาชิกเพราะนาฬิกาของแต่ละห้องประชุมในสภาเดินไม่ตรงกัน
เจ้าหน้าที่สภาอ้างว่านาฬิกาดังกล่าวนิยมใช้กันแพร่หลายในยุโรปและญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทยนั้นมีใช้ที่กรมอุทกศาสตร์ สถาบันมาตรวิทยา
คำถามมีต่อไปว่า มีความจำเป็นอะไรที่ต้องใช้นาฬิกาเชื่อมกับระบบดาวเทียมเพื่อให้สภาสามารถนัดหมายกับสมาชิกได้ตรงเวลา
เพราะถ้าอ้างเหตุผลนี้แสดงว่า ส.ส. เป็นพวกเด็กอนุบาลที่ไม่รู้จักรับผิดชอบการเข้าประชุมสภาหรือการนัดหมายต่างๆ ต้องคอยจ้ำจี้จำไช
นาฬิกาแม่นยำสูงราคาแพงแบบนี้ มีความจำเป็นใช้กับเฉพาะงานทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องการความละเอียดสูงเท่านั้น เช่น กรมอุทกศาสตร์หรืองานมาตรวิทยา แต่ไม่คู่ควรและไม่จำเป็นสำหรับ ส.ส. ส่วนใหญ่ที่ทำงานไม่ค่อยคุ้มค่าภาษีเหล่านี้
ปัญหาเรื่อง ส.ส. มาไม่ตรงเวลานัดหมายต้องแก้ที่คน แก้ที่วินัยคน ไม่ใช่ด้วยการใช้เงินไปซื้อนาฬิกาแพงลิ่วแบบไม่สมเหตุผลอย่างนี้ประชาชนเดือดร้อนสาหัสจากค่าครองชีพเพราะข้าวยากหมากแพงเป็นประวัติการณ์ ชักหน้าไม่ถึงหลัง อดมื้อกินมื้อ แต่นักการเมืองเหล่านี้กลับใช้งบประมาณที่เป็นภาษีของประชาชนอย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่เกรงอกเกรงใจ ไม่สงสารประเทศกันเลย
อีกเรื่องก็งบฯ ทัวร์ต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ที่ตอนนี้น่าจะทำสถิติเดินทางไปเยือนต่างประเทศบ่อยที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีนายกรัฐมนตรีมากระมัง เพราะ 2 ปีที่รับตำแหน่ง เดินทางไปแล้วถึง 42 ประเทศ 45 ครั้ง (บางประเทศไปซ้ำ) เฉลี่ยเดือนละ 2 ครั้ง ใช้งบฯ ทั้งสิ้น 370 ล้านบาท เฉลี่ยทริปละเกือบ 9 ล้านบาท
คาดว่าถ้าอยู่ครบ 4 ปี คงเดินทางไปครบ 200 กว่าประเทศทั่วโลก
รมว.ต่างประเทศอ้างว่าการเดินทางไปทัวร์ต่างประเทศของนายกฯ คุ้มค่าเพราะเป็นการไปเพื่อส่งเสริมการค้า ขายสินค้า ดึงดูดการลงทุนโดยเลือกไปประเทศที่เห็นว่าคุ้ม และเป็นเพราะประเทศเหล่านั้นเป็นฝ่ายเชิญมาแต่ก็อยากถาม รมว.ต่างประเทศว่าที่อ้างว่าต่างประเทศเขาเชิญมานั้น จริงๆ แล้วส่วนใหญ่เขาเป็นฝ่ายริเริ่มเต็มใจเชิญเอง หรือว่าเป็นเพราะเราไปสะกิด ขอความร่วมมือให้เขาออกหนังสือเชิญมา เพื่อที่ว่าเราจะได้ใช้เป็นเหตุผลเดินทางไปประเทศเขา เพื่อหนีวาระร้อนๆ ในประเทศ เพราะสังเกตว่านายกฯ มักไปต่างประเทศ ช่วงที่มีการประชุมสภาในวาระสำคัญ
จนเดี๋ยวนี้เขาแซวกันว่า ต่างประเทศเขารู้แล้วว่าถ้าเมืองไทยมีการประชุมสภาเมื่อไหร่ เขาจะต้องเตรียมตัวต้อนรับนายกรัฐมนตรีจากไทยทุกครั้ง
ทีมงานนายกฯ ที่ติดตามไปที่ไม่ต่ำกว่า 2 โหลมักจะชอบใจที่นายกฯ ไปทัวร์นอกบ่อย เพราะหมายถึงตัวเองจะได้เที่ยวเมืองนอกฟรีด้วยภาษีประชาชน นี่เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมคนเหล่านี้ตะเกียกตะกายเข้ามาสู่ถนนการเมือง
ส่วนตัวนายกฯ ตอนนี้ก็คงเริ่มเพลินกับตำแหน่ง เพราะผลพลอยได้จากตำแหน่งนี้คือการได้ไปเที่ยวต่างประเทศฟรีและมีเวทีให้โชว์ชุดแต่งกายที่มีอยู่มากมายตามประสาคนรวยที่มีข้าวของเยอะ แถมได้ออกสื่อฟรีทั่วโลก ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ การไปต่างประเทศก็คงมีสถานะแค่ทัวริสต์ธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจถ้าจะอ้างว่าการเดินทางไปต่างประเทศคุ้มค่าในแง่การส่งเสริมการค้า ขายของ การลงทุนนั้น ถามว่ามีตัวเลขเศรษฐกิจการค้าไหนบ้างที่แสดงให้เห็นว่าได้รับอานิสงส์จากการเดินทางไปต่างประเทศบ่อยของนายกฯ
ถ้าท่านผู้นำเดินทางไปค้าขายบ่อย ก็น่าจะหมายความว่า ส่งออกได้เยอะขึ้น ขายข้าวได้มากขึ้น จีดีพีของไทยเติบโตกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งที่ว่านั้นเลย แต่กลับมีตัวเลขที่อาจเรียกได้ว่าแย่กว่ารัฐบาลอื่นด้วยซ้ำไป
หากไปพิจารณาดูตัวเลขต่างๆ จะเห็นว่า การส่งออกปี 2555 ขยายตัวเพียง 3.12 เปอร์เซ็นต์ จากที่ตั้งเป้าว่าจะขยายตัว 15 เปอร์เซ็นต์ ส่วนจีดีพีปี 2555 ขยายตัว 6.5 เปอร์เซ็นต์ แม้จะดูเติบโตสูง แต่ในความเป็นจริงเป็นเพราะฐานของปี 2554 ต่ำมากต่างหาก กล่าวคือปี 2554 เศรษฐกิจขยายตัวแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จีดีพีแท้จริงปี 2555 จึงเติบโตเพียง 3.34 เปอร์เซ็นต์
ต่อมาปี 2556 ยิ่งพิสูจน์ชัดว่าการไปต่างประเทศบ่อยของนายกฯ ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะครึ่งปีแรกส่งออกเติบโตแค่ 0.95 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าตลอดปีส่งออกจะขยายตัวได้แค่ 3 เปอร์เซ็นต์ แย่ที่สุดในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้ คือขี้เหร่กว่านายกฯ คนอื่นที่เขาไปต่างประเทศน้อยกว่าคุณยิ่งลักษณ์ กู้เงินน้อยกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์
ส่วนจีดีพีปี 2556 ร่อแร่ โดยน่าจะโตไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดค่ายฝรั่งอย่างบีเอ็นพี พาริบาส เอสเอ ได้ประเมินว่าจีดีพีของไทยน่าจะโตแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ และบีบีซีบอกว่า ศก.ไทยเข้าสู่ภาวะ "ถดถอย"ดังนั้น ทางที่ดี นายกฯ ควรลดการไปต่างประเทศลง และหันมาทุ่มเทแก้ปัญหาภายในประเทศจะดีกว่า
อย่างน้อยก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนเป็นหัวหน้ารัฐบาลไม่ทำตัวฟุ่มเฟือยในยามที่ประชาชนขัดสนลำบากมากอย่างที่เป็นอยู่
เพื่อนๆพอทราบหรือคาดเดาได้มั๊ยครับว่า
พวกเขาจะว่ากันยังไง เมื่ออ่านบทความความจริงนี้เข้า...
เชิญร่วมให้ คคห.กันครับ...
Edited by Suraphan07, 24 September 2013 - 11:39.