การเคหะแห่งชาติ จ่อเสียค่าโง่ เอื้ออาทร หลัง ศาลปกครองกลาง พิพากษา ธ.ธนชาติ ไม่ต้องจ่ายชดใช้การเคหะฯ กว่า 400ล้าน หลังพิสูจน์พบ “บริษัทผู้รับเหมา”คู่สัญญา สร้างหลักฐานเท็จ เข้าประมูลโครงการกว่าพันล้าน...
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ศาลปกครองกลาง โดยนายตรีทศ นิโครธารกูร ตุลาการเจ้าของสำนวนและคณะ มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ 1534 /2556 และคดีหมายเลขแดงที่ 1535/2556 ที่ การเคหะแห่งชาติ ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก หจก.กรมณี วิศวกรรม นายภูวินารถ โพธิ์ศรี หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.กรมณีวิศวกรรม นายสุพล อินทรำพรรณ หุ้นส่วนผู้จัดการร่วม หจก.กรมณีวิศวกรรม และบมจ.ธนาคารธนชาต (บมจ.ธนาคารนครหลวงไทย) (เดิม) เจ้าหนังสือค้ำประกัน เนื่องจาก หจก.กรมณีวิศกรรม มีพฤติกรรมทิ้งงาน ผิดสัญญาจ้างเหมาโครงการก่อสร้างอาคารบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พร้อมทั้ง งานสาธารณูปโภค-สาธารณูปการและอื่นๆ โครงการบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง 4 มูลค่า 1,455,169,000บาท และโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง 5/2 มูลค่า 169,486,474บาท
โดยการเคหะแห่งชาติ ขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาสั่งให้ หจก.กรมณี วิศวกรรม และหุ้นส่วนผู้จัดการทั้ง 2 คน ร่วมกันชำระเงินคืน ให้การเคหะแห่งชาติ ในส่วนโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง 4 จำนวน 778,137,621.71บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 653,059.811.42 บาท และชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 217,056,340บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงินคืนในส่วนโครงการบ้านบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง 5/2 จำนวน 79,432,643.05บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 48,655,725.57บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 18,612,618.29 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
รวมทั้งให้ บมจ.ธนชาติ และหจก.กรมณีวิศวกรรม ร่วมกันชำระเงินในส่วนโครงการบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง 4 จำนวน 395,945,272.49บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงิน 72,758,450บาท และชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15ต่อปีของต้นเงิน 217,056,340 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงินในส่วนโครงการบ้านบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง 5/2 จำนวน 37,153,458.78บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,474,400บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 18,612,618.29 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ทั้งนี้ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดี นี้เป็นคดีข้อพิพาทตามตามสัญญาจ้าง ระหว่างการการเคหะแห่งชาติ กับ หจก.กรมณีวิศวกรรม และตามสัญญาค้ำประกันของ บมจ.ธนาคารธนชาต อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง และการเคหะแห่งชาติ ได้ยื่นฟ้องคดีภายในระยะเวลาตามกำหนด แต่การที่ หจก.กรมณีวิศกรรม และหุ้นส่วนผู้จัดการทั้ง2คน ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีคนที่ 1-3 ถูกศาลล้มละลายกลาง สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ระหว่างการพิจารณานี้ และศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะพิจารณาคดีในส่วนนี้อีกต่อไป เพราะ ไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจการพิจารณาคดีนี้ แต่อย่างใด ซึ่งในส่วนนี้ การเคหะแห่งชาติ จะต้องไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของ หจก.กรมณีวิศวกรรมและหุ้นส่วนผู้จัดการทั้ง2คน
ดัง นั้น จึงมีประเด็นจะต้องพิจารณาว่า บมจ.ธนาคารธนชาต จะต้องรับผิดชดใช้เงิน ตามหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาและหนังสือค้ำประกัน การรับเงินค่าจ้างล่วงหน้าของ หจก.กรมณีวิศวกรรม พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่การเคหะแห่งชาติ หรือไม่ ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญา และหนังสือค้ำประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้าดังกล่าว ที่ น.ส.ธราภรณ์ ชัยเพ็ชร์ ผู้จัดการธนาคารธนชาต สาขาย่อย ท่าน้ำพระประแดง ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ค้ำประกันคนเดียว โดยมีการลบข้อความที่ระบุว่า “ผู้รับมอบอำนาจ จะต้องลงลายมือชื่อ ร่วมกับผู้รับมอบอำนาจของสาขานี้อีกคนหนึ่ง” ออกไป เพื่อค้ำประกันสัญญา ที่เป็นข้อพิพาทระหว่าง การการเคหะแห่งชาติ กับ หจก.กรมณีวิศวกรรม
จาก ข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นว่า เป็นการ ออกหนังสือค้ำประกัน การปฏิบัติตามสัญญาและหนังสือค้ำประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า โดยผู้ที่ไม่มีอำนาจ โดยผู้ออกใช้หนังสือมอบอำนาจปลอม เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อ ไม่มีผลผูกพัน บมจ.ธนาคารธนชาต การเคหะแห่งชาติ จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้ บมจ.ธนาคารธนชาต รับผิดตามฟ้องได้ พิพากษายกฟ้อง
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า หจก.กรมณีวิศวกรรม ซึ่งมีที่ตั้งที่บ้านเลขที่ 43 หมู่ที่ 10 ต.หน้าพระธาตุ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ดำเนินการจดทะเบียนนิติบุคคล เมื่อวันที่ 25 ก.พ.2545 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 5 ล้านบาท มี นายภูวินารถ โพธิ์ศรี เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ก่อนมีเพิ่มทุนจดทะเบียน อีก 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 16 มิ.ย. 2547 เพิ่มทุนเป็น 10 ล้านบาท และในวันที่ 7 ต.ค. 2547 เพิ่มทุนเป็น 100 ล้านบาท ก่อนที่ในวันที่ 9 พ.ย.2547 การเคหะแห่งชาติ จะเสนอชื่อ หจก.กรมณีวิศวกรรม ให้คณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้การเคหะแห่งชาติ จัดทำข้อตกลงว่าจ้าง หจก.กรมณีวิศวกรรม เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรขนาดใหญ่ ในโครงการก่อสร้างอาคารบ้านเดี่ยว2ชั้น พร้อมทั้งงานสาธารณูปโภค-สาธารณูปการและอื่นๆ โครงการบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง4 มูลค่า 1,455,169,000บาท และโครงการบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง5/2 มูลค่า 169,486,474บาท โดยมีการนำเสนอผลงานการก่อสร้างของบริษัท เอ.พี.ไฮเทคจำกัด และของบริษัท พี เจ ดี คอนสตรัคชั่น จำกัด และเสนอหนังสือรับรองเครดิตภายในวงเงิน 300ล้านบาทจาก บมจ.ธนาคารธนชาต ลงวันที่ 29 ต.ค.2547 เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณา
ต่อมาคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบตามที่การเคหะแห่งชาติเสนอ โดยการเคหะแห่งชาติ ได้ทำสัญญาจ้าง หจก.กรมณีวิศวกรรม ดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พร้อมทั้งงานสาธารณูปโภค-สาธารณูปการและอื่นๆโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง4 มูลค่า 1,455,169,000บาท และโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิตคลอง 5/2 มูลค่า 169,486,474บาท ในวันที่ 12 พ.ค.2548 และในวันที่ 28 พ.ค.2548 ตามลำดับ
นอกจากโครงการก่อสร้างอาคารบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พร้อมทั้งงานสาธารณูปโภค-สาธารณูปการและอื่นๆโครงการบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง 4 มูลค่า 1,455,169,000บาท และโครงการบ้านเอื้ออาทร รังสิตคลอง 5/2 มูลค่า 169,486,474บาท แล้ว หจก.กรมณีวิศวกรรม ยังเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ อีกกว่า 40 สัญญา อาทิ โครงการบ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, โครงการกุฎโง้ง จ.ชลบุรี, สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ต, โครงการโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ รวมมูลค่านับหมื่นล้านบาท โดยมีการเบิกเงิน ล่วงหน้าหลายร้อยล้านบาท แต่ปัจจุบันหลายโครงการถูกปล่อยทิ้งเป็นโครงการร้าง.
ที่มา : http://www.thairath....t/region/372540
โครงการประชานิยมทั้งหลายเริ่มแผลงฤทธิ์สร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานของรัฐทีละโครงการสองโครงการเรื่อยๆ เดี๋ยวจะมีการแปรรูปการเคหะแห่งชาติไหมหว่า?