โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
อนาคตทางการเมืองของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายก รัฐมนตรี และรมว.กลาโหมในเวลานี้กำลังฝากไว้ที่ปัจจัยนอกสภาที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างองค์กรอิสระ โดยคดีความที่มีผลต่อเสถียรของรัฐบาลมีด้วยกันหลายกรณี ซึ่งอยู่ในการตรวจสอบของ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' และ 'คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ' (ป.ป.ช.)
คดีในศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่อยู่ในความสนใจเวลานี้ คือ "การวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่"
ปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ พิจารณา 2 ประเด็นใหญ่ ได้แก่ 1.การแก้ไขมาตรา 68 ที่ตัดสิทธิประชาชนในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงเพื่อให้ วินิจฉัยการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ และ 2.การแก้ไขกระบวนการการได้มาซึ่งสว.ที่กำหนดให้สว.ต้องมาจากการเลือกตั้ง เพียงอย่างเดียว
ในส่วนของ "การแก้ไขมาตรา 68" ศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้ 6 คำร้อง ประกอบด้วย สมชาย แสวงการ สว.สรรหา, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว.สรรหา,บวร ยสินทร ประธานเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน, วรินทร์ เทียมจรัส อดีตสว.สรรหา, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ พรรคประชาธิปัตย์
ความคืบหน้าล่าสุดพบว่าภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้แล้วต่อมาได้ มีคำสั่งให้คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 68 ที่มี "ดิเรก ถึงฝั่ง" สว.นนทบุรี เป็นประธาน ส่งเอกสารรายงานบันทึกการประชุมและเอกสารสำคัญมาให้ศาลรัฐธรรมนูญ
เช่นกันกับ "คดีการแก้ไขที่มาสว." ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้เช่นกัน ซึ่งเป็นคำร้องของพล.อ.สมเจตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยศาลไม่ได้มีคำสั่งให้รัฐสภาระงับการลงมติเห็นชอบในวาระ 3 แต่อย่างใด
ในอนาคตถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งตามมาตรา 68 ให้รัฐสภาเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบพรรคการเมือง ย่อมเป็นเหตุให้ "ยิ่งลักษณ์" ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกรัฐสภาที่ลงมติรับหลักการในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับถูกขยายผลด้วยการยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ไต่สวนในคดีอาญาและให้วุฒิสภา ดำเนินการถอดถอนได้
อย่าลืมว่าที่ผ่านมาป.ป.ช.เคยดำเนินคดีอาญาและส่งเรื่องให้วุฒิสภาถอดถอน "นพดล ปัทมะ" อดีตรมว.ต่างประเทศมาแล้วหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการลงนามใน แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อสนับสนุนการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็น มรดกโลกขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 190
ขณะที่ คดีในป.ป.ช.นั้นจะเห็นได้ว่าล้วนเป็นคดีอาญาที่อยู่ในระหว่างการไต่สวนถึง 6 คดี ซึ่งมี "ยิ่งลักษณ์" เป็นผู้ถูกกล่าวหาในลำดับต้นๆแทบทั้งสิ้น ดังนี้
- คดีถอดถอนนายกฯยิ่งลักษณ์และพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมออกจากตำแหน่งจากกรณีโยกย้ายพล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ พ้นตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม
- คดีถอดถอนนายกฯยิ่งลักษณ์ จากกรณีละเว้นไม่ได้ดำเนินการตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐต้องประกาศราคากลางเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างต่อ สาธารณะ
- โครงการรับจำนำข้าว ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนโดยให้ 'วิชา มหาคุณ' กรรมการป.ป.ช.เป็นประธาน ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินและเตรียมแจ้งข้อหาผู้ที่เกี่ยว ข้องต่อไป
- การปล่อยให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ถ่ายทอดสดคำปราศรัยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ บนเวทีชกมวยในรายการมวยไทยวอริเออร์สที่มาเก๊า
- การคืนหนังสือเดินทางระหว่างประเทศให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ โดยมิชอบ คดีนี้นายกฯยิ่งลักษณ์เป็นผู้ถูกกล่าวหาร่วมกับ 'สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล' รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ
- การบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดจากการแก้ไขปัญหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 โดยคดีนี้มีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เมื่อครั้งเป็นรมว.ยุติธรรม เป็นผู้ถูกกล่าวหาร่วมกับนายกฯยิ่งลักษณ์ด้วย
ขณะเดียวกัน มีอีก 2 คดีที่ได้มีผู้ยื่นคำร้องให้ป.ป.ช.ดำเนินคดีอาญากับยิ่งลักษณ์และคณะ รัฐมนตรีแต่คณะกรรมการป.ป.ช.ยังไม่ได้รับไว้ไต่สวนเพียงแต่สั่งให้เจ้า หน้าที่รวบข้อมูลไว้ก่อน ได้แก่ 1.การประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท (สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เป็นผู้ร้อง) และ 2.โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาท (กลุ่มอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นผู้ร้อง)
ทั้งนี้ คดีในสารบบป.ป.ช.ดังกล่าวจะมีผลต่อรัฐบาลก็ต่อเมื่อคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายกฯยิ่งลักษณ์
เนื่องจากมาตรา 55 ของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 บัญญัติให้ผูู้ถูกชี้มูลความผิดต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาหรือวุฒิสภามีความเห็นใน กรณีถอดถอนออกจากตำแหน่ง
หากเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่ายิ่งลักษณ์จะไม่สามารถทำหน้านายกรัฐมนตรีได้ บานปลายจนกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินบางประการที่ต้องอาศัยอำนาจนายกฯ ตามกฎหมายด้วย แน่นอนว่าการเมืองอาจจะเข้าสู่ภาวะสุญญากาศอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังสงบนิ่งในช่วงนี้อาจจะไม่นิ่งอีกต่อไป เมื่อความมั่นคงของเก้าอี้นายกฯเกิดการสั่นสะเทือนด้วยเสียงข้างมากของ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ
ที่มาที่มา #โพสต์ทูเดย์
http://bit.ly/1dNAUKP